ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 447 สี่ตระกูลคุ้มครอง (1)
บทที่ 447 สี่ตระกูลคุ้มครอง (1)
เฉินจุ่นกวงจิตใจเย็นเยียบอย่างมิอาจควบคุม
ไม่รอให้เขาได้สติกลับมา ยายเฒ่าคนหนึ่งก็วิ่งมาจากด้านนอก หลังจากเข้ามาใกล้แล้ว ยายเฒ่าคนนี้ก็กระซิบกระซาบข้างหูเฉินจิ่วหัวสองสามประโยค
ตุบ!
หยกแขวนตกลงพื้น เฉินจิ่วหัวลืมตาโต ใบหน้าไร้สีเลือดในทันที ทั้งยังมือสั่นอย่างรุนแรง
“วาจานี้เป็นจริง…!?”
“พันจริงหมื่นแท้เจ้าค่ะ!” ยายเฒ่าพยักหน้าอย่างแรง “เช้านี้ข้ายังเห็นคุณหนูรองแอบให้เสี่ยวลวี่ซื้อยาบำรุงครรภ์กลับมา สวี่ฟางนั่นเป็นจางอวิ้นเจ๋อปลอมตัวมาจริงๆ หลายปีมานี้เขาปลอมเป็นองค์รักษ์คอยอยู่กับคุณหนูรองมาโดยตลอด”
“สวรรค์…สวรรค์!” เฉินจิ่วหัวริมฝีปากซีดขาว รู้สึกฟ้าหมุน เกือบจะเป็นลม
เฉินจุ่นกวงที่อยู่ด้านข้างลุกขึ้นด้วยสีหน้าซีดขาว
“เจ้า…พูดอีกรอบซิ?!” เขาแทบไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง
“นายผู้เฒ่า ข้ายืนยันซ้ำแล้ว เป็นเขานั่นเอง เป็นจางอวิ้นเจ๋อคุณชายอายุน้อยที่เคยพาคุณหนูรองเสียคนไม่ผิดแน่!” ยายเฒ่ายืนยัน
ยิ่งยืนยันในคำพูดนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ทั้งสองที่ได้ยินจิตใจเย็นยะเยือกเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกโชคดีแม้แต่น้อย
“จบแล้ว…จบสิ้นแล้ว…” เฉินจิ่วหัวเข้าใจทุกสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นทันที
ตระกูลจาง ตระกูลลึกลับที่แข็งแกร่งจนไม่อาจเข้าใจนั้น พวกเขาเคยส่งคนมาเตือนตระกูลเฉินว่า ไม่อนุญาตให้สายเลือดของพวกเขารั่วไหลไปด้านนอกเด็ดขาด แต่ตอนนี้เจ้าจางอวิ้นเจ๋อกลับทำให้ลูกสาวตั้งท้องจริงๆ แล้ว
ด้วยความโหดเหี้ยมและวิปริตของตระกูลนั้น เรื่องฝ่าฝืนกฎตระกูลเช่นนี้ ไม่เพียงลูกสาวจะถูกถลกหนังเท่านั้น แม้แต่ลูกในท้องก็รักษาไว้ไม่ได้ กิจการตลอดร้อยปีของตระกูลเฉินก็คง…
ทั้งสองเกิดความเจ็บปวดอยู่ชั่วขณะ นึกถึงพี่ใหญ่ซึ่งไม่รู้เรื่อง ยังคงรวบรวมสมบัติต่างๆ นาๆ อย่างสุดกำลังเพื่อแก้ไขเรื่องประหลาดให้ลูกสาว ตอนนี้…ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี
คนทั้งสองหัวสมองขาวโพลน ยายเฒ่าผู้นั้นเห็นดังนั้นก็ตกใจเล็กน้อย จึงแอบวิ่งออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อพบว่ายายเฒ่าไม่อยู่แล้ว ทั้งสองค่อยได้สติกลับมา
“ถ้าหาก…พวกเราส่งเด็กกับลูกไปจะเป็นอย่างไร” เฉินจุ่นกวงพลันนึกถึงวิธีการหนึ่ง
