ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 450 สี่ตระกูลคุ้มครอง (4)
บทที่ 450 สี่ตระกูลคุ้มครอง (4)
ลู่เซิ่งเพ่งมองหมอกหนาด้านหน้า ทดลองมาแล้วสี่ครั้ง เขาล้วนคว้าน้ำเหลว ทั้งๆ ที่รู้สึกว่าตนใช้ทางตรงแล้ว แต่ก็ถูกส่งกลับมาที่เดิมอย่างอธิบายไม่ได้อยู่ร่ำไป
“พวกเจ้ามีใครเชี่ยวชาญค่ายกลบ้าง” เขาถามวิญญาณคุ้มครองทั้งสิบกว่าตน
ไม่มีคนตอบ แสดงให้เห็นว่าไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่อย่างนั้นตามข้อตกลงที่ได้ทำกันไว้ พวกมันคงจะเสนอตัวตอบแต่แรก หลังจากทำสัญญากับลู่เซิ่งแล้ว เขาก็กลายเป็นคนเพียงคนเดียวที่มอบพลังวิญญาณให้พวกมันได้ นอกเสียจากปลดสัญญา ไม่อย่างนั้นต่อให้พลังวิญญาณสลาย พวกมันตกตาย ก็ไม่มีทางได้รับพลังวิญญาณเพิ่มเติมมาชดเชย
ดังนั้นการทำดีกับลู่เซิ่งจึงเป็นสิ่งสำคัญในสิ่งสำคัญ
‘ยอมแพ้เถอะ ต่อให้ปล่อยพวกเราออกมาทั้งหมดเพื่อกระจายกันตรวจสอบ ก็ไม่มีความหมายสำหรับค่ายกลระดับนี้’ เสียงซันปู้ลอยออกมาเตือนเบาๆ
‘ตามการจัดแบ่งของพวกเจ้าเหล่ามนุษย์ เจ้ามีวิญญาณคุ้มครองสิบกว่าตนเช่นพวกเรา แม้พวกเราจะเป็นวิญญาณคุ้มครองระดับอ่อนในหมู่บ้าน แต่ว่าพอใช้จำนวนก็ชดเชยคุณภาพ ก็ทำให้เจ้ามีแรงกดดันวิญญาณเท่ากับประมุขตระกูล นี่ก็ถือว่าเป็นขีดจำกัดแล้ว ส่วนค่ายกลตรงหน้านี้ อย่างน้อยก็รับมือทูตวิญญาณคุ้มครองที่มีแรงกดดันวิญญาณระดับประมุขตระกูลได้สิบคน ถ้าหากว่าผู้อาวุโสใหญ่ของหมู่บ้านมาด้วยตัวเอง และให้วิญญาณคุ้มครองระดับสูงส่งท่านนั้นลงมือ อาจจะทะลวงได้ แต่พวกเราทำไม่ได้’ จิตของซันปู้ดังเข้าสู่สมองของลู่เซิ่ง
‘จะยอมแพ้หรือ’ ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก ดวงตากร้าวขึ้น ‘แค่ค่ายกลค่ายเดียว สิ่งของเพียงอย่างเดียว’
เขาเพ่งสมาธิเรียกใช้จิตวิญญาณระดับอริยะเจ้า ก่อนจะเดินเข้าหมอกสีขาวอีกรอบ
ครั้งนี้เขาเดินอย่างเชื่องช้ายิ่ง ทุกๆ ก้าว จิตวิญญาณอริยะเจ้าจะคอยวิเคราะห์สัญญาณและการสัมผัสแต่ละชนิดที่ร่างกายแตะโดนอย่างละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองถูกลวงความรู้สึกด้านทิศทาง
ครั้งนี้มีผลจริงๆ ลู่เซิ่งปรับแก้สัญญาณแสงและเสียงจำนวนมากที่จงใจชักนำตนไปผิดทางใหม่อีกครั้ง
ดูเหมือนเขาจะเดินเป็นเส้นโค้ง ถึงขั้นมีบางครั้งที่ถอยหลัง แต่พลังสัมผัสของจิตวิญญาณระดับอริยะเจ้าทำให้เขาเหมือนเดินเป็นเส้นตรง
นอกจากนี้หลังจากเดินเช่นนี้สักพัก การลอบโจมตีจากค่ายกลที่พบก็ไม่ได้มีมากเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ลู่เซิ่งมั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าตนน่าจะเดินถูกทางแล้ว
เขาเร่งความเร็ว ค่อยๆ มุ่งหน้าไปให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ
พรึ่บ!
