ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 449 สี่ตระกูลคุ้มครอง (3)
บทที่ 449 สี่ตระกูลคุ้มครอง (3)
ทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน ต่างถือกำเนิดจากบ้านรอง แต่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา การฝึกฝนปราณร้อยวิญญาณมีความก้าวหน้ารวดเร็วถึงขีดสุด มาถึงปัจจุบัน จางมู่อายุแปดสิบสี่ จางเฉินซันอายุเก้าสิบ ต่างบรรลุถึงขอบเขตสูงสุดที่เหล่าผู้ฝึกฝนวิญญาณเรียกว่าสูงสุดเรียบร้อยแล้ว มีตำแหน่งสูงส่งในตระกูลจาง
ทั้งสองเบื่อหน่ายและชืดชาต่อเรื่องราวทางโลกหมดแล้ว จึงยอมมายังแดนมายาเชิญวิญญาณเพื่อเฝ้าสถานที่สำคัญของตระกูล
แดนมายาเชิญวิญญาณมีชื่อฟังไพเราะ ความจริงเป็นแอ่งกระทะงดงามขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ด้านในมีลำธาร ภูเขา ต้นไม้ ดอกไม้ และยังมีเหยี่ยวอาทิตย์ที่ฝึกขึ้นสำหรับเอาไว้ใช้ลาดตระเวนรังหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีคนในตระกูลจางพักอยู่สิบห้าถึงยี่สิบคน จะเปลี่ยนกะทุกๆ สี่เดือน นอกจากผู้คุ้มครองสองคนที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนกะตามปกติแล้ว คนที่เหลือล้วนมีการกำหนดให้เปลี่ยนคนตามเวลา
“แก้ไม่ได้…แก้ไม่ได้จริงๆ ด้วย…” ชายชราคิ้วดำจางเฉินซันส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ละทิ้งความหวังในการหาคำตอบแล้ว
“แต่แม้ข้าจะแก้ไม่ได้ หากผู้เป็นตาเฒ่าไม่ไหว ก็มีหลานช่วยเสริม จางเจารีบมาเร็ว!” เขาตะโกนประโยคสุดท้าย
คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่นอนหลับอาบแดดอยู่บนสนามหญ้าตรงริมลำธารซึ่งห่างจากทั้งสองไม่ไกล สะดุ้งเพราะเสียงตะโกนที่ดังอย่างกะทันหัน จนเกือบจะลุกไม่ขึ้น
“เอาอีกแล้วๆ…” จางเจาเป็นผู้นำของคนรุ่นหนุ่มสาวในตระกูลจาง คุณสมบัติและความเฉลียวฉลาดล้วนจัดอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะพรสวรรค์ด้านค่ายกลวิญญาณ ทั่วทั้งตระกูลไม่มีใครสู้ได้
“ข้าว่าตาเฒ่าเช่นพวกท่านอยู่ว่างเกินไปแล้วกระมัง วันๆ เอาแต่ใช้หลานเป็นแรงงาน ข้าอยากจะลงเขา อยากจะออกไปเที่ยวเหมือนกันนะ…” จางเจากล่าวอย่างระอา ลุกขึ้นจากสนามหญ้า แล้วเดินข้ามสะพานไม้มาถึงด้านข้างผู้เฒ่าทั้งสองอย่างเชื่องช้า เพียงกวาดตามองรูปค่ายกลวิญญาณบนโต๊ะหินสองสามครั้ง เขาก็หยิบถ่านขึ้นมาขีดเขียน
“เรียบร้อย แก้ได้แล้ว”
“แก้ได้จริงๆ หรือนี่?!”
“แก้แบบนี้นี่เอง ร้ายกาจ! ร้ายกาจ! สมกับเป็นหลานของข้าจางเฉินซัน! ฮ่าๆๆๆ!”
