ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 454 ราบรื่น (2)
บทที่ 454 ราบรื่น (2)
แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างงดงาม ลู่เซิ่งนั่งอยู่บนเหลาสุราชั้นสอง มองผ่านหน้าต่างที่อ้าอยู่ลงไป บนถนนที่กว้างขวางมีแผงขายขนมน้ำตาลปั้นตั้งอยู่แผงหนึ่ง ทักษะดียิ่ง รอบๆ มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าแถวรอซื้อขนมน้ำตาลปั้นให้แก่เด็กๆ
ลูกค้าที่เข้าแถวอยู่ข้างใต้หน้าต่างแทบจะยึดครองทัศนวิสัยไปครึ่งหนึ่ง ด้านนอกเอะอะโวยวาย มีเสียงร้องไห้ของเด็กๆ แทรกอยู่
ที่นี่คือตำบลปู้ซาเจียซึ่งเป็นตำบลเล็กๆ บนขอบชายแดนอย่างแท้จริง รกร้างยิ่ง ดังนั้นแผงขายขนมน้ำตาลปั้นเล็กๆ ที่เดินทางพเนจรมา ขอแค่มีฝีมือดีหน่อย ก็จะดึงดูดคนไม่น้อยให้พาเด็กๆ มาต่อแถวเพื่อซื้อได้แล้ว
ในเหล่าลูกค้าที่ไปๆ มาๆ ซึ่งลู่เซิ่งเห็นตอนขึ้นเหลา ส่วนใหญ่เป็นพวกพรานและคนในตำบล จอมยุทธ์ที่แท้จริงมีให้เห็นแค่ไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นพวกอันธพาลใช้การไม่ได้ หรือไม่ก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยแตะขอบเขตยุทธภพด้วยซ้ำ
ตอนนี้การค้าขายบนเหลาสุราชั้นสองกำลังคึกคัก โต๊ะส่วนใหญ่เต็มหมดแล้ว คนไม่น้อยกำลังดื่มสุราและดำเนินการละเล่นในวงสุรา
อยู่ๆ เสี่ยวเอ้อร์ที่ชั้นล่างก็นำบุรุษวัยหนุ่มที่มีใบหน้าขาวผ่องและรูปร่างซูบผอมขึ้นมา
“นายท่าน นี่เป็นสองโต๊ะสุดท้ายแล้ว ไม่อย่างนั้นท่านร่วมโต๊ะกับคนอื่นๆ กินข้าวด้วยกันเป็นอย่างไร”
ชายหนุ่มผู้นั้นกวาดตามองชั้นสอง พอเห็นตำแหน่งที่เสี่ยวเอ้อร์ชี้ให้ดู คิ้วก็ขมวดมุ่นกว่าเดิม
ตำแหน่งนั้นติดกับโต๊ะอาหารที่กำลังดำเนินการละเล่นในวงสุราอยู่ จึงเสียงดังครึกโครม ยังมีเสียงหัวเราะต่อกระซิกดังขึ้นตลอดเวลา
“เช่นนั้นข้าร่วมโต๊ะก็ได้” เขากล่าวอย่างราบเรียบ สายตาเริ่มเคลื่อนไปทั่วชั้นสองเพื่อเลือกโต๊ะสะอาดๆ
ทันใดนั้น ตอนที่ตาของเขากวาดผ่านโต๊ะอาหารที่ลู่เซิ่งนั่งอยู่ ดวงตาก็สั่นไหวเล็กน้อย
“ข้านั่งตรงนั้นก็แล้วกัน” เขาชี้ไปที่โต๊ะของลู่เซิ่งพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปถามลูกค้าท่านนั้นก่อน” เสี่ยวเอ้อร์ขออภัยด้วยใบหน้าขื่นขม ถึงอย่างไรเพียงมองดูก็รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนเดนตายในยุทธภพ
“ไม่เป็นไรๆ สมควรแล้วๆ” ชายหนุ่มแทบจะข่มท่าทางข้าสนใจในตัวจอมยุทธ์ไม่อยู่ ตาคู่โตวาดผ่านดาบตรงเอวลู่เซิ่งไปมา
