ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 461 กลับบ้าน (1)
บทที่ 461 กลับบ้าน (1)
“สำนักย่อยทะเลบูรพาหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา “เจ้าได้แจ้งสำนักใหญ่ผ่านค่ายกลหรือยัง”
“แจ้งแล้วขอรับ อริยะเจ้าลู่วางใจ อักขระหยกเร่งด่วนเป็นการเตือนภัยสูงสุดของสามสำนัก ข้าน้อยเปิดใช้ค่ายกลแจ้งต่อสำนักใหญ่ในทันทีที่เห็นแล้ว” เฉินซือถีกล่าวอย่างนอบน้อม
“ด้านนี้เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เจ้าประกาศกฎอัยการศึก ยกระดับการเตือนภัยของค่ายกล รวมถึงผนึกชายฝั่งทะเลบูรพาทันที แล้วรอสำนักใหญ่ส่งคนมาสนับสนุน” ลู่เซิ่งกำชับ
“รับทราบ”
“ดีแล้ว ข้าต้องการสถานที่พักผ่อน ช่วยจัดการให้ที” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“จัดการไว้แล้วขอรับ เชิญอริยะเจ้าลู่ไปได้เลย” เฉินซือถีไม่กล้าถามว่าอริยะเจ้าคนอื่นเป็นอย่างไร ลู่เซิ่งไม่พูด เขาก็ไม่กล้าถาม
พวกเขาพาลู่เซิ่งบินเลียบพื้นอยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็ทิ้งตัวลงบนเกาะที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่ากงหลี่[1] ด้านบนมีเขตอยู่อาศัยกระจัดกระจายกัน
ลู่เซิ่งได้รับการจัดให้อยู่ในหอศิลาทรงสามเหลี่ยมที่สูงที่สุด
อาหารทะเล น้ำแกงตุ๋น อาหารจานเนื้อ พืชน้ำ และผักผลไม้ทยอยถูกยกเข้ามา ลู่เซิ่งจัดการกินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วตรวจสอบเอกสารข้อมูลข่าวสารบนเกาะในช่วงเวลานี้โดยมีหญิงรับใช้อยู่เป็นเพื่อน รออยู่สักพัก เขาก็สัมผัสได้ว่ามีสารกายประหลาดที่ยิ่งใหญ่ถึงขีดสุดจากขอบฟ้าในโลกภายนอกเข้าใกล้มาอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งออกจากห้องแล้วทะยานร่างขึ้นไปลอยเหนือเกาะ เห็นเรือใหญ่สีขาวบริสุทธิ์ที่มีขอบเงินและยาวมากกว่าร้อยหมี่ลำหนึ่งอยู่เหนือท้องฟ้าไกลออกไป กำลังแล่นลงมาจากชั้นเมฆตรงเส้นขอบฟ้า เข้าใกล้เกาะน้อยด้วยความเร็วสูง
พวกเฉินซือถีที่บินได้ก็พากันลอยตัวขึ้นมาเพื่อต้อนรับด้วยเช่นกัน
ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่ามีธงใหญ่ผืนหนึ่งปักอยู่บนเรือใหญ่ ด้านบนเขียนคำว่าประกายขั้วโลก
เขาจิตใจเคร่งขรึม คนที่ที่มีฉายาว่าประกายขั้วโลกในสามสำนักมีอยู่คนเดียว นั่นก็คืออริยะเจ้าประกายขั้วโลก อริยะเจ้าของสำนักพันอาทิตย์ พี่ชายของซูหนิงเฟย ทั้งยังเป็นตัวตนที่ไม่ใช่มนุษย์
มีคนอื่นๆ อยากจะใช้ฉายาว่าประกายขั้วโลกเช่นกัน แต่ก็ต้องยอมตัดใจเพราะคนผู้นี้
เรือใหญ่สีขาวขอบเงินขนาดยักษ์เหมือนกับเรือสำเภาที่แล่นอยู่บนผิวทะเล นอกจากธงแล้ว สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือเสากระโดงสามต้นที่ติดใบเรือสีขาวขนาดใหญ่บนตัวเรือ
