ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 459 ชั่วคราว (1)
บทที่ 459 ชั่วคราว (1)
“เจ้าทำอะไรเขา เจ้าควรจะรู้ว่าที่พวกเราไม่ได้รุมโจมตีเจ้าด้วยตัวเองก็ถือว่าหลีกทางให้มากพอแล้ว อย่าได้ท้าทายขีดจำกัดของพวกเรา” เงาสีดำกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากมุมหนึ่งอย่างช้าๆ เป็นบุรุษอาภรณ์สีดำที่สวมหน้ากากสีขาวและลอยอยู่กลางอากาศ
“เจ้ากำลังเป็นห่วงสวะตัวนี้หรือ” ลู่เซิ่งยกเฮยเสิงขึ้นพร้อมกล่าวอย่างสงสัย “ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้ามีพลังไม่เลวยิ่ง” เขายื่นมือชี้ที่ตัวเอง
“มาเถอะ ถ้าชนะข้าได้ ข้าจะปล่อยมันเอง” นี่เป็นโอกาสที่จะได้หยั่งเชิงพลังของยอดฝีมือสายพลังวิญญาณตัวจริง
บุรุษสวมหน้ากากขาวเงียบงัน มองดูเฮยสิงที่สลบไสลในมือของลู่เซิ่ง
สักพักใหญ่ๆ…
เขาจึงค่อยๆ ถอดอาภรณ์สีดำออก แล้วยื่นแขนที่สวมเกราะอ่อนสีเงินข้างหนึ่งออกมา “ตามใจเจ้า!”
ตูม!
ชั่วพริบตานั้นพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งและดำเหมือนน้ำหมึกก็กระจายออกไปรอบๆ โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง พลังวิญญาณที่เป็นน้ำหมึกกลุ่มใหญ่กลายเป็นรูปเหยี่ยวสีดำด้านหลังเขา สองตากับทรวงอกของเงาดำกะพริบแสงสีทองที่เจิดจ้า
“เหยี่ยวอำมหิต”
หน้ากากขาวยกมือขึ้นชี้ไปที่ลู่เซิ่ง
เหยี่ยวดำโผบินออกมาด้านหลังเขาอย่างฉับพลัน แล้วกางปีกปกคลุมอาณาเขตหลายสิบหมี่รอบๆ สองปีกของมันอยู่ในสภาพกึ่งลวงตาเหมือนกับเงามืด สองตากะพริบแสงสีทองอ่อนๆ บนกรงเล็บเหมือนกับมีควันดำหลายกลุ่มแผ่กระจายอยู่ในตอนที่ทะยานออกมา
แกว๊ก!
‘นี่คือวิธีใช้หลังจากพลังวิญญาณไปถึงขั้นสูงหรือ’ ลู่เซิ่งสงสัย ยกมือขึ้นใช้พลังวิญญาณจำนวนมากห่อหุ้มฝ่ามือแล้วฟาดใส่เหยี่ยวดำตรงๆ
เปรี้ยง!
แทบจะในชั่วพริบตาที่แตะกัน พลังวิญญาณบนมือเขาพลันกระจัดกระจาย คล้ายมีพลังงานพิเศษบางอย่างกำลังตัดเฉือนและปัดเป่าพลังวิญญาณ
ปราณวิญญาณสีดำบนร่างเงาดำเพียงได้รับอุปสรรคเล็กน้อย ก็เฉือนเปิดพลังวิญญาณของลู่เซิ่งได้เหมือนใช้มีดปอกผลไม้ที่คมกริบตัดขนมอบ จากนั้นก็แตะเข้ากับผิวหนังบนฝ่ามือของเขา
ซู่…
ลู่เซิ่งชักมือกลับดุจสายฟ้าแลบ ลายมังกรสีทองปรากฏขึ้นเบื้องหลัง มังกรปราณวิญญาณสีทองคำขาวยักษ์ตัวหนึ่งพุ่งออกไปจากด้านหลังเขาเพื่อเข้าปะทะกับเหยี่ยวดำ
‘วิธีการใช้เป็นแบบนี้หรือ…’ เขาขมวดคิ้วพร้อมกับทดลองดู ยกฝ่ามือขึ้น เห็นจุดที่แตะโดนเหยี่ยวดำเมื่อครู่มีแต่สีแดงเลือดเหมือนกับถูกคมมีดเรียบเชือดเฉือนเลือดเนื้อ ด้วยความคงทนของร่างกายในปัจจุบัน ยังถูกอีกฝ่ายเฉือนเลือดเนื้อโดยที่สัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย อานุภาพนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
ตอนนี้มังกรสีทองคำขาวยักษ์กำลังพัวพันกับเหยี่ยวดำ แต่ก็เหมือนเมื่อครู่ ร่างกายของมังกรยักษ์กำลังสูญสลายไปด้วยความเร็วที่ตาเนื้อมองเห็นได้ เห็นได้ว่าไม่ถึงสิบวินาทีก็จะถูกกำจัดโดยสิ้นเชิงแล้ว
“เจ้าถึงกับใช้ร่างกายของคนธรรมดาแอบฝึกถึงขั้นนี้แล้วหรือ…ระดับมังกร…แต่ก็เป็นแค่ลายมังกรเท่านั้น คิดจะต้านทานสัตว์วิญญาณคู่ชีวิตที่ข้าสร้างขึ้นสำเร็จแล้ว ช่างน่าขำโดยแท้” บุรุษหน้ากากขาวเอ่ยอย่างเย็นชา “เฮยซุ่น ฉีกมันซะ!”