เสี่ยวเอ้อร์วิ่งไปถึงด้านข้างลู่เซิ่งแล้วถามเบาๆ พอได้รับคำตอบยืนยัน จึงค่อยวิ่งกลับมาแจ้งต่อคนหนุ่มผู้นี้
“ลูกค้าท่านนั้นบอกว่าไม่มีปัญหาขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี”
เสี่ยวเอ้อร์พาคนหนุ่มผู้นี้ไปนั่งลงข้างโต๊ะลู่เซิ่ง ไม่นานก็ส่งรายการอาหารมา หลังเลือกอาหารเสร็จ ชายหนุ่มผู้นี้ก็ใช้หางตาพิจารณาลู่เซิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผ่านไปสักพัก เขาก็กินจานเรียกน้ำย่อยเสร็จ ก่อนจะเป็นฝ่ายทักทายเอง
“พี่ชายท่านนี้ ขอบคุณมาก” เขาประสานมือให้ลู่เซิ่ง เพียงแต่ท่าทางไม่ได้มาตรฐาน ต่อให้เทียบกับคุณชายตระกูลเฉินที่ลู่เซิ่งได้เจอก่อนหน้านี้ ก็ยังดูประดักประเดิดอยู่ดี
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งยิ้ม
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน เพียงแต่หลังจากที่อาหารที่คนหนุ่มผู้นี้เลือกยกมาแล้ว ลู่เซิ่งก็สั่งอาหารอีกหลายจานและสุราละธุลีมากาหนึ่ง
“ขอโทษด้วยขอรับนายท่าน สุราละธุลีขายหมดแล้วขอรับ…เหลือแต่กาที่นายท่านผู้นี้สั่งเท่านั้น” เสี่ยวเอ้อร์กล่าวกับลู่เซิ่งอย่างค่อนข้างรู้สึกผิดในตอนยกอาหารมา
“ขายหมดแล้วหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง รสชาติของสุราละธุลีนี้เทียบได้กับน้ำผลไม้รสสุราที่เติมเกาลัดกับผลไม้หลายชนิดลงไป ในโลกที่ไม่มีทักษะการกลั่นสำหรับทำสุราระดับสูงแบบนี้ รสชาติสุราแบบนี้เขาเพียงถือว่ากำลังดื่มน้ำผลไม้อยู่เท่านั้น
“สุราชนิดอื่นเล่า ยังมีอีกไหม” ลู่เซิ่งถูกใจสุราละธุลีนี้
เสี่ยวเอ้อร์จนใจกว่าเดิม “ขออภัยขอรับ สุราผลไม้อย่างอื่นก็ขายหมดแล้วเช่นกัน เหลือแต่สุราเหลืองเท่านั้น”
“สุราเหลืองหรือ?” ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ
“ดูเหมือนพี่ชายจะเป็นคนคอเดียวกัน ไม่เป็นไร พวกเราดื่มกานี้ด้วยกันเถอะ”
คนหนุ่มผู้นั้นงุนงงเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยอย่างผ่าเผย
“ข้าดื่มสุราละธุลีนี้มาตั้งแต่เด็กๆ มักมาเหลาบุปผาอสรพิษแห่งนี้เพื่อสั่งสุราละธุลีหนึ่งกาทุกๆ เดือน หลายปีมานี้ไม่เคยมีข้อยกเว้น”
ลู่เซิ่งมองคนผู้นี้อย่างประหลาดใจ
“อย่างนั้นต้องขอขอบคุณแล้ว” เขาพูดพร้อมกับยิ้ม “รสชาติของสุราชนิดนี้ไม่เลวจริงๆ”
