ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 456 เสาต้นที่สอง (2)
บทที่ 456 เสาต้นที่สอง (2)
“เพราะฉะนั้นนะสหาย แม้ดูเหมือนพวกท่านมีความสามารถไม่เลว ทว่าแม้แต่ผู้เฒ่าตู้ก็ยังไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับปัญหาครั้งนี้แล้ว ถ้าหากว่าพวกท่านมีภรรยา มีลูก หรือบุรุษอยู่ที่บ้าน เช่นนั้นก็อย่าเข้าร่วมเลย เอาล่ะ บอกเพียงเท่านี้นี่ล่ะ หวังว่าจะพบกันในภายหลัง”
ชายฉกรรจ์ผู้นี้ประสานมือก่อนจะหมุนตัวจากไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งมองเขาทะลุระเบียงที่แขวนโคมไฟพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังประตูข้างของตระกูลเหมย จากนั้นก็ค่อยๆ หายไปในม่านวิกาลที่พร่ามัว
เรือนรับสุคนธ์แห่งนี้นอกจากบริการข้าวปลาอาหารในเวลาปกติแล้ว ที่เหลือล้วนเหมือนถูกลืมเลือน ไม่มีใครมาสนใจพวกเขาสักคน
ตอนนี้มีคนไปไม่น้อย ในคฤหาสน์จึงไม่มีใครให้ถามไถ่แล้ว
ลู่เซิ่งได้ยินแว่วๆ ว่ามีเสียงพูดคุยกันดังมาจากลานเรือน คล้ายกำลังคุยกันถึงเรื่องตามหาคน ฟังออกเลาๆ ว่า ตามหาในเมืองจนทั่วแล้วก็ยังไม่เจอคน มีคนเห็นเหมยโย่วเจียงติดตามคนอ้วนคนหนึ่งออกจากเมือง ต่อจากนั้นก็ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ คำนี้ดูเหมือนจะเป็นคำต้องห้าม พอคนไหนพูดขึ้นมา ก็จะไม่มีใครพูดต่อทันที
สตรีสองนางของตระกูลเหมยร้อนรนจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ ก่อนหน้านี้พวกนางตรวจสอบข่าวนี้แล้ว ถึงขั้นเพิ่มรางวัลขึ้นจากเดิมเป็นสามเท่า แต่ก็ยังไม่มีใครยินยอมตอบรับ
ลู่เซิ่งกับเปี๋ยเฟยเฮ่อและจางเจายืนอยู่ในระเบียงด้านหน้าเรือนรับสุคนธ์เงียบๆ สักพัก ลู่เซิ่งใช้พลังวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่หู จึงฟังสถานการณ์ในตอนนี้ออกคร่าวๆ
“คฤหาสน์มืด…รอบๆ มีภูมิประเทศที่แบนราบมาก ถ้าหากบอกว่าตำบลนี้มีความลี้ลับตรงไหนล่ะก็ ก็มีแต่คฤหาสน์มืดแห่งนี้แล้ว” ลู่เซิ่งกล่าว “จางเจาเจ้าบอกตัวเองเป็นคนฉลาด มีคำแนะนำดีๆ หรือไม่”
พอจางเจาที่เพิ่งอดกลั้นความอยากอาหารได้ ได้ยินลู่เซิ่งถาม เขาก็พลันคึกคัก ฝืนยืดตัวขึ้น
“ด้วยความสามารถของท่าน ยังต้องการคำแนะนำอะไรอีก ไปจัดการตรงๆ เลยก็ได้ไม่ใช่หรือ ต่อให้จะร้ายกาจอย่างไรก็สู้ท่านไม่ได้อยู่แล้ว”
เปี๋ยเฟยเฮ่อที่อยู่ด้านข้างพยักหน้ารัวๆ หลังจากได้เห็นศึกอันน่ากลัวระหว่างลู่เซิ่งกับตระกูลจางในวันนั้น นางก็ถอดใจโดยสมบูรณ์แล้ว ขุมกำลังของบิดานางไม่กล้ามาทวงถามคนอีกเช่นกัน