“ไม่มีประโยชน์! ท่านลืมตระกูลหวังแล้วหรือ เรื่องเร่งด่วนก็คือรีบกำจัดเด็กทิ้ง” เฉินจิ่วหัวค่อยๆ แสดงสีหน้าคลุ้มคลั่ง
“เรื่องนี้จะต้องปรึกษาพี่ใหญ่ก่อน!” เฉินจุ่นกวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ
“พี่ใหญ่รวบรวมยอดคนไม่น้อย ด้วยปรารถนาจะจัดการเรื่องของเสี่ยวปี้ให้ได้ ถ้าหากตอนนี้บอกความจริงกับเขา…”
“เวลาที่เหลือไม่คอยท่า ไม่อาจสนใจเรื่องเหล่านั้นได้อีกแล้ว”
ทั้งสองอดนึกถึงจุดจบที่ถูกล้างโคตรในคืนเดียวของตระกูลหวังซึ่งมีสถานะเหมือนกับพวกเขาตระกูลเฉินไม่ได้
ตระกูลจางออกคำสั่งเหมือนกัน ตระกูลหวังถึงขั้นมีการติดต่อกับเหล่ายอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในระดับนครแคว้น แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นจากจุดจบถูกล้างตระกูลในคืนเดียวได้
เทียบกับตระกูลหวังแล้ว ตระกูลเฉินในตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไป เวลานี้เนื่องจากสายเลือดรั่วไหลไปด้านนอกเหมือนกัน ผลลัพธ์จะต้องเป็นแบบเดียวกันแน่นอน…
“จางอวิ้นเจ๋อตายแน่ ขนาดจะตายอยู่แล้วยังลากตระกูลเฉินของพวกเราไปด้วยอีก ชั่วร้ายยิ่งนัก!” เฉินจิ่วหัวกล่าวเสียงแค้น
“ลงมือทันที ค่ำคืนยาวนานฝันยิ่งมากมาย!” เฉินจุ่นกว่างสีหน้าแน่วแน่ขึ้น
“อือ”
…
“ที่นี่หรือ” ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าประตูตระกูลเฉิน มองประตูเหล็กสีแดงที่สูงเกือบสองหมี่กว่าๆ ตรงหน้าอย่างค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง
บ้านคนทั่วไปจะไม่สร้างให้ประตูสูงใหญ่ขนาดนี้
ยังไม่นับชายคาและป้ายที่สูงสองหมี่กว่าๆ ประตูใหญ่บานนี้ให้คนเข้าหรือ
เปี๋ยเฟยเฮ่อที่ติดตามอยู่ด้านหลังไม่พูดอะไรสักคำ นางฉีกการปลอมแปลงมากมายบนร่างออกไปหมดแล้ว กล้ามเนื้อเป็นของปลอม ผิวเป็นของปลอม ฉีกสิ่งของที่เหมือนวุ้นก้อนใหญ่ออกจากใบหน้า ถึงขั้นที่เส้นผมก็ถูกดึงทึ้งลงมาส่วนหนึ่ง แสดงให้เห็นว่ามีทั้งของจริงและของปลอมปะปนกัน
เปี๋ยเฟยเฮ่อที่ลบการปลอมแปลงออกแล้วเป็นเด็กสาวอายุน้อยที่มีรูปร่างร้อนแรง ทรวงอกใหญ่โต เอวคอดกิ่ว สะโพกงามงอน เค้าโครงชัดเจน ยกเว้นใบหน้าที่ถูกลู่เซิ่งกดจนบี้แบน…
นางพันผ้าพันแผลสีขาวไว้บนหน้าอย่างแน่นหนา ทั้งยังทำแม่พิมพ์ขึ้นมาเพื่อดามดั้งจมูก สภาพน่าสลดใจสุดทานทน
ลู่เซิ่งเดินอยู่ด้านหน้านาง เพียงกวาดตามองดูข้ารับใช้สองคนตรงหน้าประตู แล้วสาวเท้าเดินเข้าหาประตูไป
หลังจากแจ้งเรื่องแล้ว คนเฝ้าประตูก็เข้าไปรายงานคนในบ้าน ไม่นานก็มีคนมาต้อนรับ