“ความจริงพี่ชายยังไม่ได้ดื่มสุราอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งก็คือสุราเก้ามังกรอสรพิษซึ่งเข้มกว่าแถมยังหอมกว่า ยอดเยี่ยมกว่ารสชาติของสุราละธุลี ดื่มแล้วจะรู้สึกสดชื่นมาก” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะว่าไป ดูจากการแต่งตัวของพี่ชาย น่าจะเป็นคนต่างถิ่นกระมัง การออกเดินทางข้างนอกมักจะเจอเรื่องประหลาพิสดาร ถ้าหากพี่ชายไม่ถือสา เล่าเรื่องราวประหลาดสักสองสามเรื่องให้ผู้น้องฟังได้หรือไม่ ถือเสียว่าเป็นค่าสุราก็ได้”
เขาเว้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยยิ้มเยาะตัวเอง “สิ่งที่ข้าชอบมากที่สุดในชีวิตก็คือการรับฟังเรื่องอัศจรรย์พันลึก เพียงแค้นที่ตัวเองไม่มีโอกาสออกไปเดินทางเพื่อประสบด้วยตัวเอง ได้แต่ฝากความหวังไว้กับคนอื่น”
“เรื่องประหลาดพิสดารข้ากลับรู้มากอยู่” ลู่เซิ่งเพิ่งเคยเจอคนแบบนี้เป็นครั้งแรก เขาสัมผัสได้ว่าความปรารถนาของคนผู้นี้บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ไม่มีร่องรอยเสแสร้งแม้แต่น้อย
“พี่ชายได้โปรดกินอาหารดื่มสุรา!” คนหนุ่มพลันตาเป็นประกาย
งานอดิเรกของคนผู้นี้คือการฟังเรื่องราว เกิดว่าเขาพบคนต่างถิ่นในตำบล ก็จะคะยั้นคะยอเพื่อหาโอกาสขอคำชี้แนะ เพื่อให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องประหลาดหลากหลายให้เขาฟังตลอด
ลู่เซิ่งเองก็ไม่เกรงใจ ทางหนึ่งดื่มสุรา ทางหนึ่งสนทนากับคนผู้นี้ เรื่องประหลาดพิสดารที่เขารู้จักไม่ใช่แค่เยอะเท่านั้น หากมีมากจนนับไม่หวาดไม่ไหว เรื่องผีสางความประหลาดลี้ลับทุกชนิดทั่วทั้งต้าซ่งและต้าอิน เล่าสามวันสามคืนก็ยังไม่จบ
คนหนุ่มเหมือนกับฟืนโดนสะเก็ดไฟ พูดคุยกับลู่เซิ่งถึงภูตผีในเรื่องเล่าที่อีกฝ่ายเล่า เขามีความรู้กว้างขวางสุดขีด แม้แต่ภูตผีที่ลู่เซิ่งไม่รู้จัก เขากลับแยกแยะชนิด ความสามารถ และแบบแผนการปรากฏตัวอย่างคร่าวๆ ได้ในทันที
ตอนแรกลู่เซิ่งนึกว่าแค่บังเอิญ เพียงแต่ต่อจากนั้น คนหนุ่มผู้นี้กลับพูดถึงความเป็นมากับรูปร่างของปีศาจชนิดพิเศษหลายชนิดที่เคยเจอมาก่อนได้ทั้งหมด
นี่สร้างความตื่นตะลึงให้กับลู่เซิ่งแล้ว เขาจึงเริ่มพูดคุยกับคนหนุ่มผู้นี้อย่างจริงจังขึ้น
“สหายเหมยท่านไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน ท่านบอกเล่าเหมือนตัวเองเคยเจอมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น” ลู่เซิ่งอดถามไม่ได้
ตอนนี้คนหนุ่มผู้นี้แจ้งชื่อกับลู่เซิ่งแล้ว เขาแซ่เหมย ชื่อโย่วเจียง อายุราวยี่สิบสี่ปี อาศัยอยู่ในตำบลแห่งนี้