ผู้เฒ่าทั้งสองพลันตกตะลึง
จางเจาผุดสีหน้าจนใจ ก่อนหมุนตัวจะกลับไปนอนต่อ
อยู่ๆ เขาก็แสดงสีหน้างุนงง
“มีคนมาหรือ ไม่ใช่คนของตระกูล”
“อ้อ? หรือว่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่มาขุดสมบัติอีกแล้ว” จางมู่หันเหความสนใจมามองทางด้านนี้
“ครั้งก่อนกระจายข่าวไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงยังมีคนกล้ามาที่นี่อีก หรือว่าเรายังลงมือไม่อำมหิตพอ” จางเฉินซันลูบคางพลางกล่าวช้าๆ
“ไม่เป็นไร ท่านตา ท่านผู้เฒ่ามู่จาง ข้าจะสอนบทเรียนให้เขาเอง เอ๋อ…เดี๋ยวสิ ยังมีคนของตระกูลถูกจับเป็นตัวประกันด้วย!” จางเจาพลันตรวจสอบเจอความผิดปกติผ่านค่ายกล
“น่าสนใจ ถึงกับกล้าจับคนของตระกูลจางเป็นตัวประกัน แถมยังกล้ามาท้าทายถึงสถานที่ลับอีก แดนวิญญาณโอบรัด เปิด!” จางเจาประสานมุทราสิบกว่าท่าอย่างรวดเร็ว
บวกกับการท่องคาถา พลังงานไร้รูปร่างชนิดหนึ่งที่ปกคลุมเหนือแดนมายาเชิญวิญญาณพลันสั่นน้อยๆ แล้วเริ่มเปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วสูง
…
ลู่เซิ่งซึ่งมองแอ่งกระทะของหุบเขาที่มีหมอกขาวปกคลุมตรงหน้า เกิดความคาดหวังเล็กน้อย
จางหงกับเปี๋ยเฟยเฮ่อที่เขาหิ้วไว้ในมือต่างหมอบอยู่ด้านข้างพร้อมกับทำท่าพะอืดพะอม พวกเขามึนหัวจนอาเจียนออกมาเนื่องจากความเร็วอันน่ากลัวเมื่อครู่นี้
อาเจียนส่วนอาเจียน ในสายตาของเปี๋ยเฟยเฮ่อ ตอนนี้ภาพลักษณ์ของยอดฝีมือในยุทธภพธรรมดาๆ ของลู่เซิ่งได้กลายเป็นผู้ปกครองยุทธภพระดับสุดยอดไปแล้ว
ท่าร่างที่แข็งแกร่งเมื่อครู่นี้ นอกจากยอดฝีมือระดับสูงสุดที่มีความสำเร็จในด้านวิชาตัวเบาแล้ว ไม่มีคนที่ยกระดับความเร็วถึงขั้นนี้ได้อย่างง่ายดายจริงๆ
แต่สำหรับจางหง แม้เขาจะประหลาดใจว่าเหตุใดกายเนื้อของลู่เซิ่งถึงได้เร็วแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ตกตะลึงเท่ากับตอนเจอพลังวิญญาณอันเหี้ยมหาญเมื่อก่อนหน้านี้
สำหรับคนของตระกูลจาง ความเร็วระดับนี้ไม่ใช่เรื่องอลังการอะไร เพียงแต่วิธีการของลู่เซิ่งหยาบกระด้างกว่าก็เท่านั้น
“ที่นี่อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งถามเบาๆ
“ใช่ ที่นี่มีค่ายกลใหญ่ซึ่งคอยโคจรเพื่อคุ้มครองตลอดเวลา ต่อให้เป็นคนของตระกูลเรา ก็ต้องส่งจานวิญญาณ แล้วรอให้ผู้คุมค่ายกลด้านในแยกแยะสถานะก่อน จึงจะยอมปล่อยให้ผ่าน ดังนั้นเจ้าอย่าคิดว่าข้าจะช่วยเจ้าหลอกค่ายกล” จางหงเอ่ยอย่างเย็นชา
“ไม่เป็นไร ข้าอยากจะลองดูพอดีว่าวิญญาณค่ายกลอะไรนี่มีประโยชน์ตรงไหน” ลู่เซิ่งยิ้ม ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปในหมอกหนาด้านหน้า
เปี๋ยเฟยเฮ่อคิดตามไป แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง เพียงไล่ตามถึงด้านหน้าหมอกขาว ก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้ จึงหยุดยั้งลง