“กล่าวถูกต้อง สำหรับข้าในตอนนี้ คำแนะนำที่ดีขนาดไหนก็สะดวกสบายรวดเร็วสู้การไปจัดการตรงๆ ไม่ได้” ลู่เซิ่งรู้ตัวเองดี ทว่าแม้เขาจะเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะทำภารกิจที่จวี้เยี่ยนมอบให้สำเร็จได้ง่ายๆ
จวี้เยี่ยนมีความสามารถล้ำลึกไม่อาจหยั่งคาด คนที่ผนึกเขาจะต้องมีความสามารถแข็งแกร่งกว่าอย่างแน่นอน ลู่เซิ่งไม่เชื่อว่าผนึกที่คนแบบนี้วางไว้จะมีระดับเท่ากับค่ายกลของตระกูลจาง
‘ตอนนี้ ในเมื่อวิชาพลังวิญญาณใช้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียงอะไร อย่างนั้นก็ใช้พลังอาวรณ์ก่อน ดูว่ายกระดับพลังวิญญาณได้ถึงขั้นไหนแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้พลังของกายเนื้อนี้ยังไม่พอใช้อยู่บ้าง…’ ลู่เซิ่งหันกลับไปมองพวกชายฉกรรจ์ที่อยู่ในเรือนรับสุคนธ์ เขาสัมผัสได้ว่าคนเหล่านี้มีความแน่วแน่ในการช่วยเหลือคน แต่ความแน่วแน่นี้ยังไม่ถึงขั้นทำให้พวกเขายอมสละทุกสิ่ง นี่เป็นสาเหตุที่พวกเขายังนั่งอยู่ที่เดิม
“ไปเถอะ พวกเราไปดูกัน” ลู่เซิ่งมองเปี๋ยเฟยเฮ่อกับจางเจา “จางเจาเจ้ากลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมก่อน เฟยเฮ่อไปกับข้า ตอนนี้การฝึกฝนของเจ้าสำเร็จส่วนหนึ่งแล้ว ไปหาประสบการณ์กับข้าได้พอดี”
เปี๋ยเฟยเฮ่อผุดสีหน้างุนงง
“อาจารย์ การฝึกฝนของข้าสำเร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดข้าถึงไม่รู้เล่า”
ลู่เซิ่งตบแผ่นหลังที่หนาของนาง ไขมันบนร่างนางทับซ้อนเป็นรอยย่นเหมือนกับกระแสคลื่น “วิชาหทัยที่ข้าสอนให้เจ้าในยามปกตินั่นแหละ ไม่ต้องกลัว หากพบเห็นอันตรายให้ท่องวิชาหทัยในใจเพื่อกดข่มไว้ก็พอ เดี๋ยวจะมีสิ่งดีๆ ที่คาดไม่ถึงเอง” เขายิ้มอย่างลึกลับ เพียงแต่เปี๋ยเฟยเฮ่อที่โดนเล่นงานมาก่อนไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียวว่าอาจารย์ผู้นี้จะเปลี่ยนนิสัย
“อาจารย์…ข้าไม่ไปได้ไหม” เปี๋ยเฟยเฮ่อถามอย่างเอาใจ
“ไม่ได้” ลู่เซิ่งส่ายหน้าก่อนจะออกเดินนำไปยังประตูด้านข้าง “ไป ตามข้ามา”
เปี๋ยเฟยเฮ่อจนปัญญา จึงได้แต่เคลื่อนร่างติดตามไปอย่างยากลำบาก มาถึงขั้นนี้ นางได้แต่เลือกเชื่ออาจารย์วิปริตที่ทำร้ายคนอย่างไม่มีขอบเขตของตนผู้นี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
นางเคยคิดต่อต้านเช่นกัน แม้ผลลัพธ์หลังต่อต้านจะต้องสาหัสมากแน่ ข้อนี้นางไม่สงสัยแม้แต่น้อย แต่นางไม่กลัว เดิมทีนางวางขั้นตอนและรายละเอียดไว้อย่างละเอียดยิบแล้ว แถมแผนการเองก็ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ ลู่เซิ่งกินยาสลบที่ว่ากันว่าทำให้วัวตัวหนึ่งสลบได้ไปถ้วยใหญ่