เหยี่ยวดำพลันส่งเสียงร้องแหลม ประกายแสงสีทองสองสายพุ่งพลุ่บๆ ออกมาจากดวงตา แล้วกระแทกใส่ส่วนศีรษะมังกรสีทองคำขาวยักษ์อย่างแม่นยำ
มังกรยักษ์เหมือนได้รับการโจมตีที่รุนแรง ร่างกายขนาดสิบกว่าหมี่หดเล็กลงและพังทลายด้วยความเร็วสูง ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็หายไปในอากาศโดยสมบูรณ์
ลู่เซิ่งส่งเสียงกระอักเบาๆ รู้สึกหน้ามืดตาลายเหมือนศีรษะถูกค้อนเหล็กทุบอย่างแรง คิดจะใช้พลังวิญญาณอีกครั้ง ก็รู้สึกไม่เหลือพลังแล้ว พลังวิญญาณที่เหลืออยู่มีแค่หนึ่งในสิบส่วนของยามปกติเท่านั้น
‘นี่เป็นทักษะการใช้พลังวิญญาณในระดับที่สูงกว่าหรือ’ ลู่เซิ่งเกิดความคาดหวังอย่างแรงกล้าขณะมองดูเหยี่ยวดำพุ่งเข้ามา
เขายื่นมือออกไป เมล็ดทรงกลมสีม่วงอ่อนเม็ดหนึ่งจับตัวกันโผล่ออกมากลางฝ่ามือ นี่เป็นเมล็ดลึกลับเม็ดนั้นที่เขาได้มาหลังจากพลังวิญญาณเลื่อนถึงระดับมังกร
‘ลองดูว่ามีประโยชน์อะไร’ ลู่เซิ่งบีบเมล็ดสีม่วงที่เหมือนหัวใจเพื่อต้านรับเหยี่ยวสีดำที่พุ่งเข้ามา
“เมล็ดสัมผัสวิญญาณ?!” พริบตาที่หน้ากากขาวเห็นเมล็ด สองตาก็เบิกโตทันที “เจ้าบ้าไปแล้ว กล้าเอาเมล็ดสัมผัสวิญญาณที่ยังไม่ฟักออกมารับการโจมตีเชียวหรือนี่!?”
เมล็ดสัมผัสวิญญาณเป็นตัวอ่อนที่กำลังฟักตัวเป็นสัตว์วิญญาณคู่ชีวิต เทียบได้กับไข่ของสัตว์วิญญาณคู่ชีวิตที่ยังไม่ฟัก คนที่สามารถสร้างเมล็ดสัมผัสวิญญาณได้เช่นเผ่าพันธุ์ของหน้ากากขาวมีน้อยถึงขีดสุด ของสิ่งนี้ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนต่างก็ทะนุถนอม ยิ่งไม่นำมาป้องกันเป็นโล่ในตอนที่ต่อสู้กัน
ทว่าตอนนี้…
หน้ากากขาวเกิดความเสียดายถึงขีดสุด แต่ก็ควบคุมเหยี่ยวดำไม่ทัน ได้แต่มองดูมันใช้กรงเล็บคว้าใส่เมล็ดสัมผัสวิญญาณคู่ชีวิตเม็ดนั้น
แกร่ก
ฟิ้วๆๆๆ!