“เจ้าไม่เข้าไปถือว่าทำถูกแล้ว คนธรรมดาแก้ค่ายกลแดนมายานี้ไม่ได้หรอก ถ้าหากคนธรรมดาเข้าไปด้านใน จุดจบเพียงอย่างเดียวคืออดตายอยู่ในนั้น” จางหงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“ท่านบอกว่านี่คือค่ายกลหรือ ค่ายกลที่เหล่าเซียนในนิยายเทพเซียนใช้นั่นน่ะหรือ” เปี๋ยเฟยเฮ่อรู้สึกว่าโลกทัศน์ของตนได้รับการกระทบกระเทือนแล้ว
นางโตมาขนาดนี้ เพิ่งจะเคยเห็นค่ายกลด้วยตาเป็นครั้งแรก ที่แท้มีหน้าตาแบบนี้นี่เอง
ด้านหน้าเป็นเทือกเขาดำทะมึนที่อยู่ด้านหลังเขาแห่งความมืดแท้ๆ แต่เมื่อมองไป สิ่งที่เห็นล้วนมีแต่หมอกขาวหนาแน่น
สายหมอกที่มีพื้นที่ใหญ่ขนาดนี้เป็นสิ่งที่คนวางค่ายกลจัดตั้งขึ้น เปี๋ยเฟยเฮ่อรู้สึกเป็นครั้งแรกว่า การที่ตนถูกทุบตีคล้ายจะเป็นเรื่องดี
ขณะที่อารมณ์ความรู้สึกของทั้งสองคนกำลังเปลี่ยนแปลง ลู่เซิ่งก็ได้เดินเข้าไปในอาณาเขตของหมอกขาวแล้ว
เพิ่งจะเข้าไปในม่านหมอก เขาก็กระทืบเท้าลง เกิดเสียงดังสนั่น พื้นระเบิดออก แรงปฏิกิริยาที่รุนแรงสะท้อนกลับจากใต้เท้า เขาจึงอาศัยพลังงานนี้โผพุ่งไปด้านหน้า
ฟิ้ว!
แท่งแหลมสีขาวที่เหมือนกระดูกแหลมอันเย็นเยียบหลายแท่งพุ่งมาจากในหมอก เล็งไปที่เอวด้านหลังทางขวาของลู่เซิ่ง
เคร้งๆ!
ลู่เซิ่งใช้นิ้วดีดแท่งน้ำแข็งหลายแท่งนี้ทิ้งไปอย่างง่ายดาย แต่ยังไม่รอเขาตั้งสติ แท่งน้ำแข็งจำนวนมากก็ทะลักออกมาจากในหมอกรอบๆ อย่างมืดฟ้ามัวดิน มีอย่างน้อยหลายร้อยแท่งพุ่งใส่เขาอย่างบ้าคลั่งจากทั่วทุกสารทิศ
ฟิ้วๆๆๆ!
ชั่วขณะนั้นแท่งน้ำแข็งแน่นขนัดตกลงมาพุ่งใส่ทั่วร่างของลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งใช้ความคิด คนอ้วนคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในวิญญาณคุ้มครองที่มีสิบกว่าตนพลันปรากฏขึ้นด้านหน้าเขาแล้วกางสองแขนออก จากนั้นก็เป่าพลังวิญญาณที่ร้อนแรงสายหนึ่งออกมาอ้อมอก
ซู่ว…
แท่งน้ำแข็งที่ลอยมาละลายเป็นไอน้ำก่อนจะสลายไปด้วยความเร็วสูงพร้อมกับพลังวิญญาณร้อนแรงที่พัดผ่าน
วิญญาณคุ้มครองร่างอ้วนเบี่ยงตัวให้ลู่เซิ่งเดินต่อไป
“ทำได้ไม่เลว” ลู่เซิ่งยิ้มพร้อมชื่นชม
หลายวันมานี้เขาไม่ใช่ว่าอยู่ว่างไม่ทำอะไร อย่างน้อยก็ได้ติดต่อกับวิญญาณคุ้มครองสิบกว่าตนที่ตนได้ทำสัญญาไว้รอบหนึ่ง
วิญญาณคุ้มครองมีความสามารถแตกต่างกันไป หากแสดงพลังวิญญาณของวิญญาณคุ้มครองสิบกว่าตนนี้ออกมา จะมีทั้งหมดหกรูปแบบ
วิญญาณคุ้มครองร่างอ้วนตนนี้เป็นประเภทวิญญาณอัคคีซึ่งเป็นหนึ่งในนี้
วิญญาณอัคคีติดตามอยู่ใกล้ๆ ลู่เซิ่ง คอยคุ้มครองให้เขาเดินขึ้นหน้าเรื่อยๆ แต่ไม่นานทั้งสองก็เจอคู่มืออีกครั้ง
เป็นเสือขาวยักษ์ที่มีร่างกึ่งโปร่งแสง
เสือขาวตัวนี้ยาวห้าหมี่ สูงสองหมี่กว่าๆ ข้างเอวสองข้างมีปีกกึ่งโปรงแสงติดอยู่
โฮก!