จากนั้นเปี๋ยเฟยเฮ่อก็รอคอยด้วยคามคาดหวังอยู่ทั้งวันเพื่อรอให้ลู่เซิ่งสลบลุกไม่ขึ้น
ทว่าผลลัพธ์ก็คือ ลู่เซิ่งไม่มีร่องร่อยว่าจะหลับแม้แต่น้อย ถึงขั้นยังกระตือรือร้นมากกว่ายามปกติ ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา เปี๋ยเฟยเฮ่อก็ไม่เชื่อคำโม้ที่ว่ายาสลบทำให้วัวตัวหนึ่งสลบได้อีกต่อไป
หลังลู่เซิ่งให้จางเจากลับไป ก็พาเปี๋ยเฟยเฮ่อเดินไปตามท้องถนนที่ประกาศกฎอัยการศึกแล้ว
กฎอัยการศึกห้ามได้แค่คนธรรมดา ความจริงแล้วไม่ส่งผลอะไรกับคนที่เหิมเกริมไร้ความเกรงกลัวเช่นพวกเขา
สาเหตุที่ลู่เซิ่งให้จางเจากลับไป ประการแรกเป็นเพราะเขามีร่างกายอ่อนแอเกินไป อีกประการหนึ่งเป็นเพราะคนผู้นี้มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณถึงขีดสุด สิ่งที่ตนจะทำต่อจากนี้ก็ไม่เหมาะจะให้เขาเห็น
ด้านเปี๋ยเฟยเฮ่อถึงแม้จะทดลองฝึกฝนพลังวิญญาณแล้ว กระนั้นนางสัมผัสพลังวิญญาณไม่ได้ แม้แต่พลังวิญญาณที่ตนฝึกออกมาได้ก็ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อยเช่นกัน
ลู่เซิ่งพาเปี๋ยเฟยเฮ่อติดตามชายฉกรรจ์ที่เขาถามคำถามก่อนหน้านี้ พวกเขาเร็วมาก ไม่นานก็ตามคนผู้นั้นทันภายใต้คืนที่มืดมิด
ลู่เซิ่งเดินทางพลาง ปรับสภาพร่างกายของตัวเองอย่างละเอียดเพื่อให้อยู่ในสภาพดีที่สุดไปพลาง
ไม่นานทั้งสามคนก็ออกจากประตูเมืองแล้วตรงดิ่งไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหน้าเหมือนจะสัมผัสไม่ได้ว่ามีคนสองคนติดตามอยู่ด้านหลัง
ลู่เซิ่งมองไปด้านหน้า คร้านจะพูดมาก
‘ดีปบลู’ ลู่เซิ่งเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา ในเมื่อวิชาพลังวิญญาณไม่มีปัญหาแล้ว อย่างนั้นก็ทดลองฝึกดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เจอปุ่มกดของเครื่องมือปรับเปลี่ยนที่อนุญาตให้ปรับเปลี่ยนอย่างคุ้นเคย หลังกดแล้ว ลู่เซิ่งก็เจอกรอบของพลังวิญญาณที่ตนให้ความสนใจเป็นหลัก
[วิชาพลังวิญญาณปริศนา: สำเร็จระดับมนุษย์]
อย่างอื่นไม่มีอะไรให้แสดงผล ไม่มีผลพิเศษ ไม่มีคำอธิบาย มีกรอบง่ายๆ แค่นี้เท่านั้น ด้านในคือเนื้อหาที่รวบรัดและมีจำนวนไม่มากนัก
‘วิชาพื้นฐานพลังวิญญาณที่จวี้เยี่ยนมอบให้ นอกจากเคล็ดวิชาการฝึกฝนที่จับต้องได้แล้ว ยังมีการแบ่งปราณวิญญาณออกเป็นสามระดับใหญ่ ได้แก่ ระดับมนุษย์ ระดับพยัคฆ์ และระดับมังกร วิธีการฝึกฝนของจวี้เยี่ยนไปถึงระดับมังกรได้เป็นอย่างมากสุด หมายความว่า เขาหวังว่าระบบพลังวิญญาณและความสามารถที่สูงที่สุดของเราจะสามารถบรรลุได้แค่ระดับมังกร…’
