ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 455 เสาต้นที่สอง (1)
บทที่ 455 เสาต้นที่สอง (1)
ด้านในเรือนรับสุคนธ์
บุรุษสตรีกลุ่มหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าแตกต่างกัน แต่ภายนอกดูเหี้ยมเกรียมดุร้าย มีเอกลักษณ์ถึงขีดสุด กำลังด่าทอกันและกันขณะที่เบียดเสียดกันอยู่
คนที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวด้วยส่วนหนึ่งจ้องมองการทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยสายตาเย็นชา มีชายชราเข้าไปไกล่เกลี่ย แต่หลังจากโดนตบใส่ฉาดหนึ่ง ก็เข้าไปร่วมไปผสมโรงด้วย
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่ง ดื่มสุราเลิศรสและกินอาหารโอชะที่คฤหาสน์เหมยมอบให้ไปพลาง ชมดูคนส่วนหนึ่งที่สู้กันกลางลานไปพลาง ถือเสียว่ากำลังรับชมมหรสพ
เขาสวมชุดคลุมสีกรมท่า หวีผมไว้อย่างเรียบร้อย แขวนดาบเล่มหนึ่งอยู่บนหลัง ดูไม่ต่างจากจอมยุทธ์ทั่วไป
แต่ว่าคนสองคนที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะเขากลับมีรูปร่างลักษณะต่างออกไป
คนหนึ่งเป็นสตรี เป็นสตรีอ้วนร่างยักษ์ที่สูงเกือบสองหมี่ แต่ร่างกว้างเกือบหนึ่งจุดห้าหมี่
สตรีซึ่งกึ่งยืนกึ่งนั่งพิงโต๊ะกำลังกินอาหารอย่างมูมมาม แทบจะกินอาหารชามใหญ่หมดในไม่กี่คำ
สตรีอ้วนผู้นี้แค่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนี้ ร่างกายก็บังแสงไว้มิดแล้ว ทำให้คนอื่นๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ สิ่งที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ สตรีอ้วนนี้กินไปพลาง น้ำตาไหลไปพลาง
“นายท่าน…ข้ากิน…กินต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ…” นางกล่าวพลางร่ำไห้
“ไม่เป็นไร กระเพาะไม่ระเบิดหรอก” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างอ่อนโยน
พอได้ยินคำพูดนี้ สตรีอ้วนก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวดกว่าเดิม
อีกคนที่นั่งอยู่ข้างนางเป็นบุรุษน่าสงสารที่กระดูกแห้งเหมือนฟืนและมีสองตาปูดโปนเหมือนกับคางคก
บุรุษผู้นี้สวมชุดคลุมสีดำขนาดเล็กที่สุด แต่ก็แทบจะห่อคลุมร่างกายของเขาไว้ทั้งหมดเหมือนกับสวมผ้าคลุมกันลม
สองตาของคนผู้นี้มีถุงใต้ตาใหญ่กับขอบตาที่ดำมาก ดูเหมือนจะไม่ได้พักผ่อนมานานแล้ว
ถ้าหากมีคนของตระกูลจางเห็นเขา คงจะจดจำไม่ได้ว่าคนผู้นี้ก็คือจางเจา อัจฉริยะตระกูลจางที่ตอนนั้นสง่างามดั่งต้นหยกต้านลม รวมถึงมีพรสวรรค์เหลือล้น
และสตรีอ้วนคนเมื่อครู่ก็คือเปี๋ยเฟยเฮ่อที่ก่อนหน้านี้มีรูปร่างยั่วยวนนั่นเอง
พวกเขาสองคนเป็นตัวทดลองที่ลู่เซิ่งเลือกอย่างเป็นทางการ
สิ่งที่จางเจาทดลองคือเคล็ดวิชามารสวรรค์ ส่วนสิ่งที่เปี๋ยเฟยเฮ่อทดลองก็คือวิชาพื้นฐานพลังวิญญาณ แม้จะเริ่มได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็มีผลข้างเคียงกับโรคแทรกซ้อนอยู่มากมายที่ไม่ใช่ว่าจะทดสอบหมดได้ในทันที ยังต้องตรวจสอบอย่างละเอียดและสังเกตต่อไป