เสือขาวคำรามใส่ลู่เซิ่ง ระเบิดแรงกดดันวิญญาณที่แข็งแกร่งและเกรี้ยวกราดถึงขีดสุดออกมา
“นี่ก็เกิดจากปราณวิญญาณเหมือนกันหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างสนใจ
“สรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนมีวิญญาณ นี่เป็นสัตว์วิญญาณที่เกิดขึ้นจากการที่มีวิญญาณเสือมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เกิดจากพลังวิญญาณของเสือที่ค่ายกลนี้เข่นฆ่าและสะสมมาเรื่อยๆ” วิญญาณอัคคีอธิบายอย่างรวบรัด
“เจ้าสู้ได้ไหม” ลู่เซิ่งมองวิญญาณอัคคี
“แน่นอน วิญญาณคุ้มครองที่เข้าไปในหมู่บ้านควันม่วงของพวกท่านล้วนเป็นผู้ที่แย่งชิงสิทธิ์มาจากในการแข่งขันที่ทารุณนับไม่ถ้วน แค่วิญญาณเสือตัวเดียวเอง”
วิญญาณอัคคีพุ่งเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วต่อยหมัดหนึ่งออก ปลายกำปั้นมีเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นอย่างฉับพลัน ก่อนจะกระแทกใส่ที่ว่างด้านหน้าวิญญาณเสือ
เปรี้ยง!
อากาศตรงที่ว่างนั้นระเบิดออก ศีรษะวิญญาณเสือระเบิดเป็นรูโหว่รูหนึ่ง
มันแผดเสียงคำรามพร้อมกับฟาดหางซี่งมีพละกำลังอันมหาศาลใส่จนร่างวิญญาณอัคคีตัวสั่นและมืดสลัวลงไม่น้อย
ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากันอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่ง ใช้เวลาไม่กี่สิบวินาที ก็เกิดผลลัพธ์ วิญญาณเสือสลายไปอย่างสมบูรณ์ วิญญาณอัคคีหอบหายใจเล็กน้อยแล้วกลับมาถึงด้านข้างลู่เซิ่ง
“เอาล่ะ พวกเราไปด้านหน้าต่อ” ลู่เซิ่งยิ้มๆ แล้วเร่งความเร็วไปด้านหน้าอีกครั้ง
ฟู่ว
อยู่ๆ ด้านหน้าเขาก็สว่างและเปิดโล่ง
“ออกมาแล้ว ที่นี่เอง…!?” ตอนแรกลู่เซิ่งยังยิ้มบาง แต่หลังเห็นทัศนียภาพแล้ว ในที่สุดก็ใจเย็นลง
เขากลับมาถึงที่เดิมในตอนที่เข้าค่ายกล ตรงหน้าคือเปี๋ยเฟยเฮ่อที่นั่งรอเขาออกมาอยู่บนพื้น ส่วนจางหงหายไปแล้ว
“อา…จารย์…?” เปี๋ยเฟยเฮ่อส่งเสียงอย่างสงสัยขณะมองเห็นลู่เซิ่งที่สีหน้าเยือกเย็นลง
“ไป กลับไป” ลู่เซิ่งหมุนตัวแล้วหายสาบสูญไปในหมอกหนาอีกครั้ง
…
ในแดนมายาเชิญวิญญาณ
จางเจาฟังจางหงเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องที่เกิดในครั้งนี้ให้ฟังอย่างเกียจคร้าน
“…เรื่องทั้งหมดเป็นเช่นนี้…ขอคุณชายสามลงโทษด้วย!” จางหงกึ่งคุกเข่าบนพื้นด้วยสีหน้าทุกข์ตรม
จางเจาลูบคาง การเคลื่อนไหวแทบจะเหมือนกับจางเฉินซันผู้เป็นตา สมกับที่เป็นตาหลานกัน แม้แต่ท่าประจำตัวก็ยังเหมือนกัน