“ท่านผู้มีพระคุณ” เฉินฉวินอาบน้ำจนสะอาดสะอ้าน ตอนนี้ยังเคลื่อนไหวได้ตามปกติ แผลบนแขนข้างที่ขาดพันสิ่งที่คล้ายกับผ้าพันแผลเอาไว้ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องแขนขาดโดยสิ้นเชิง คนผู้นี้มีพลังใจแรงกล้าจนน่าชื่นชม
“ท่านผู้มีพระคุณได้ช่วยชีวิตไว้ ขอให้รับการกราบไหว้จากผู้น้องด้วย” เขาก้มหัวกราบลู่เซิ่งด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย
ลู่เซิ่งรับการกราบไหว้จากเขาอย่างผ่าเผย
“ท่านผู้มีพระคุณโปรดเข้ามา ครั้งนี้จงจือจะต้องตอบแทนบุญคุณให้ได้!” เห็นได้ชัดว่าเฉินฉวินซาบซึ้งใจยิ่งขณะพาพวกลู่เซิ่งเดินเข้าไปในตระกูลเฉิน
เขาจำเปี๋ยเฟยเฮ่อที่ติดตามลู่เซิ่งไม่ได้
“ลืมบอกกล่าวไป ผู้น้องเฉินฉวิน ชื่อรองจงจือ ท่านผู้มีพระคุณเรียกชื่อผู้น้องตรงๆ ได้เลย” เฉินฉวินเค้นรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวอีกว่า “ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะท่านผู้มีพระคุณอยู่ ไม่ทราบว่าเฉินโย่วจิ่นลูกผู้น้องของข้าจะได้รับความทุกข์ทรมานขนาดไหน”
ลู่เซิ่งกล่าวรับมืออย่างขอไปทีเพื่อตอบรับ แต่กลับทำให้เฉินฉวินกระตือรือร้นกว่าเดิม เขาอาจจะนึกว่ายอดฝีมือในยุทธภพสมควรมีท่าทีแบบนี้ก็ได้
เฉินฉวินจัดงานเลี้ยงสุราต้อนรับพวกลู่เซิ่ง จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมให้ลู่เซิ่งพักที่ตระกูลเฉิน เรื่องที่พักจึงได้รับการจัดการแล้ว
ตอนนี้ตระกูลเฉินไม่มีถ้วยปะการังแล้ว จึงไม่มียอดฝีมือคอยเข้าๆ ออกๆ อีก กลับเป็นทางเหลาสุราภูษาครามที่เกิดสภาพน่าอนาถแทน การต่อสู้แย่งชิงหลายครั้งต่อจากนั้นหลายวันต่างเกิดขึ้นทางด้านนั้น ไม่เอ่ยถึงว่าก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง การกระทำป่าเถื่อนของพวกยอดฝีมือในยุทธภพที่กินเสร็จก็สู้กัน แม้แต่เงินก็ไม่จ่าย ทำให้เถ้าแก่จินโอดครวญทั้งวัน
ถึงอย่างไรลู่เซิ่งก็ไม่มีสถานที่ให้อยู่ แถมโรงเตี๊ยมก็สู้คฤหาสน์ตระกูลเฉินไม่ได้ ระหว่างนั้นบิดาของเฉินฉวินมาพบเขาครั้งหนึ่ง แล้วเดินเล่นเป็นเพื่อนลู่เซิ่งบนเรือนในสวนดอกไม้ของตระกูลด้วยความขอบคุณ
เขาเลยถือโอกาสพักที่คฤหาสน์ของตระกูลเฉินเนื่องจากการปรนนิบัติพัดวีของเฉินฉวิน ระหว่างที่พักอาศัยอยู่ ทุกๆ วันจะไปเดินเล่นในเมือง ที่เดินเล่นรอบๆ ก็เพื่อต้องการตามหาที่ตั้งของสถานที่ลึกลับ ขอแค่เจอสถานที่ลึกลับ ก็จะเจอเสากาลเวลา
นี่เป็นวิธีการหนึ่งในการตามหาเสากาลเวลา