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงให้จางเจาฝึกเคล็ดวิชามารสวรรค์ และให้เปี๋ยเฟยเฮ่อฝึกพลังวิญญาณ
ในการฝึกฝนพลังวิญญาณ ร่างกายของเปี๋ยเฟยเฮ่ออ่อนแอเกินไป ลู่เซิ่งจึงพานางไปฝึกออกกำลังกาย ขณะเดียวกันก็วางแผนเพิ่มน้ำหนักอย่างเฉพาะเจาะจงให้ด้วย ความจริงพลังวิญญาณกับกายเนื้อมีความสัมพันธ์แบบแปรผันตรง ยิ่งกายเนื้อแข็งแกร่งเท่าไหร่ พลังวิญญาณก็ยิ่งร้ายกาจมากเท่านั้น
ดังนั้นหลังจากลู่เซิ่งเลือกเปี๋ยเฟยเฮ่อแล้ว เขาจึงไม่เคยปฏิบัติกับนางเหมือนเป็นสตรีมาก่อน อย่าว่าแต่เปลี่ยนวิธีเพื่อฝึกฝนนางทุกวัน ยังเคี่ยวเข็ญให้นางกินอย่างตะกละตะกราม จนทำให้มีครั้งหนึ่งที่กระเพาะระเบิดเพราะกินมากไป
ดังนั้นตอนนี้เปี๋ยเฟยเฮ่อจึงแทบกินไปร้องไห้ไป
ส่วนจางเจากลับได้รับการปฏิบัติต่างออกไป ทุกๆ ครั้งที่กินอาหาร เขาทำได้แค่สองอย่าง
อย่างแรกคือได้แต่ดื่มน้ำ อย่างที่สองคือต้องดูเปี๋ยเฟยเฮ่อกิน ระหว่างนั้นลู่เซิ่งจะมอบพลังวิญญาณให้เขาใช้ประทังชีวิตเป็นบางครั้ง หลังผ่านไประยะหนึ่ง บุรุษหล่อเหลาในตอนแรกจึงมีสภาพเช่นในปัจจุบัน ต่อให้พลังวิญญาณจะร้ายกาจอย่างไร ก็ไม่อาจชดเชยสารอาหารจำนวนมากได้
ดังนั้นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็คือ จางเจาใกล้จะหิวตายเต็มทีแล้ว นับตั้งแต่ลู่เซิ่งพาเขามาจากตระกูลจาง ก็ทำแบบนี้กับเขามาโดยตลอด อาจะเป็นเพราะต้องการแก้แค้น ลงทัณฑ์ทางอ้อม แต่จางเจาหิวจนไม่มีเรี่ยวแรงใคร่ครวญแล้ว ตอนนี้เขาแค่อยากกินเท่านั้น
ลู่เซิ่งมองสองคนตรงหน้าอย่างค่อนข้างพึงพอใจ ทั้งสองคนฝึกฝนโดยใช้เส้นทางการฝึกฝนที่เขาสร้างขึ้น ตอนนี้ดูเหมือนจะมีประสิทธิผลไม่เลว ‘ใกล้แล้ว ทนอีกหน่อย ใกล้แล้วๆ’
เขากวาดตามองเรือนรับสุคนธ์ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกไม่ได้ความ มีแต่อีกมุมหนึ่งเท่านั้นที่มีกลุ่มประหลาดของคนสองคนซึ่งสง่าผ่าเผยไปทั้งคำพูดและการกระทำนั่งอยู่
สองคนนั้นคนหนึ่งอายุน้อย สวมชุดตัดสั้นสีเขียว ดูเหมือนจะเป็นคนธรรมดา อีกคนหนึ่งสะพายหอกสั้นคู่หนึ่งไว้ด้านหลัง พู่แดงบนตัวหอกโบกไหวตามลมเบาๆ ขับเน้นร่างที่แข็งแกร่งและได้สัดได้ส่วนของเขา
“ทุกท่าน ดูเหมือนพวกเราจะไม่ได้รับความสำคัญเท่าไหร่ ได้ยินว่าตระกูลเหมยยังได้ใช้ความสัมพันธ์ที่มีกับพรรคเก้าลำธาร โดยฝากความหวังไว้กับจ้าวหุนแพรแห่งหุนเจียง ซึ่งเป็นนายเรือที่อยู่ใกล้ๆ นี้เพื่อตามหาโย่วเจียงอีก” ชายชราที่อายุค่อนข้างมากคนหนึ่งเดินเข้าไปตรงกลางแล้วกล่าวเสียงกังวาน
“พวกท่านทะเลาะกันต่อไปแบบนี้ นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว ยังทำให้โย่วเจียงน้อยเสียหน้าอีกต่างหาก ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านมาช่วยโย่วเจียงน้อยเพราะอะไร แต่ตัวข้าได้รับการช่วยเหลือจากโย่วเจียงน้อยในตอนที่ปลงไม่ตก สิ้นไร้ไม้ตอก จึงค่อยมีงานมีการทำอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะโย่วเจียงน้อย ตอนนั้นข้าคงไปสู่ปรโลกแต่แรกแล้ว ดังนั้นไม่ว่าเรื่องในวันนี้จะพบเจออะไร ข้าตู้ฉวนฝูพูดหนึ่งไม่มีสอง!”