ลู่เซิ่งย้อนนึกถึงเนื้อหาเคล็ดวิชาพลังวิญญาณที่จวี้เยี่ยนบรรยาย จากระดับมนุษย์ถึงระดับพยัคฆ์จะต้องข้ามห้าขั้นตอน ในเคล็ดวิชาเพียงแค่แบ่งระดับผลพลังออกเป็นห้าผล
ภายหลังจึงค่อยไปถึงระดับพยัคฆ์ได้
‘ไปถึงระดับพยัคฆ์ดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน’ ลู่เซิ่งไตร่ตรองพร้อมกับกดความคิดลงบนกรอบพลังวิญญาณอย่างรวดเร็ว นึกจินตนาการว่ากำลังยกระดับขึ้น
ชิ้ง
ไม่นานนักพลังวิญญาณบนร่างลู่เซิ่งที่ติดตามชายฉกรรจ์ตรงหน้าอยู่ในม่านวิกาลอย่างไร้สุ้มเสียงก็เกิดการพลิกม้วน พลังวิญญาณสีทองทั่วร่างราวกับทำลายโซ่ตรวนอันแปลกประหลาด แล้วเดือดพล่านขึ้นในพริบตา ก่อนจะรวมตัวและเพิ่มความเข้มข้นขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ปริมาณเริ่มทวีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์เช่นกัน
พลังอาวรณ์หลอมละลายกลายเป็นพลังวิญญาณจำนวนมาก พร้อมกับทะลักเข้าไปในร่างลู่เซิ่งทีละนิดๆ
ซู่…ไม่นานนักผลสีทองผลหนึ่งเหมือนกับผลที่คล้ายผิงกั่ว(แอปเปิ้ล)ก็ลอยออกมาด้านหลังลู่เซิ่ง
หลังมีผลที่หนึ่ง ไม่นานก็มีผลที่สอง ผลที่สาม ผลที่สี่ และผลที่ห้าตามมา
ความสำเร็จที่คนปกติจำเป็นต้องใช้เวลาหลายสิบปีฝึกฝน แถมยังต้องเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่มีความเข้ากันได้กับพลังวิญญาณในระดับสูงถึงจะได้มา สำหรับลู่เซิ่งแล้ว เป็นเรื่องที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำ
กายเนื้อของเขามีความแข็งแกร่งมากพอ ทั้งยังหลอมละลายพลังอาวรณ์จำนวนมากกลายเป็นพลังวิญญาณได้อีก กอปรกับจิตวิญญาณของตนซึ่งยิ่งใหญ่เกรียงไกร ขอบเขตจึงเหนือกว่าขอบเขตพลังวิญญาณระดับพยัคฆ์ธรรมดาๆ แล้ว
ดังนั้นใช้เวลาไม่นาน ผลพลังสีทองห้าผลก็เริ่มตวัดวาดภาพร่างของเสือร้ายขึ้นด้านหลังลู่เซิ่งโดยที่ไม่มีข้อจำกัดแม้แต่น้อย
ขอบเขตพลังระดับห้าผลนับว่ามาถึงแล้ว
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้าเล็กน้อย พลังวิญญาณสีทองกระเพื่อมออกมาจากด้านหลัง ค่อยๆ ปรากฏเสือยักษ์สีทองตัวหนึ่งขึ้นจากด้านใน ดุร้ายน่าเกรงขาม มีสภาวะคุกคามคน
ถ้าหากคนธรรมดาเห็นพลังวิญญาณได้เหมือนกัน เกรงว่าตอนนี้เปี๋ยเฟยเฮ่อกับชายฉกรรจ์ที่อยู่ตรงหน้าจะต้องตกใจจนเข่าอ่อนแน่
‘เหมือนอย่างที่ซันปู้พูดไว้ทีเดียว…’ ลู่เซิ่งทอดถอนใจเล็กน้อย ‘นี่คือก่อนที่จะจะออกดอกสินะ ระดับพยัคฆ์…’
เพียงแต่วิญญาณคุ้มครองเหล่านั้นถูกเขาไล่ไปอยู่รอบนอกแล้ว ทำให้ห่างจากที่นี่อย่างน้อยหลายสิบหมี่ จึงสัมผัสคลื่นพลังวิญญาณที่เขาเก็บไว้แล้วไม่ได้
ลู่เซิ่งครุ่นคิด ก่อนจะเก็บพลังวิญญาณสีทองไว้อย่างรวดเร็ว