เฉินฉวินได้เห็นพลังยุทธ์ที่สูงล้ำของลู่เซิ่ง อีกทั้งยังเป็นเพราะมีบุญคุณติดตัว จึงให้คนมาส่งของดีๆ ให้แทบจะสองสามวันต่อครั้ง ถ้าไม่ใช่อาหารโอชะ ก็เป็นเครื่องดื่มเลิศรส ครั้งหนึ่งลู่เซิ่งชมพิณโบราณที่ใช้เป็นของประดับโดยไม่ได้คิดอะไร วันต่อมาก็มีคนส่งตำราบทเพลงหายากหลากหลายประเภทและพิณไม้สนยูล้ำค่ามายังเรือนทันที
เวลาเคลื่อนคล้อย ไม่นานก็ผ่านไปสองอาทิตย์
ลู่เซิ่งค้นหาหลายครั้งแต่ไม่มีเบาะแส ถึงขั้นได้เจอเฉินเจียปี้คุณหนูรองผู้นั้นเช่นกัน แต่ก็ไม่ทราบว่าเพราะอะไร ปรากฏการณ์หายตัวไปอย่างลึกลับของคุณหนูรองผู้นี้กลับหยุดลง ส่วนตัวนางก็เป็นคนธรรมดาที่ตั้งครรภ์และไม่มีเบาะแสอะไรเช่นกัน
เขาหงุดหงิดเล็กน้อย ระหว่างนั้นพรรคเหยี่ยวดำที่อยู่เบื้องหลังเปี๋ยเฟยเฮ่อมีการส่งคนมาอีกหลายครั้ง ล้วนลอบติดต่อกับนาง แต่ยังไม่มีใครกล้าลงมือกับลู่เซิ่ง
เปี๋ยเฟยเฮ่อทดลองหลบหนี แต่หนีไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็ถูกจับกลับมาใหม่
ลู่เซิ่งทดลองตามหาสถานที่ลึกลับผ่านขุมกำลังของตระกูลเฉิน น่าเสียดายที่ยังคงไม่มีผลลัพธ์อะไร
กลับเป็นเฉินฉวินและคนอีกสองสามคนที่ถูกช่วยไว้มาเยี่ยมหาบ่อยๆ ครั้งหนึ่งเฉินฉวินได้เปิดเผยความคิดที่อยากจะกราบลู่เซิ่งเป็นอาจารย์เพื่อร่ำเรียนวิทยายุทธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ก็ถูกลู่เซิ่งปฏิเสธตรงๆ
แต่เขาก็กินและอยู่ที่ตระกูลเฉิน แถมเฉินฉวินเองก็เอาใจใส่ดี ภายหลังลู่เซิ่งจึงชี้แนะปัญหาให้แก่อีกฝ่ายสักเล็กน้อย
สายตาและประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับระดับปรมาจารย์ของเขาอุดมสมบูรณ์เหลือประมาณ แค่ชี้แนะไม่กี่ครั้ง ก็ทำให้พลังของเฉินฉวินรุดหน้า เป็นเหตุให้ชายหนุ่มนับถือเลื่อมใสลู่เซิ่งยิ่งกว่าเดิม
คนส่วนใหญ่ในตระกูลเฉินรู้เรื่องที่คุณชายฉวินผู้ซึ่งแขนด้วนไปข้างหนึ่งขอให้ยอดคนคนหนึ่งรั้งอยู่ชั่วคราว ดังนั้นเวลาที่ทุกๆ คนรวมถึงผู้ชราในตระกูลเฉินเจอลู่เซิ่ง ต่างก็นอบน้อมมีมารยาท ไม่กล้าทำตัวเสียมารยาทแม้แต่น้อย
แต่สภาพการณ์ที่ตามหามาโดยตลอดทว่ากลับไม่มีเบาะแสนี้ทำให้ลู่เซิ่งเริ่มเกิดความคิดจากไป เขาไม่อาจใช้เวลาอยู่ที่ตระกูลเฉินตลอดไป
แต่เวลานี้เอง ในที่สุดเรื่องราวก็เกิดการพลิกผัน
…
ตุบ
ลู่เซิ่งค่อยๆ วางหมากตัวหนึ่งลงบนทางซ้ายกลางกระดานหมาก
เฉินฉวินหน้านิ่วคิ้วขมวด คิดสักพักหนึ่ง ก่อนจะหยิบหมากตัวหนึ่งขึ้นมา กำลังจะวางบนตำแหน่งที่ตนเองคิดไว้แล้วเมื่อก่อนหน้านี้เบาๆ
เปรี้ยง!