ชายชราผู้นี้คล้ายจะมีบารมีในใจของทุกคน กล่าววาจามีพลังจนทำให้คนที่กระสับกระส่ายสงบลงอย่างรวดเร็ว
“ผู้เฒ่าตู้กล่าวถูกต้องแล้ว คนที่เจียงน้อยช่วยเหลือมาในช่วงเวลาหลายปีมานี้ไม่ทราบมีกี่คน แต่คนที่ยินยอมมาหรือกล้ามาที่นี่จริงๆ กลับมีน้อยแค่นี้เอง ความจริงพี่น้องที่อยู่รอบๆ มีใครที่ไม่ได้มาเพราะความคิดที่ว่า ‘อย่างมากสุดก็คืนชีวิตให้แก่โย่วเจียงน้อย’ พวกท่านวางใจเถอะ ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็จะไม่หันหลังกลับไปอีกเด็ดขาด” อีกคนเป็นบุรุษวัยกลางคน ตอนนี้เขาก็รีบเข้ามาเสริมเช่นกัน
“ถูกต้องๆ วาจานี้กล่าวถูกต้อง”
“ใช่แล้ว คนที่อยู่รอบๆ นี้ใครบ้างเป็นพวกกลัวตาย ถ้าไม่ใช่ได้รับบุญคุณของโย่วเจียงน้อยล่ะก็…”
“ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเงินช่วยชีวิตของโย่วเจียงน้อย เกรงว่าข้าคงจะไม่ได้เจอภรรยาข้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว”
พอกล่าววาจานี้ออกไป คนที่อยู่รอบๆ ก็ส่งเสียงชื่นชมทันที
“ตอนนี้ในเมื่อตระกูลเหมยไม่สนใจพวกเรา เช่นนั้นเหตุใดเราไม่ตั้งผู้นำที่จะนำทุกคนและรวมทุกคนเป็นหนึ่งเดียวขึ้นสักคนเล่า ขณะเดียวกันยังหลีกเลี่ยงการตรวจสอบเบาะแสซ้ำซ้อนได้ด้วย” บุรุษวัยกลางคนผู้นี้เอ่ยฉะฉานด้วยรอยยิ้ม
“ผู้นำหรือ” ลู่เซิ่งเห็นคนสองคนที่อยู่อีกโต๊ะหนึ่งค่อยๆ ลุกขึ้น ทั้งสองผุดสีหน้าเย็นชาตอนได้ยินคำว่าผู้นำ
ลู่เซิ่งละสายตากลับมา มองดูจางเจาที่ตาเป็นประกายจนน่ากลัว ยิ่งร่างกายอ่อนแอ จิตใจก็ยิ่งแข็งแกร่งมีพลัง นี่เป็นการใช้กายเนื้อบูชาจิตใจที่เล่าลือกันนั่นเอง
สิ่งที่จางเจาใช้อยู่คือวิชาถอดวิญญาณที่คล้ายกับวิธีการที่ว่า แม้การฝึกฝนโดยเลียนแบบสภาพแวดล้อมของมารสวรรค์เทียมนี้จะมีประสิทธิภาพด้อยไปบ้างจริงๆ แต่ความจริงแล้วยังหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของตัวเองที่เหมือนกับมารสวรรค์มากที่สุดออกมาได้
“ถ้าหากทำได้ ข้ารู้วิธีที่ดีกว่าในการกดดันจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าออกมา” นายน้อยตระกูลจางผู้นี้มองแผนการของลู่เซิ่งออกแล้ว จึงเอ่ยปากในตอนแรกสุดเพื่อคิดช่วยเหลือตัวเอง