ในที่สุดเขาก็พุ่งออกจากหมอกหนา
“ข้าทำสำเร็จแล้ว!”
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขา คือเปี๋ยเฟยเฮ่อที่ยังคงนั่งทำหน้านิ่งอึ้งอยู่บนพื้น
“อาจารย์…”
รอยยิ้มบนใบหน้าลู่เซิ่งแข็งค้างโดยสมบูรณ์
“น่าจะไม่ใช่ผลกระทบทางประสาทสัมผัสเท่านั้น ต้องมีการชักนำทางมิติด้วย…การชักนำทางมิติ…” ลู่เซิ่งที่ผุดสีหน้านิ่งงันหมุนตัวจะเดินเข้าหมอกขาวอีกครั้ง
“การชักนำทางมิติ…การชักนำทางมิติ…การชักนำทางมิติ…การชักนำทางมิติมารดาเจ้า! ย้าก! ไม่ไหวแล้วโว้ย ไปตายให้หมดเสียเถอะ!”
ตูม!
กระแสธารสีทองทะลักออกมาจากบนร่างของลู่เซิ่ง พลังวิญญาณที่เกรี้ยวกราดบ้าคลั่งกลายเป็นพายุปราณวิญญาณอันยิ่งใหญ่พร้อมกับม้วนซัดไปทั่วทุกทิศทาง!
เมฆรูปเห็ดสีทองขนาดยักษ์ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายร้อยหมี่ระเบิดอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นโดยมีลู่เซิ่งเป็นจุดศูนย์กลาง
ค่ายกลหมอกขาวถูกเจาะเป็นรูใหญ่ ลวดลายค่ายกลสะกดกั้นนับไม่ถ้วนพังทลายลง โซ่ปราณวิญญาณระเบิดกระจัดกระจาย ค่ายกลแดนมายามลายหายสิ้นเพียงชั่วพริบตา
…
แดนมายาเชิญวิญญาณ
จางเจาเม้มมุมปากแน่น เห็นฉากที่ลู่เซิ่งนึกว่าตัวเองผ่านแล้วก็หัวเราะลั่น
“เจ้าหนูนี่ น่าสนใจเกินไปแล้ว ฮ่าๆๆ!” เขากุมท้องหัวเราะลั่น
“อะไรกัน ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ” จางมู่วางหมากไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว พอได้ยินเสียงก็มองมาทางด้านนี้
“ยัง แต่ใกล้แล้ว ข้าว่ามันใกล้จะทนไม่ไหวแล้วล่ะ” จางเจาส่ายหน้าพร้อมกับกลั้นหัวเราะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ค่ายกลแตกต่างที่เรียบง่ายอย่างเดียวก็ขวางคนผู้นี้ได้แล้ว ทูตวิญญาณคุ้มครองของตระกูลลู่รุ่นนี้ไม่เห็นจะเท่าไหร่ ยังสู้เจ้าคนป่าเถื่อนของตระกูลชิวไม่ได้ด้วยซ้ำ” พอเห็นลู่เซิ่งหมุนตัวจะเข้าค่ายกลอีก เขาก็คร้านจะชมดูการขัดขืนที่ไร้ความหมายของอีกฝ่ายอีกต่อไป จึงหันไปรับชมสถานการณ์หมากของจางหมู่และจางเฉินซัน
“กล้าลอบเข้าสถานที่ลึกลับของตระกูลจาง ครั้งนี้นับว่าให้บทเรียนกับมันแล้ว เอ๋? ตานี้ลองเดินแบบนี้ดูสิท่านตา”
“ชมหมากห้ามปากมาก!” จางมู่เป่าหนวดถลึงตา
“หลานช่วยผู้เป็นตา ถูกต้องตามประสงค์ฟ้าดิน!” จางเฉินซันไม่ปฏิเสธ รับไว้อย่างยินดี
“ถึงอย่างไรข้าก็พูดไปแล้ว ความจริงต่อให้ข้าไม่พูด ด้วยมันสมองของท่านตา อย่างไรก็คิดตาเดินนี้ออกได้อย่างง่ายดายอยู่ดี ผู้เฒ่ามู่อย่าได้ถือสาๆ” จางเจากล่าวอย่างหน้าด้าน