“กล่าวไปก็น่าละอาย ข้าชอบรวบรวมคัมภีร์โบราณหรือตำราชำรุดมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตัวข้ารักหนังสือดุจชีวิต ทั้งยังชอบคบหาสหาย และคอยสะสมเรื่องประหลาดพิสดารไปทั่ว สิ่งที่รู้แม้จะละะเอียดยิบ แต่ตนเองไม่แน่ใจว่ามีตัวตนอยู่จริงๆ หรือไม่”
“สหายโย่วเจียงอย่าได้ดูแคลนตัวเองไป” ลู่เซิ่งส่ายหน้า เขารู้สึกตกตะลึง ก่อนหน้านี้จึงจงใจหยั่งเชิงไปครั้งหนึ่ง เนื้อหาที่เหมยโย่วเจียงพูดถึงเหมือนกับเนื้อหาที่เขาได้รู้และได้เจอมาไม่ผิดเพี้ยน
“ไม่ใช่เช่นนั้น สหายลู่ไม่เข้าใจสถานการณ์ในบ้านข้าน้อย” พอเหมยโย่วเจียงเล่าเรื่องนี้ก็แสดงสีหน้าจนปัญญา “บิดาของข้าไม่ชอบให้ข้าคบหากับวิญญูชน ส่วนการรวบรวมคัมภีร์โบราณและตำราชำรุด ตอนแรกๆ ก็ยังสนุกดีอยู่หรอก แต่ต่อมาจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สิ้นเปลืองทรัพย์สมบัติตระกูลเกินไป จึงไม่ได้รับการสนับสนุน…คนในบ้านล้วนบอกว่าข้าชอบเที่ยวเล่น…แต่คนเราเกิดมาทั้งที หากไม่ไล่ตามความฝันแล้ว จะต่างอะไรกับซากศพหรือก้อนเนื้อเดินได้เหล่านั้นเล่า”
ลู่เซิ่งส่ายหน้าเช่นกัน
“เมื่อฟ้าให้กำเนิดตัวเราย่อมต้องมีประโยชน์ สหายเหมยอย่าเศร้าใจไป ท่านมีความรู้กว้างขวาง ต้องมีสักวันที่ได้ใช้ประโยชน์ ตอนนี้แค่โอกาสยังมาไม่ถึงเท่านั้น”
“เมื่อฟ้าให้กำเนิดตัวเราย่อมต้องมีประโยชน์…คมคายนัก พี่ชายมีวาทศิลป์ไม่เลว ใช้กลอนร่ำสุราได้พอดี มา!” เหมยโย่วเจียงยกจอกสุราขึ้นชนกับลู่เซิ่ง แล้วดื่มรวดเดียวหมด
ทั้งสองคุยกันอีกสักพัก ขณะเหมยโย่วเจียงกำลังเล่าถึงความเป็นมาของวัตถุปีศาจพิสดารที่ทราบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เข้าใจภาษาคน และรู้จักเหตุผลอยู่นั้นเอง
มุมโค้งของบันไดเหลาก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นมาเสียงดังตึงตัง ทั้งหมดสวมชุดข้ารับใช้ประจำตระกูลที่ทำจากผ้าสีเทา ผู้นำเป็นสตรีนางหนึ่ง คิ้วดั่งหลิวปากดั่งผลอิง สองแก้มผุดผาดดั่งดอกท้อ หน้าอกหน้าใจตั้งตระหง่าน มัดสายรัดเอวสีแดง กระโปรงยาวสีเข้มคับติ้วห่อคลุมสองขา ขับเน้นเค้าโครงของขาไปถึงสะโพกอย่างสมบูรณ์แบบ
พอนางขึ้นมา ก็จ้องมองเหมยโย่วเจียงที่กำลังพูดอยู่ทันที