แต่ลู่เซิ่งไม่สนใจ ใช้วิธีการที่สุดโต่งนี้กดดันเขา ทำให้เขาแทบอยู่ในสภาพเสียสติต่อไป
จางเจาเคยทดลองพยายาม แต่หลังจากทดลองหลายครั้ง ในที่สุดเขากับเปี๋ยเฟยเฮ่อก็เข้าใจว่า หากคิดจะสลัดให้หลุดจากการควบคุมของลู่เซิ่ง วิธีการเพียงหนึ่งเดียวคือเชื่อฟัง ยิ่งเชื่อฟัง ลู่เซิ่งก็จะยิ่งไม่กดดันท่าน
หลังจากทุกคนปรึกษากันเสร็จ ก็สรุปผลเป็นครั้งสุดท้าย ให้ผู้เฒ่าตู้ฉวนฝูผู้นั้นเป็นผู้นำ แล้วเริ่มจัดระเบียบข้อมูลมากมายที่ทุกคนรู้
พอยืนยันตำแหน่งของแต่ละคนเสร็จ ทุกคนก็สรุปสิ่งที่ตนรู้ สถานการณ์จึงเปิดกว้างอย่างรวดเร็ว อย่าเห็นว่าคนพวกนี้ท่าทางไม่เท่าไหร่ แต่งูมีรังงู หนูมีรูหนู ต่างคนต่างมีช่องทางของตัวเอง เมื่อรวมกันแล้ว ก็สามารถกำหนดอาณาเขตได้คร่าวๆ
ลู่เซิ่งตัดสินใจชั่วคราวว่าจะไปกับคนกลุ่มนี้ เขาได้รู้จากปากคนกลุ่มนี้ว่าเนื่องจากมีนายพรานเป็นจำนวนมาก บวกกับเต็มไปด้วยพวกเก็บสมุนไพร พื้นที่แทบทุกชุ่นใกล้ๆ นี้จึงถูกสำรวจหมดแล้ว
ในสถานการณ์แบบนี้ไม่มีที่ลับอะไรที่สามารถซ่อนเอาไว้ได้
แต่ว่าแม้ไม่มีสถานที่ลับ ที่นี่กลับมีขุมกำลังที่ลึกลับถึงขีดสุดกลุ่มหนึ่ง ขุมกำลังนี้ไม่ได้แพร่หลายในยุทธภพและพื้นที่ต่างถิ่น มันเพียงมีการเล่าลือในอาณาเขตเล็กๆ และระหว่างชาวบ้านไม่กี่คนในพื้นที่เท่านั้น
ชื่อของขุมกำลังนี้คือ คฤหาสน์มืด
ปฏิบัติการณ์ตามหาคน ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมกับคำยืนยันจากผู้บัญชาการและการสรุปข้อมูล ใช้เวลาแค่ครึ่งวัน ทุกคนก็สามารถยืนยันอาณาเขตการตามหาที่มีความเป็นไปได้ได้ จากนั้นค่อยประสานให้คนไปตรวจสอบค้นหา
เพียงแต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ จนกระทั่งถึงกลางดึก ทุกคนก็ยังไม่เจอว่าเหมยโย่วเจียงอยู่ไหน เพียงแต่แน่ใจว่ามีคนเห็นนางกับบุรุษท่าทางร่ำรวยอ้วนฉุคนหนึ่งเดินตามกันออกจากเมืองไป
“เหมือนว่าจะเห็นพวกนางไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ…”
“ทิศตะวันออกเฉียงเหนือหรือ…ท่านแน่ใจนะ?”