“อย่างนั้นหรือ ถ้าข้าถือสาเจ้าจะไม่พูดสินะ ถือโอกาสถามเลยก็แล้วกัน ไอ้สีทองตรงนั้นมันคืออะไร” จางมู่ชี้ท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปด้านหลังจางเจาด้วยสีหน้าอึ้งงัน
“สีทองหรือ” จางเจาหันไปมองอย่างสับสน “เหมือนกระบองท่อนหนึ่ง ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาหันกลับมาด้วยสีหน้างุนงงเช่นกัน
“กระบองหรือ แดนมายาของเรามีกระบองสีทองที่สูงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” จางเฉินซันถามอย่างสับสน
“ใช่แล้ว มีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ในที่สุดจางเจาก็ผุดสีหน้าทุกข์ระทมแล้ว
ตูม!
ในที่สุดพายุสีทองอ่อนก็ม้วนพัดมาถึง คลื่นยักษ์โปร่งแสงที่สูงสิบกว่าหมี่กลุ่มหนึ่งกระแทกใส่ร่างคนทั้งสามที่อยู่บนพื้นอย่างรุนแรงจากด้านหลัง
ฟู่ว!
กระแสปราณวิญญาณที่บ้าคลั่งพัดเสื้อคลุมคนทั้งสามจนปลิว เส้นผมของจางเจาปลิวไปด้านหน้าอย่างยุ่งเหยิง
ชั่วขณะนั้นจิตใจของคนทั้งสามรวมถึงจางหงที่อยู่ด้านข้างต่างว่างเปล่า
เป็นเพราะพวกเขาเดาออกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น การที่แดนมายาเชิญวิญญาณที่มีค่ายกลคุ้มครองจะเกิดสถานการณ์อลังการแบบนี้ได้ มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียวเท่านั้น
ความเป็นไปได้ที่ทั้งสี่คนไม่อยากจะเชื่อ
ค่ายกลแตกแล้ว
ปราณวิญญาณสีทองที่บ้าคลั่งกระแทกกระทั้นอาณาเขตทั้งหมดอย่างเกรี้ยวกราด ผู้อาวุโสสองคนเป็นยอดฝีมือระดับสูงส่ง ต่อให้จะเป็นในสี่ตระกูลคุ้มครอง ยอดฝีมือระดับสูงส่งก็ยังเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสมกับคำร่ำลืออยู่ดี นี่เป็นตำแหน่งที่แท้จริงซึ่งได้จากการฝึกฝนปราณร้อยวิญญาณถึงขอบเขตสูงสุด
แม้ปราณร้อยวิญญาณจะอ่อนแอกว่าปราณวิญญาณไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่า แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการกลายพันธุ์ของปราณวิญญาณ ร่างกายจึงสัมผัสได้ เมื่อฝึกฝนปราณร้อยวิญญาณถึงระดับสูงสุด อานุภาพก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับปราณวิญญาณฉบับดั้งเดิมแล้ว
จางมู่ยกมือขึ้นกดลง
แสงสีทองอ่อนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นรอบข้างอย่างฉับพลัน แล้วห่อหุ้มคนทั้งสี่ไว้หลายชั้น ตัดขาดกระแสพายุปราณวิญญาณที่บ้าคลั่งจากโลกภายนอกออกไป
“ค่ายกลพังทลายได้อย่างไร!?” เขามองจางเจาอย่างจริงจัง “เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลยมิใช่หรือ”
ตอนนี้จางเจากำลังสัมผัสร่องรอยที่เหลืออยู่เมื่อครู่อย่างละเอียด ยิ่งสัมผัสเขาก็ยิ่งคลางแคลงใจ