ใบเรือถูกลมพัดส่งเสียงดังฟุ่บฟั่บ ทำให้คนเห็นคำว่าพันอาทิตย์ที่ปักอยู่บนนั้นได้อย่างชัดเจน
เรือลดความเร็วลงตอนอยู่ห่างออกไปพันหมี่ คลื่นสีฟ้าหลายกลุ่มกระเพื่อมขึ้นรอบๆ เห็นอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนกะพริบด้านในคลื่นได้อย่างเลือนราง
พวกเฉินซือถีเห็นดังนั้นก็เกิดความตื่นเต้นเล็กน้อย
ลู่เซิ่งสีหน้านิ่งสงบ แต่ก็อยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง คนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาได้พบเจอมาจนถึงวันนี้เป็นถึงระดับอริยะเจ้า แม้เขาจะเคยเจอจักรพรรดิมารมาก่อนเช่นกัน แต่ครั้งนั้นจักรพรรรดิมารเหวยลาเพียงสิงร่างที่อ่อนแอเท่านั้น จึงแสดงอานุภาพออกมาไม่ได้เท่าไหร่
‘เจ้าแห่งอาวุธ…มีพลังแบบไหนกันแน่ ช่างน่าคาดหวังจริงๆ…’ ลู่เซิ่งนึกกับตัวเอง พลังของเขาในตอนนี้บรรลุถึงขีดจำกัดของมนุษย์แล้ว เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดตัวตนที่น่าหวั่นสะพรึงอย่างอริยะเจ้าจึงแตกต่างกับเขามากมายขนาดนี้
เรือใหญ่เข้าใกล้มาเรื่อยๆ
ซู่ว
มีควันกึ่งโปร่งแสงพ่นออกมาจากด้านหลังเรือ เรือหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ลอยอยู่ห่างออกไปด้านหน้าลู่เซิ่งในระยะที่ดีที่สุดไม่เกินยี่สิบหมี่
กราบเรือปล่อยบันไดไม้ลงมา เป็นโครงสร้างที่เหมือนกับแท่นบันได แสงสีน้ำเงินกะพริบบนบันไดไม้แล้วไหลจากด้านบนลงด้านล่าง เหมือนกับกำลังทำความสะอาดบันไดไม้อยู่
ต่อจากนั้นเงาร่างสูงใหญ่สองสามสายสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวบริสุทธิ์ก็ลงบันไดมาด้านล่างทีละขั้นๆ
ลู่เซิ่งเงยหน้าพิจารณาคนพวกนี้อย่างละเอียด
คนที่อยู่ด้านหน้าสุดเป็นบุรุษวัยกลางคนผู้มีผมหางม้าสีน้ำเงินและไว้หนวดจิ๋มบนริมฝีปาก ดูหนักแน่นเป็นผู้ใหญ่ สายตาอ่อนโยน เหมือนกับขุนนางวัยกลางคนธรรมดาทั่วไป
มีคนสองคนติดตามอยู่ด้านหลังเขา ชายฉกรรจ์หัวล้านรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสันคนหนึ่ง สวมเกราะม้าสีดำแนบตัวแบบเรียบง่าย ตรงหว่างคิ้วมีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีแดงเหมือนดาบติดอยู่ ดูดุร้ายอยู่บ้าง
อีกคนไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย หากลู่เซิ่งไม่ตั้งใจมอง คงจะเมินนางไปแล้ว เป็นสตรีนางหนึ่ง สวมชุดขาวแนบเนื้อ เค้าโครงกลับไร้ส่วนเว้าส่วนโค้ง สองตาซึมเซาเฉื่อยชา คล้ายไม่สนใจสิ่งใดสักอย่าง
“อริยะเจ้าลู่ นี่เป็นการพบกันเป็นครั้งแรกของพวกเรากระมัง” ประกายขั้วโลกมองลู่เซิ่งด้วยรอยยิ้ม หลังจากทั้งสามลงจากบันไดไม้ เรือใหญ่ด้านหลังก็ปล่อยหมอกสีขาวออกมาคลุมเรือไว้ทั้งลำแล้วหายไป
ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างเคารพ