เมล็ดสัมผัสวิญญาณแตกออกแล้วระเบิดเป็นชิ้นส่วนสีม่วงนับไม่ถ้วนกระจายออกมา
ลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหลังร่างโชกเลือด ทั่วทั้งตัวถูกชิ้นส่วนเฉือนใส่ เสื้อผ้ากับผิวหนังพลันแยกออก เลือดสดๆ จำนวนมากไหลออกมาจากปากแผล ไม่นานก็ย้อมร่างกายของเขาให้กลายเป็นมนุษย์โลหิต
แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ลู่เซิ่งยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ท่วงท่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ดวงตากลับเป็นประกายยิ่งกว่าเดิม
หลังจากเหยี่ยวดำหมุนตัวรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้โจมตีต่อ หากแต่กลับไปอยู่ด้านหลังหน้ากากขาว ดวงตาของเหยี่ยวที่เป็นสีทองคมกริบค่อยๆ หลุบลง แล้วยืนนิ่งไม่ไหวติงเหมือนกับรูปสลัก
“แบบนี้พอหรือยัง” เขาหยีตามองลู่เซิ่งที่อยู่อีกฝั่ง “พวกเราไม่ได้กลัวท่านผู้นั้น เจ้าควรจะรู้เรื่องนี้ เจ้าแก้ผนึกของเจ้าไป พวกเรามีแผนการของพวกเรา ทั้งสองฝ่ายไม่ก้าวก่ายกันจะดีกว่า นอกจากนี้ ถ้าหากเจ้ายังไม่จัดการอาการบาดเจ็บอีก อีกหนึ่งร้อยลมหายใจเจ้าได้ตายแน่”
ลู่เซิ่งยิ้มอย่างแปลกพิกล
“หมายความว่าต่อให้ข้าจะทำลายเสากาลเวลา พวกเจ้าก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยหรือ”
“เป็นเช่นนั้น เฮยเสิงแค่อยากจะเล่นกับเจ้าเท่านั้น เป้าหมายของเขาไม่ใช่เจ้าตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ” หน้ากากขาวเอ่ยอย่างเฉื่อยชา
“อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งยื่นมือขวาที่เต็มไปด้วยเลือดออกไป ถ้าไม่ใช่กายเนื้อร่างนี้ของเขาฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวด้วย เกรงว่าจะถูกเศษชิ้นส่วนเชือดเฉือนเป็นชิ้นๆ ในพริบตาไปแล้ว
‘สัตว์วิญญาณ…การใช้แบบเมื่อครู่ ที่แท้การใช้พลังวิญญาณขั้นสูงเป็นแบบนี้นี่เอง…”
“คุณสมบัติของพลังวิญญาณคือการมอบชีวิตให้แก่สิ่งที่แข็งแกร่งมากพอไม่ใช่หรือ สิ่งที่ข้ามอบชีวิตให้คือเงามืด นี่เป็นการใช้ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด หรือว่าสัตว์ประหลาดตนนั้นจะไม่ได้สอนเจ้า” หน้ากากขาวกล่าวอย่างเรียบเฉย
“มอบชีวิต…” ลู่เซิ่งเหมือนจะหาวิธีการใช้ที่เหมาะกับพลังวิญญาณของตัวเองมากที่สุดเจอแล้ว เขามีพลังวิญญาณมหาศาล แต่กลับไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร
“สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด…”
ลู่เซิ่งหลับตา ร่างหลักที่เหมือนกับมารร้ายซึ่งขดตัวอยู่กลางหัวใจ อยู่ที่ส่วนลึกของความมืดในใจค่อยๆ ลืมตาขึ้นและยืดเหยียดร่างกาย
เขายกมือขึ้น กรอบอินเตอร์เฟซของเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูปรากฎตรงหน้า สายตากดลงบนปุ่มปรับเปลี่ยนด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด จากนั้นก็ใช้พลังอาวรณ์เรียนรู้วิชาพลังวิญญาณ
พลังอาวรณ์กลายเป็นพลังวิญญาณจำนวนมากในพริบตาเดียว ก่อนจะไหลสู่ด้านในร่างกายของเขา กลางฝ่ามือลู่เซิ่งเปล่งแสงสีทองคำขาว ประกายแสงยิ่งมายิ่งสว่าง ยิ่งมายิ่งแยงตา
“สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด ย่อมเป็นตัวข้าเอง!”