“คุณชายใหญ่ของตระกูลลู่หรือ ทูตวิญญาณคุ้มครองที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นปัจจุบัน วาจานี้แค่ฟังดูยังพอว่า รุ่นนี้ตระกูลลู่มีคนแค่สามคนไม่ใช่หรือ คนที่แข็งแกร่งที่สุดในสามคนหรือ ขี้โม้ขนาดนี้สนุกนักหรืออย่างไร”
“ในเมื่อตระกูลลู่กล้าให้ไอ้หนูนี้ออกมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ทั้งยังมาหาถึงตระกูลจางโดยเฉพาะ เช่นนั้นจะต้องมีความมั่นใจถึงขีดสุดแน่” จางมู่กำลังวางหมากกับจางเฉินซันผู้เฒ่าที่มีคิ้วดำอยู่ด้านข้าง
“ไม่เป็นไร เขาเข้าค่ายกลมาแล้ว อ้อ ความเร็วโจมตีสูงมาก แท่งน้ำแข็งเอาไม่อยู่หรือ เช่นนั้นลองนี้ดูเป็นอย่างไร ค่ายกลวิญญาณพยัคฆ์!” จางเจาหลับตา ใช้ปราณวิญญาณควบคุมค่ายกลไปพลาง สัมผัสการเปลี่ยนแปลงไปพลาง
“อัญเชิญวิญญาณคุ้มครองของตัวเองออกมาหรือ พลังไม่เลว…วิญญาณพยัคฆ์ที่สั่งสมมาหลายสิบปีถูกทำลายแล้ว จะสร้างขึ้นใหม่ต้องใช้เวลาหลายปีนา ยุ่งยากจริง ต่อจากนี้สมควรเป็นค่ายกลที่แตกต่างแล้ว อยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะทำลายค่ายกลแปลงวิญญาณไร้รูปร่างที่ข้าปรับปรุงเองอย่างไร” มุมปากของจางเจาแสดงความเชื่อมั่นอันแน่วแน่
ในใจมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในด้านค่ายกล
เนื่องจากเขาเป็นอัจฉริยะด้านค่ายกล อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในเวลาหลายร้อยปีของตระกูลจาง! ไม่มีใครอื่นอีก!
“เอาชนะวิญญาณพยัคฆ์ได้แล้วเป็นอย่างไร ออกไปซะเถอะ!” จางเจาควบคุมการเปลี่ยนแปลงของค่ายกล ส่งลู่เซิ่งกับวิญญาณคุ้มครองออกไปที่เดิมอย่างง่ายดาย
แต่ว่าไม่นานเท่าไหร่ ลู่เซิ่งก็หมุนตัวกลับมาทะลวงค่ายกลต่อ ผ่านทุกอย่างเหมือนเดิม จากนั้นสุดท้ายก็ถูกจางเจาส่งกลับที่เดิมอย่างง่ายดาย
ลู่เซิ่งเปลี่ยนวิธีอีกครั้ง คราวนี้ใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งเข้าค่ายกลโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น คิดจะทะลวงผ่านค่ายกลใหญ่โดยใช้กลยุทธ์ใช้เร็วตีช้า
“การดิ้นรนที่ไร้ความหมาย” จางเจาอมยิ้ม จิตวิญญาณขยับ ควบคุมปราณร้อยวิญญาณเพื่อสั่งให้ค่ายกลเคลื่อนไหวอย่างผ่อนคลาย แล้วส่งลู่เซิ่งกลับที่เดิม
ผ่านไปหลายครั้ง ลู่เซิ่งล้วนคว้าน้ำเหลว ได้แต่เดินอยู่ที่เดิม
“มีปัญญาแค่นี้ก็กล้าบุกสถานที่ลับของตระกูลจางหรือ” จางเจาส่ายหน้าอดหัวเราะไม่ได้ ตอนแรกนึกว่าจะได้เล่นสนุกสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้
……………………………………….