“ถูกต้อง ตั้งแต่สำเร็จเป็นอริยะเจ้า ก็ไม่เคยไปที่น้ำตกทองคำเลย เป็นลู่เซิ่งเสียมารยาทแล้ว”
ประกายขั้วโลกโบกมือพร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะว่าไปเจ้ายังเป็นศิษย์ในนามของน้องสาวข้าด้วย ทุกคนไม่ต้องเห็นเป็นอื่นเป็นไกลไป เล่าสถานการณ์ของเกาะมายามาเถอะ”
สีหน้าของเขาเคร่งขรึมลงตอนที่กล่าวประโยคสุดท้าย
ลู่เซิ่งเงียบงันครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ บอกเล่าต้นสายปลายเหตุ ตอนที่พูดถึงตัวเอง ก็เปลี่ยนอีกาดำเป็นสิ่งของช่วยชีวิตลี้ลับที่สามารถจากไปในเวลาชั่วพริบตาได้ แต่ใช้ได้แค่ครั้งเดียว
พวกประกายขั้วโลกฟังอย่างตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิมในตอนได้ยินว่าแขนดำข้างนั้นปรากฏขึ้น
“ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ได้ดูผิด กลางฝ่ามือของแขนดำข้างนั้นมีสัญลักษณ์อาวุธเทพอริยะเจ้าหลากหลายรูปแบบติดอยู่หรือ” ชายฉกรรจ์หัวล้านอดถามไม่ได้
“ท่านนี้คืออริยะเจ้าไร้หัวใจในหน่วยอาทิตย์โลหิต” ประกายขั้วโลกแนะนำ
ลู่เซิ่งพยักหน้าให้คนผู้นี้อย่างเคารพ
“ดูไม่ผิดแน่ อริยะเจ้าคนอื่นๆ ถูกมือดำกลืนกินแล้วหายไปในเวลาที่สั้นมากๆ ข้าอาศัยสิ่งของช่วยชีวิตออกจากที่นั่นในพริบตา จากนั้นก็ซ่อนตัว ต่อมาได้รับบาดเจ็บหนักจึงหลับใหลไป จนกระทั่งสุดท้ายค่อยฟื้นขึ้นมาได้ ส่วนมือดำข้างนั้นจะไปแล้วหรือไม่ ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน ขอบังอาจถามท่านเจ้าสำนัก มือดำข้างนั้นเป็นเทพเทวามาจากไหนกันแน่…” เขาเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเมื่อนึกถึงมือดำข้างนั้น ระดับชั้นนั้นสามารถสังหารอริยะเจ้าได้โดยใช้เวลาเพียงพลิกฝ่ามือ นี่แทบทำให้เขารู้สึกว่าอริยะเจ้าใกล้จะกลายเป็นผักกาดขาวแล้ว
แต่ในความเป็นจริงต่อให้จะอยู่ในต้าอินที่มียอดฝีมือมากมาย อริยะเจ้าสักคนหนึ่งก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดอยู่ดี ทั่วทั้งต้าอินมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น หากเสียไปในครั้งเดียวหลายคน แม้จะมีสิ่งที่สามสำนักเก็บสั่งสมมา ก็ยังเป็นความเสียดายอันสุดแสนอยู่ดี
ประกายขั้วโลกผุดสีหน้าไม่น่าดูเท่าไหร่นัก
“พวกชีซิ่วกับหางอวิ๋น…เฮ้อ…เรื่องนี้ต้องโทษตัวข้า” เขาได้สติกลับมา ดวงตาฉายแววเป็นกังวลแวบหนึ่ง “อริยะเจ้าลู่…ได้โปรดเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วย ความเป็นมาของมือดำข้างนั้น บอกท่านไปก็หาเป็นไรไม่ นั่นคือ…”