“แน่ใจ”
“…”
“ข้าจำได้ว่าทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ปลูกข้าวโพดผืนใหญ่กระมัง เป็นที่ของตระกูลหลี่ในตัวตำบล”
“ไปใช่ตรงนั้น ห่างไปทางตะวันออกเฉียงเหนืออีก”
ทุกคนหยุดพูดคุยกัน ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่าใบหน้าของคนจำนวนมากที่อยู่รอบๆ เหยเกขึ้น คล้ายกับทิศตะวันออกเฉียงเหนือไกลออกไปเป็นสถานที่ต้องห้ามของที่นี่
ด้านในเรือนรับสุคนธ์ เขาเห็นคนที่นั่งอยู่ในความมืดหลายสายลุกขึ้นแล้วออกจากประตูไปด้วยสีหน้าแน่วแน่
“ยังจะไปไหม” มีเสียงหนึ่งถามเบาๆ
“…”
“พวกท่านอย่าได้ไปแล้ว กลับไปอยู่กับพวกอาซ้อเถอะ พวกเราไม่มีอะไรให้ห่วง ต่อให้เจอคฤหาสน์มืดก็เพียงเสียไปชีวิตหนึ่ง ไม่เป็นอะไรหรอก” มีคนกล่าวอย่างผ่าเผย
ลู่เซิ่งกับลูกศิษย์สองคนนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของคนกลุ่มนี้ คอยฟังทุกคนที่กำลังพูดคุยกันเบาๆ สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าความเศร้าจางๆ ซึ่งตามมาด้วยความเงียบงัน และเสียงที่เบาบาง กำลังแผ่กระจายอย่างช้าๆ
ในคนหลายสิบคน ไม่นานก็มีคนสิบกว่าคนทยอยกันลุกขึ้น ส่วนคนที่เหลือนั่งเงียบเหมือนเดิม
พวกลู่เซิ่งหาคนถามสถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรม จึงค่อยเข้าใจว่า คนที่ลุกขึ้นล้วนเป็นผู้กล้าที่ตัดสินใจว่าต่อให้ตาย ก็จะไปตามหาคน
ส่วนคนที่นั่งอยู่เป็นคนที่เลือกไม่ไป ลู่เซิ่งพลันเกิดความสนใจ ขุมกำลังที่มีชื่อว่าคฤหาสน์มืดมีพลังข่มขวัญที่น่าสะพรึงกลัวในสถานที่เล็กๆ ถึงขนาดนี้เชียวหรือ
เขาพาลูกศิษย์สองคนลุกขึ้นก่อนจะเดินไปยังประตูเรือนตามคนคนหนึ่ง
เพิ่งออกจากประตู ลู่เซิ่งก็เดินเข้าไปจับไหล่ของคนที่อยู่ด้านหน้าเบาๆ
“พี่ชายท่านนี้ ขอสนทนาด้วยสักหน่อย” เขากดเสียงกล่าว “ถามได้หรือไม่ว่าทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีปัญหาอะไรกันแน่ ขุมกำลังที่ชื่อคฤหาสน์มืดยึดครองที่นั่นอยู่อย่างนั้นหรือ”
คนที่ถูกรั้งตัวไว้คุยเป็นชายฉกรรจ์ร่างเตี้ยที่มีร่างล่ำสัน เขาสะดุ้งเพราะถูกลู่เซิ่งจับตัวกะทันหัน แต่พอได้ยินคำถามนี้ ก็ใจเย็นลงทันที
“ดูเหมือนพวกพี่ชายสามคนจะเป็นคนต่างถิ่น ที่นี่ไม่มีใครไม่รู้จักคฤหาสน์มืดหรอก” ชายฉกรรจ์ยิ้มอย่างขื่นขม “สถานที่แห่งนั้นมักมีคนลือกันตลอดว่า หากมีคนหลุดเข้าไปในอาณาเขตต้องห้ามโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็จะหายสาบสูญไป ภายหลังไม่ว่าใครก็หาไม่เจอ ข่าวลือแบบนี้เกิดขึ้นหนึ่งถึงสองครั้งเป็นประจำทุกปี ถึงขั้นในหมู่คนที่ข้ารู้จักก็มีคนเจอเรื่องแบบนี้เช่นกัน คนที่หายตัวไปล้วนไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากที่ทะลุที่ปลูกข้าวโพดผืนนั้น ก็ไม่เห็นเงาคนอีกแล้ว”
……………………………………….