“ข้าไม่รู้…ไม่รู้…ขอเวลาให้ข้าหน่อย ข้าจะต้องตรวจสอบค่ายกลทั้งหมดไปทีละค่าย อาจเป็นเพราะมีจุดใดจุดหนึ่งที่เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ก็ได้ ต้องใช่แน่!” เขามีสีหน้ากระสับกระส่าย พร้อมกับหลับตาสัมผัสร่องรอยของพลังวิญญาณที่เหลืออยู่จากค่ายกลในขณะที่จับผมเอาไว้
“จะเป็นเพราะคนที่ทะลวงค่ายกลเมื่อครู่หรือไม่…” จางหงกลืนน้ำลายเอื๊อกพร้อมกับกล่าวเบาๆ
“ข้าจะตรวจสอบทันที!” จางเจาใช้จิตเชื่อมกับอักขระค่ายกลที่เหลืออยู่อย่างรวดเร็ว เขากำลังจะตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่โดยการคืนสภาพเมื่อก่อนหน้า
ทว่าจางเฉินซันที่ตาดีเห็นพายุสีทองที่อยู่ไกลออกไปค่อยๆ มืดสลัวลง คนหนุ่มสาวสองคนซึ่งเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่ดูท่าทางเหมือนคนธรรมดาค่อยๆ เดินมาทางด้านนี้
“เป็นพวกเขาหรือ คนที่ทะลวงค่ายกล” จางเฉินซันถามเบาๆ
จางเจาเงยหน้ามองไป สีหน้าพลันชะงัก ทั่วทั้งตัวแข็งทื่ออยู่บ้าง
“ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องตรวจสอบแล้วว่าค่ายกลพังได้อย่างไร…”
จางมู่มองตามสายตาของผู้เป็นหลาน เห็นบุรุษมัดผมหางม้ายกสูงที่มีร่างสูงใหญ่กำยำกำลังมองมาทางด้านนี้พอดี
ดวงตาที่มีจุดแสงสีทองในสีดำสนิทคู่นั้นทิ่มแทงจนสองตาของเขาเกิดความเจ็บปวดเลือนรางแทบจะในพริบตาเดียว
แต่นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคลื่นพลังวิญญาณที่ไหลเชี่ยวบนร่างคนผู้นั้น ซึ่งปล่อยแรงกดดันวิญญาณอันยิ่งใหญ่ออกไปรอบๆ ตลอดเวลาเหมือนกับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง
คนผู้นี้มีแรงกดดันวิญญาณยิ่งใหญ่เกินไปจนทำให้ระดับของพลังชีวิตแตกต่างกันมหาศาล จึงกระตุ้นให้เกิดแรงกดดันโดยสัญชาตญาณเหมือนที่สิ่งมีชีวิตระดับสูงมีต่อสิ่งมีชีวิตระดับต่ำ
ทุกๆ ครั้งที่แรงกดดันวิญญาณซึ่งเหมือนห้วงมหาสมุทรเคลื่อนไหว จะชักนำให้พลังวิญญาณในร่างสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งอยู่รอบๆ หลุดออกจากร่างได้ตลอดเวลา
สิ่งที่ยังดีอยู่ก็คือ คลื่นพลังวิญญาณบนร่างบุรุษผู้นั้นหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเปลือกนอกของคนธรรมดาซึ่งกำลังพาหญิงสาวรูปร่างร้อนแรงที่พันผ้าพันแผลบนใบหน้าเข้ามาใกล้ที่นี่อย่างช้าๆ
“เป็นพิธีต้อนรับที่ยิ่งใหญ่จริงๆ” ลู่เซิ่งเดินมาถึงจุดที่อยู่ห่างจากคนทั้งสี่สิบกว่าหมี่แล้วหยุดยืนนิ่งพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใต้เท้า…มายังสถานที่ลับของตระกูลจาง มีธุระอะไรหรือ” ความจริงจางเจาเป็นผู้ควบคุมตัวจริงของแดนมายาเชิญวิญญาณ ดังนั้นคนที่เอ่ยปากเป็นคนแรกในตอนนี้จึงเป็นเขา