ตึง!
เขากดลงบนหน้าอกของตัวเองอย่างแรง
พลังวิญญาณนับไม่ถ้วนทะลักเข้าไปในร่างหลักที่อยู่ในหัวใจเหมือนมหาสมุทร
พลังอาวรณ์จำนวนมากกลายเป็นพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ทะลักเข้าไปในร่างลู่เซิ่งเหมือนกับหลุมไร้ก้น สภาพร่างหลักในตอนแรกของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ภายนอกที่ดุดันในตอนแรกน่าเกรงขามมากขึ้น เปลือกนอกถึงขั้นปรากฏลวดลายสีทองคำขาวหลายสาย เหมือนกับแสงโลหะบนเกราะ
ซู่…
ร่างหลักค่อยๆ ไต่ออกมาจากเงามืดด้านหลังลู่เซิ่ง พลังวิญญาณของทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมีหลายร้อยหมี่รอบๆ ถูกเขาเปลี่ยนเป็นลมแล้วดูดซับกลืนกินเข้าไป
ร่างหลักสูงชะลูดที่เป็นสีดำสนิทดุร้ายและสูงหกหมี่ปรากฏขึ้นด้านหลังลู่เซิ่งเหมือนกับหุ่นเกราะ แค่รูปลักษณ์ภายนอกก็เหมือนกับมารร้ายที่มีควันดำลุกไหม้ทั่วตัวในตำนานแล้ว
เขาแพะ หางยาว หนามแหลม รวมถึงปากที่มีฟันแหลมคมซึ่งแยกไปถึงใบหู
โฮก!
ทันใดนั้น ลู่เซิ่งอ้าปากคำราม พลังอาวรณ์จำนวนมากกว่าเดิมทะลักเข้าไปในร่างของเขาเร็วกว่าเดิม
แสงสีแดงเข้มหลายสายระเบิดอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นพร้อมกับกระจายไปทั่วอาณาเขตหลายร้อยหมี่รอบๆ โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง
ลมที่รุนแรงถูกม้วนพัดไปรอบๆ ไม่นานผลของพลังกระตุ้นก็ทำให้มันกลายเป็นวังวนกระแสอากาศที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสามร้อยหมี่กว่าๆ
ท่ามกลางเสียงคำราม ผืนดินสั่นสะเทือน ก้อนหินระเบิดแยก ต้นไม้แห้งเหี่ยว พุ่มหญ้าเหี่ยวเฉากลายเป็นผงสีดำ อุณหภูมิสูงขึ้นด้วยความเร็วสูง จากยี่สิบกว่าองศาทะยานขึ้นเป็นห้าสิบกว่าองศาเหมือนลูกศรไฟพุ่งทะยานในพริบตาเดียว ถึงขั้นยังเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ด้วย
“นี่คือ…!? นี่มันคืออะไรกัน!?”
หน้ากากขาวถูกกดดันจนตัวงอ เหยี่ยวดำด้านหลังใช้ปีกคลุมตัวเขาเพื่อป้องกันร่างกายให้ ทว่าแรงกระแทกจากกระแสอากาศและแรงดันวิญญาณรุนแรงเกินไปจริงๆ เขาถลึงตาแทบถลน ใช้พลังแทบจะทั้งหมดป้องกันไม่ให้ตนเองถูกวังวนแรงดันวิญญาณดึงดูดเข้าไป ทว่าเงาดำรอบๆ ตัวเหยี่ยวดำซึ่งอยู่ด้านข้างเขาก็ถูกดึงไปถึงรอบร่างหลักลู่เซิ่งเป็นจำนวนมาก แล้วโดนเขาดูดซับกลืนกินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ข้าชอบที่นี่” ลู่เซิ่งร่างหลักฉีกปากใหญ่ เผยให้เห็นฟันเลื่อยแหลมสามแถวที่ทับซ้อนกันด้านใน
“อากาศสดชื่น แสงอาทิตย์งดงาม ไม่มีภัยพิบัติมาร ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความประหลาดลี้ลับ โลกที่งดงามแบบนี้ กลับถูกขยะส่วนหนึ่งยึดครอง…”