“น้องสาม! ลุงรองมาแต่เจ้ากลับไม่ไปต้อนรับ เอาแต่มามั่วสุมที่เหลาสุรา ถ้าหากท่านแม่ทราบว่าเจ้ามารวบรวมเรื่องประหลาดอะไรอีกล่ะก็ กลับไปเป็นโดนตีตายแน่” สตรีนางนี้ปากจัดเป็นพิเศษ ให้ความรู้สึกคุกคามคน มองออกว่านางกระทำในบ้านทุกวันๆ จนเคยชินแล้ว
“พี่ใหญ่!?” เหมยโย่วเจียงเห็นสตรีนางนี้สีหน้าก็พลันเปลี่ยน ในที่สุดเสียงก็กระจ่างใสนุ่มนวลเหมือนเดิม “ข้ากับสหายลู่คุยถูกคอกัน กำลังเล่าถึงเรื่องปีศาจสามวันพอดี ท่านนี่ทำเสียเรื่องจริงๆ ลุงรองมาแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย จะให้ข้าไปต้อนรับให้ได้ ข้าเป็นลูกสาวนะ ท่านแม่ไม่รู้จักละอายบ้างเลย” นางพูดพลางลุกขึ้น ขอโทษลู่เซิ่ง แล้วไปหาสตรีนางนั้นอย่างจนใจ
“ไปๆๆ รีบกลับไปได้แล้ว พอท่านแม่ไม่เห็นเจ้าก็รู้ว่าเจ้าจะต้องมาที่นี่แน่ วันนี้เป็นวันละธุลีที่เจ้าจดจำมาโดยตลอด ขอแค่หายไป จะต้องมาดื่มสุราที่นี่แน่นอน” สตรีนางนั้นกล่าวอย่างจนปัญญาพร้อมกับดีดนิ้วใส่หน้าผากเหมยโย่วเจียง
“เจ้านี่ล่ะก็ อย่าทำให้ท่านแม่โมโหบ่อยๆ ได้หรือไม่ คนที่บ้านเป็นกังวลเพราะเรื่องของเจ้านี่แหละ”
เหมยโย่วเจียงได้แต่ปล่อยให้พี่ใหญ่ลากกลับไปด้วยความเร่งรีบ ก่อนไปก็นัดแนะกับลู่เซิ่งว่าครั้งหน้าให้มาเจอกันที่เหลาสุราแห่งนี้ต่อ
ลู่เซิ่งค่อนข้างสนใจ งานอดิเรกของเหมยโย่วเจียงผู้นี้กลับพิลึกนัก มิหนำซ้ำช่องทางและแหล่งที่มาซึ่งนางใช้รวบรวมข้อมูลก็ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน ปรากฏการณ์ต่างๆ และพวกปีศาจที่บรรยายในข่าวลือและเรื่องเล่าประหลาดเหล่านี้เหมือนสิ่งที่เขาเคยประสบพบเจอมาไม่ผิดเพี้ยน
สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในทำให้คนอยากรู้อยากเห็นจริงๆ ส่วนที่นางจะเป็นบุรุษหรือสตรี เขาไม่สนใจโดยสิ้นเชิง
ในเวลามากกว่าครึ่งเดือนต่อจากนั้น เขามาพบปะกับเหมยโย่วเจียงที่เหลาสุราแห่งนี้ทุกวัน ทั้งสองคุยกันทุกเรื่องตั้งแต่ฟ้าทักษิณไปจดทะเลอุดร ลู่เซิ่งค่อยๆ ชักนำหัวข้อไปยังเนื้อหาที่ตัวเองต้องการทราบ อย่างเช่นว่าสตรีในร่างมังกรเงิน หรือไม่ก็อสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียร
เขาได้ข้อมูลอย่างละเอียดที่ไม่ทราบว่าจริงหรือปลอมมาส่วนหนึ่ง
นอกจากนั้นในช่วงเวลานี้ เขาซึ่งได้ทำการทดลองกับตัวเปี๋ยเฟยเฮ่อเริ่มได้รับผลตอบรับ โดยเฉพาะการเสริมความแข็งแกร่งเกี่ยวกับพลังวิญญาณ เขายังไม่พบอันตรายอะไร