เขาจับจ้องดวงตาอีกฝ่ายเขม็ง แม้อีกฝ่ายจะเก็บพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่สายนั้นไปแล้ว แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวที่ควบคุมไม่ได้ นั่นคือสัญชาตญาณในส่วนลึกสุดที่ผุดขึ้นในใจเขา
จางมู่กับจางเฉินซันที่อยู่ด้านหลังเขาลอบผนึกรวมปราณร้อยวิญญาณในร่างกาย พร้อมจะลงมือเข่นฆ่าอีกฝ่ายทุกเวลา แม้คลื่นพลังวิญญาณของลู่เซิ่งจะแข็งแกร่งมาก แต่พวกเขาก็ทำลายค่ายกลของแดนมายาเชิญวิญญาณได้ตรงๆ เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ได้ตกใจอะไรนัก
เมื่อมาถึงระดับของพวกเขา ประสบการณ์การเข่นฆ่ากับทักษะการต่อสู้ที่มีล้วนอยู่ในจุดสูงสุดของเหล่ามนุษย์ สิ่งที่อยู่สูงขึ้นไปอีกคือระดับปรมาจารย์ที่สลักจิตจริงแท้เข้ากับสัญชาติญาณโดยสมบูรณ์
ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสองตื่นตระหนกก็คือ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหน้ามีช่องโหว่น้อยจนน่าสงสาร คล้ายกับฝึกจนเคยชินแล้ว ทำให้ลงมือไม่ได้สักที
พอได้ยินคำถามของจางเจา ลู่เซิ่งซึ่งเพิ่งระบายอารมณ์ไป เลยมีอารมณ์ไม่เลวจึงตอบอย่างไม่นำพาว่า
“ข้ามาหาเสาสีทองขาวต้นหนึ่ง ถ้าหากพวกเจ้ามีใครค้นพบ อย่าลืมแจ้งข้าด้วย”
“เสาสีทองขาวหรือ” พวกจางเจาผุดสีหน้างุนงง ตอนแรกนึกว่าลู่เซิ่งจะมาทวงถามแค้นหรือหาเรื่องยั่วยุเสียอีก
นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาตามหาของจริงๆ
ครั้งนี้จางเจาหน้าซีด มีความคิดอยากตายขึ้นมาแล้ว ถ้าหากเขาถามดีๆ ตั้งแต่แรก ไม่ใช้ค่ายกลลงมือ เรื่องนี้คงจบไปแล้ว
ตอนนี้ยุ่งยากแล้ว ค่ายกลไปยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้า จึงเกิดความวุ่นวายใหญ่โต ความเสียหายของตระกูลไม่อาจประเมินได้
“ในเมื่อเป็นทูตวิญญาณคุ้มครองของตระกูลลู่ มายังแดนมายาเชิญวิญญาณของตระกูลจางเรา พวกเราย่อมต้องทำหน้าที่ของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ เพียงแต่แสงสีทองเมื่อครู่นี้…” จางเฉินซันโพล่งขึ้น
ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม
“ตอนแรกเพียงจะมาเยี่ยนเยียนเฉยๆ เท่านั้น นึกไม่ถึงว่าประตูจะไม่เปิด ทดลองหลายครั้งก็ยังเข้ามาไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงได้แต่ลงมือเอง พวกท่านไม่ถือสากระมัง”
“เรื่องนี้เป็นความผิดของพวกเราเอง แต่ว่าพวกเราเป็นผู้คุ้มครองสถานที่ลับของตระกูล หากท่านคิดจะเข้าไปหาสิ่งของในสถานที่ลับ จำต้องผ่านการทดสอบสองอย่างก่อน” จางมู่ดวงตาฉายแววกลอกกลิ้ง เริ่มหันเหหัวข้อ
……………………………………….