ร่างหลักของลู่เซิ่งที่ขดตัวมาโดยตลอดหลังจากมาถึงโลกนี้ ในที่สุดก็หาวิธีคืนร่างเจอแล้ว
พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลไหลเชี่ยวเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง แล้วกลายเป็นวัตถุดิบหลักที่ประคับประคองให้เขาดำรงอยู่ในโลกใบนี้
‘พลังวิญญาณ…สร้างผลประโยชน์ให้แก่จิตวิญญาณของเราจริงๆ ไม่เลวมาก’ ลู่เซิ่งเหยียดสองแขนโอบกอดกายเนื้อที่เป็นลู่จ้งในโลกใบนี้เอาไว้
เพียงพริบตาเดียว ตอนที่เขากางแขนออกอีกครั้ง ลู่จ้งก็หลอมรวมเป็นหนึ่งกับเขาแล้ว
‘น่าเสียดาย…ที่ยังขาดไปอีกนิดหน่อย…ความปรารถนาของลู่จ้งไม่อาจเป็นจริงโดยสมบูรณ์ เราหมดความอดทนแล้ว จวี้เยี่ยนกับระดับชั้นคู่ต่อสู้ของเขาอยู่ในขั้นที่ไม่ว่าเราซึ่งอยู่ในโลกนี้จะทำอย่าไรก็ไม่อาจไปถึงได้ในเวลาอันสั้น ครั้งนี้ได้แต่พอเท่านี้แล้ว’
ลู่เซิ่งเสียดายเล็กน้อย ความจริงเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ล้ำลึกเกินจนไม่เหมาะกับการยกระดับของตัวเองตั้งแต่จวี้เยี่ยนเสนอเงื่อนไขแล้ว
ตอนนี้ความปรารถนาของลู่จ้งเป็นจริงแล้วส่วนหนึ่ง วิญญาณร้ายปรากฏตัวน้อยลงเรื่อยๆ เพราะการสะกดของจวี้เยี่ยน
เขาได้ทำลายเสากาลเวลาต้นหนึ่งเป็นการตอบแทนไปแล้ว ส่วนเสากาลเวลาต้นอื่นๆ…
ลู่เซิ่งมองเฮยเสิงที่ถูกหน้ากากขาวช่วยแบกไว้ด้านหลัง
เขายกมือขึ้น ไม่ได้ใช้แก่นหยาง หากใช้พลังวิญญาณเพียงอย่างเดียว
ก้อนหินหลายก้อยลอยขึ้นมาหมุนวนอย่างช้าๆ กลางฝ่ามือเขา
พอคลายมือ ก้อนหินก็หายไปจากที่เดิมดุจสายฟ้าแลบ จากนั้นหน้ากากขาวกับเฮยเสิงที่อยู่ไกลออกไปก็ส่งเสียงกระอักพร้อมกัน ทั้งสองเหมือนกับถูกรถไฟชนใส่ ร่างกระเด็นออกไป เลือดกระเซ็นตลอดทาง หลังลอยออกไปสิบกว่าหมี่ ก็ตกลงแล้วนอนคว่ำแน่นิ่งอยู่กับพื้น
“อย่าฆ่าพวกเขา มารสวรรค์น้อย” อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็ได้ยินเสียงของจวี้เยี่ยนดังมาจากด้านหลัง
“พวกเขาเป็นปณิธานที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกใบนี้ ของดวงดาวดวงนี้ เผ่าพันธุ์วิญญาณดารา…”
เปรี้ยง
ลู่เซิ่งบีบผ้าโพกหัวที่เรืองแสงอยู่จนแหลก จากนั้นก็เดินไปหาหน้ากากขาวกับเฮยเสิงที่อยู่บนพื้น
“เวลานี้ไม่ต้องการเสียงอื่นนอกจากเสียงของข้า”
‘เวลาของเราเหลือไม่เยอะแล้ว สัมผัสได้ว่าดวงดาวดวงนี้กำลังปฏิเสธข้า’ เขาเดินไปถึงด้านหน้าคนทั้งสอง
‘รอบนี้ไม่ค่อยหมดจดเท่าไหร่ ครั้งหน้า ครั้งหน้าจะไม่เป็นแบบนี้แล้ว’ เขาก้มลงไปจับส่วนหน้าของหน้ากากขาว แล้วหยิบศีรษะคนที่อาบเลือดขึ้นมา
……………………………………….