เห็นได้ว่าเคล็ดวิชาพื้นฐานพลังวิญญาณที่จวี้เยี่ยนมอบให้ไม่น่าจะมีปัญหา ต่อมาเขาคิดจะฝึกฝนพลังวิญญาณอย่างแท้จริง การที่จวี้เยี่ยนมอบวิธีฝึกฝนพลังวิญญาณให้เขา จะต้องวางแผนร้ายเพื่อให้เขามีพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งแน่
เขาคิดจะทำตามประสงค์ของอีกฝ่าย โดยการใช้ดีปบลูเรียนรู้เคล็ดวิชาพลังวิญญาณที่ล้ำลึกกว่าเดิมเพื่อยกระดับพลังในกายเนื้อของลู่เซิ่ง
เพียงแต่ในเวลานี้เอง ตระกูลเหมยในตัวตำบลกลับส่งคนมายังเรือนเล็กที่เขาพักอยู่และมอบเทียบเชิญให้ เหมยโย่วเจียงเป็นผู้ส่งมา แต่เนื้อหากลับยุ่งยากอยู่บ้าง เหมยโย่วเจียงถูกลักพาตัว ตอนนี้หายตัวไปแล้ว
ผู้ที่ส่งข่าวคือซิ่งเอ่อร์หญิงรับใช้ประจำตัวของนางและเป็นเพื่อนสนิทของนาง ดังนั้นจึงเขียนจดหมายมารายงานคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับคุณหนูประหลาดผู้นี้เช่นพวกเขา
เนื่องจากว่าลู่เซิ่งดื่มสุรากับเหมยเจียงโย่วในช่วงนี้ จึงถูกนับเข้าไปด้วยอย่างเสียมิได้
…
ตระกูลเหมย
“จะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี!?” เหมยเยียนหงพี่ใหญ่ตระกูลเหมยเดินพล่านอยู่ในเรือนอย่างกระสับกระส่าย
“น้องเล็กออกไปสิบสี่ชั่วยามแล้ว ยังไม่กลับมาอีก นางยิ่งเป็นคนขี้หลงทางอยู่ด้วย หาทางไม่เคยเจอ เหตุใดจึงติดตามคนแปลกหน้าออกไปจากเมืองไกลขนาดนี้ ต้องมีเลศนัยแน่!” พี่รองเหมยซิ่วหลันเอ่ยอย่างใจเย็น เพียงแต่นางเดี๋ยวบีบเดี๋ยวคลายนิ้ว บ่งบอกว่านางไม่ได้ใจเย็นอย่างที่เห็นภายนอก
“รายงานทางการเรื่องคดีแล้ว คนของพวกเราก็ส่งออกไปหาแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผลลัพธ์ สถานที่ที่นางชอบไปบ่อยๆ ก็ค้นจนทั่วแล้วเช่นกันแต่ก็หาไม่เจอ ในเมื่อจดหมายข่มขู่เป็นมนุษย์ทิ้งไว้ พวกเราอาจจะขยายผลจากร่องรอยนี้เพื่อตามหาคนได้”
“ข้ากำลังทำอยู่” เหมยเยียนหงพยักหน้า
ตึง! เพล้ง!
เสียงภาชนะแตกดังมาแต่ไกล จากนั้นก็มีคนตะโกนด่ากัน คล้ายกำลังทะเลาะกันอยู่
“เรือนรับสุคนธ์ของน้องเล็กกำลังทำอะไร เหตุใดจึงได้หนวกหูขนาดนี้!?” เหมยเยียนหงถามอย่างมีน้ำโหเล็กน้อย
“ได้ยินมาว่าสหายในยุทธภพที่น้องเล็กคบหาในยามปกติมารวมตัวกันเพื่อปรึกษาว่าจะช่วยเหลือน้องเล็กอย่างไรอยู่” เหมยซิ่วหลันขมวดคิ้วพูด
“มีแต่จะเพิ่มความวุ่นวาย!” เหมยเยียนหงโมโหแล้ว จึงด่าเบาๆ ประโยคหนึ่ง
“ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย ตอนนี้การมีขุมกำลังเพิ่มมาส่วนหนึ่งก็ถือเป็นความหวังเช่นกัน” เหมยซิ่วหลันยิ้มอย่างหนักใจ
……………………………………….