อยู่ๆ นอกประตูใหญ่ก็เกิดเสียงดังสนั่น คล้ายจะเป็นเสียงที่ดังมาจากทางประตูคฤหาสน์เฉิน
เขาตกใจจนเกือบทำหมากหลุดมือ รีบลุกขึ้นหันไปมอง แล้วนึกขึ้นได้ว่ามีประตูหลายบานกั้นที่นี่เอาไว้ จึงมองไม่เห็นสิ่งใด
จากนั้นก็มองลู่เซิ่งซึ่งทำหน้าสงบนิ่งอยู่ด้านหน้าอีกครั้ง ในใจเลื่อมใสกว่าเดิม
“อาจารย์ เป็นจงจือมีความสามารถไม่พอ” เขาพูดอย่างละอายใจ
“ไม่เป็นไร…มีคนน่าสนใจมาแล้ว วันนี้เล่นถึงเท่านี้พอ” ครั้งนี้บนใบหน้าที่สงบนิ่งไร้ความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดของลู่เซิ่งค่อยๆ ปรากฏความสนใจขึ้น
ไม่เพียงแต่เฉินฉวินที่งุนงงเท่านั้น แม้แต่เปี๋ยเฟยเฮ่อที่กำลังชมทั้งสองวางหมากอยู่ก็สับสนเล็กน้อยเช่นกัน
ตอนนี้ทั้งสองเข้าใจแล้วว่า ลู่เซิ่งเป็นเหมือนยอดคนผู้อาวุโสที่เร้นกายในตลาดร้านถิ่น ถือเป็นยอดฝีมือหรือผู้เร้นกาย เพราะไม่ชอบทำตัวโอ้อวด ดังนั้นจึงไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าเหล่าปรมาจารย์ที่คนเรียกขานกันพวกนั้น แต่เรื่องราวใดกันที่สร้างรอยยิ้มให้แก่ยอดคนผู้นี้ได้ ทั้งสองสงสัยอยู่บ้าง
ไม่รอให้ทั้งสองตอบ ลู่เซิ่งก็ลุกขึ้นเดินไปยังประตู แสดงให้เห็นว่าคิดจะไปดูสาเหตุที่ทำให้เกิดเสียงดัง
ทั้งสองจึงรีบติดตามไป
เพิ่งออกจากเรือนเดินไปถึงสวนดอกไม้ใหญ่ของคฤหาสน์เฉิน ทั้งสามก็เห็นประตูคฤหาสน์ที่สูงใหญ่ถูกกระแทกล้มอยู่กับพื้นทันที
บุรุษวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ ใบหน้าซูบตอบสามคนสวมใส่ชุดคลุมสีขาวที่ปกปิดทั้งร่าง เดินเข้ามาในสวนดอกไม้ใหญ่ด้านหลังประตูคฤหาสน์ช้าๆ
“ประมุขตระกุลเฉินออกมาเถอะ เรื่องของจางอวิ้นเจ๋อ วันนี้เจ้าจะต้องมอบคำว่ากล่าวให้แก่พวกเรา” บุรุษร่างสูงผอมที่อยู่ด้านหน้าส่งเสียง ภายนอกเขาดูหนุ่มแน่น แต่พอเอ่ยปากก็เกิดเสียงโลหะปะทะกันดังเบาๆ พิสดารพันลึกสุดขีด
ประมุขตระกูลเฉินพาคนมายืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งสาม แต่ละคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม รอบๆ มีทหารประจำตระกูลกลุ่มใหญ่วิ่งมาอย่างเร่งรีบ มือถืออาวุธและล้อมทั้งสามไว้เป็นชั้นๆ
“ผู้อาวุโสจางหง…พวกเราตระกูลเฉินไม่ทราบเรื่องนี้จริงๆ เป็นเพียงอุบัติเหตุครั้งหนึ่งเท่านั้น ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่มากความสามารถ พวกเราจับผู้ต้องสงสัยไว้ก่อนแล้ว…” ประมุขตระกุลเฉินวางท่าต้อยต่ำชนิดแทบจะวิงวอน
“เหอะ!” อยู่ๆ เสียงเย็นชาก็ตัดบทประมุขตระกูลเฉิน บุรุษวัยกลางคนที่เป็นผู้นำสายตาเย็นชาลง “ข้าจางหงจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ต้องให้เจ้ามาสั่งสอนหรือ”
……………………………………….