‘ต่อจากนี้เป็นระดับมังกร’
ระดับมังกรใช้พลังอาวรณ์มากกว่าระดับพยัคฆ์เท่าหนึ่ง ทั้งสองระดับใช้พลังอาวรณ์ทั้งหมดยี่สิบห้าหน่วย แม้จะเยอะไปบ้าง แต่ว่ายังคงมีความหมายอันน้อยนิดเท่านั้นสำหรับลู่เซิ่งในตอนนี้
ไม่นานนักผลพลังห้าผลก็เริ่มออกดอก เกสรดอกไม้สีทองคำขาวทั้งห้างอกออกมาระหว่างดอกไม้สีทอง เกสรดอกไม้ทั้งห้าร่างเส้นพลังวิญญาณสีทองคำขาวกลายเป็นรูปมงคลมังกรขนด ขอแค่ลู่เซิ่งใช้พลังวิญญาณ ภาพนี้ก็จะปรากฏออกมาจากด้านหลังลู่เซิ่งด้วยตัวเอง
‘เอาล่ะ นี่เป็นระดับสูงสุดที่จวี้เยี่ยนหวังให้เราบรรลุถึง’ ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก หลังจากถึงระดับมังกร พลังวิญญาณของเขาก็แทบจะจับต้องได้ ถึงขั้นรวมตัวเป็นของแข็งที่เรียบง่ายและเอามาคลึงเล่นบนมือได้ แม้คนอื่นๆ จะมองไม่เห็นก็ตามที
‘จวี้เยี่ยนไม่รู้ว่าเรามีดีปบลู จะต้องรู้แน่ว่าต่อให้เราเจอวาสนา ก็ไม่น่าจะฝึกฝนพลังวิญญาณถึงจุดสูงสุดได้เร็วขนาดนี้ ดังนั้นตอนนี้เราเลยสัมผัสช่องโหว่และกุญแจสำคัญส่วนหนึ่งในความลับของจวี้เยี่ยนออกจริงๆ ยังมีเหมยโย่วเจียงอีก หวังว่านางจะทราบความลับเกี่ยวกับผนึกวิญญาณชั่วร้าย จะได้ถามไถ่ได้’ ตอนนี้ลู่เซิ่งสัมผัสได้มากกว่าเดิมว่า คนที่ทราบสรรพสิ่งเท่านั้นจึงจะมีความสำคัญต่อตน ถ้าหากเขามองแผนการของจวี้เยี่ยนออก อาจจะไม่ต้องหดหัวหลบซ่อนเพราะไม่เข้าใจว่าจวี้เยี่ยนคิดทำอะไรกันแน่อยู่แบบนี้ก็ได้
หลังปรับตัวเข้ากับพลังวิญญาณสีทองที่พลิกม้วนในร่างกายเล็กน้อย ลู่เซิ่งก็เริ่มมองกรอบของวิชาพลังวิญญาณในเวลานี้ เขาสัมผัสได้ว่า พลังวิญญาณของตนในตอนนี้บรรลุระดับที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติแล้ว ตรงหน้าคล้ายกับมีเยื่อบางชั้นหนึ่งขวางไม่ให้พลังวิญญาณของตนยกระดับต่อ
‘พลังงานนี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ…ทั้งๆ ที่เป็นแค่พลังพื้นฐานชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่ความจริงกลับเป็นพลังงานอันแข็งแกร่งที่สามารถยกระดับและเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติได้อย่างไม่หยุดยั้ง’
ลู่เซิ่งมองปุ่มเรียนรู้ที่อยู่ด้านหลังกรอบวิชาพลังวิญญาณ นั่นหมายความว่าพลังอาวรณ์สามารถเรียนรู้เคล็ดวิชานี้ได้ และหมายความว่าเขามีวิธีการที่มีส่วนช่วยต่อพลังวิญญาณในระบบทั้งหมดที่ครอบครองอยู่ ณ เวลานี้
‘เอาล่ะ…ขอดูหน่อยซิว่าจวี้เยี่ยนซ่อนความจริงอะไรของโลกนี้ไว้กันแน่…พลังวิญญาณต่อจากระดับมังกรมีความลับอะไร’ ลู่เซิ่งเกิดความคาดหวัง กดความคิดลงบนปุ่มเรียนรู้อย่างแม่นยำ
……………………………………….