“นั่นคือแขนข้างที่ห้าของเทพโลหิต” อริยะเจ้าอาทิตย์โลหิตหัวล้านที่อยู่ด้านข้างเอ่ยแทรกเพื่ออธิบาย สีหน้าเคร่งเครียด “เทพโลหิตเป็นอมตะ เลยถูกเจ้าแห่งอาวุธจำนวนมากตัดเป็นหลายชิ้นเพื่อแยกกันสะกด ส่วนแขนข้างนั้นก็ถูกสะกดไว้ในประตูมายาบนเกาะมายา ในอดีต เจ้าสำนักคนเก่าคงเหิงได้สร้างค่ายกลขึ้นและได้ใช้พลังของแขนข้างนี้มาสะกดพลังของวิญญาณร้ายในประตูมายา นึกไม่ถึงว่ามันจะหลุดจากพันธนาการของค่ายกลแล้ว”
“เทพโลหิตหรือ…” ลู่เซิ่งไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน จึงขมวดคิ้วน้อยๆ
“ท่านไม่เคยได้ยินมาก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ พวกเราต้าอินยาตราทัพไปด้านนอก ยึดครองและทำลายโลกด้านนอกจำนวนนับไม่ถ้วนมาหลายพันปี อย่างไรก็ต้องเจอโลกที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดจำนวนหนึ่ง เทพโลหิตที่ว่านี้ก็คือหนึ่งในสองสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งที่สุดที่ต้าอินของเราได้เจอในระหว่างที่ทำศึกมาหลายปี” ประกายขั้วโลกเล่าอย่างรวบรัด “ครั้งกระโน้นเจ้าสำนักเก่าคงเหิงได้รับบาดเจ็บหนักเพราะล้อมปราบเทพโลหิต ภายหลังจึง…” เขาถอนใจเฮือกหนึ่ง
“เอาล่ะ พวกเราไปดูที่เกาะมายาก่อนดีกว่า” ประกายขั้วโลกเสนอ
“รับทราบ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ทั้งสี่คนไม่ได้หยุดพัก เพียงกำชับให้พวกเฉินซือถีเตรียมการเฝ้าระวัง ส่วนเรื่องอื่นๆ ย่อมมียอดฝีมือสามสำนักจำนวนมากที่ลงมาจากเรือใหญ่ด้านหลังพวกเขารับมือเอง
พวกเขาสี่คนคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุด พากันตรงดิ่งไปยังเกาะมายาโดยให้เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกเป็นผู้นำ
หลังขึ้นเกาะแล้ว ลู่เซิ่งก็พาพวกเขาไปตรวจสอบลานกว้างเมื่อก่อนหน้าและบ่อน้ำบ่อนั้น แต่ก็ไม่พบปัญหาใดๆ
ประกายขั้วโลกได้แต่แยกแยะอย่างคร่าวๆ ว่า เป็นไปได้เป็นอย่างสูงที่แขนข้างที่ห้าของเทพโลหิตจะหนีไปอย่างเหนือความคาดหมายแล้ว แต่เนื่องจากว่าลวดลายค่ายกลบนเกาะมายายังไม่พังลง จึงหมายความว่า แขนข้างนั้นน่าจะยังอยู่ใกล้ๆ นี้
ประกายขั้วโลกซักถามสถานการณ์และรายละเอียดส่วนหนึ่งจากลู่เซิ่งอย่างละเอียด จากนั้นก็วางสิ่งของส่วนหนึ่งลงบนเกาะอย่างเฉพาะเจาะจง
ต่อมาไม่นานก็มีปรมาจารย์ค่ายกลของสำนักพันอาทิตย์จำนวนหนึ่งมาอีก แล้วเริ่มร่วมมือกับประกายขั้วโลกในการกางค่ายกล
กลุ่มสมาพันธ์ยอดฝีมือของสามสำนักก็ทยอยมาถึงเช่นกัน ต่างคนต่างก็ร่วมมือกันปิดกั้นอาณาเขตของหมอกไว้อย่างแน่นหนา โดยใช้เรือลอยได้ครอบไว้เหมือนกับถังเหล็ก
หลังจากอริยะเจ้าที่เป็นที่รู้จักกันดีของสามสำนักปรากฏตัวคนแล้วคนเล่า หน่วยอาทิตย์โลหิตก็ส่งอาวุธเทพคลั่งกับอริยะเจ้ามาเอง สำนักซ่อนธาตุก็มีอริยะเจ้าสามคนมาถึงเช่นกัน ขุมกำลังรบบนเกาะมายายิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ลู่เซิ่งได้รับคำชมเชยไม่น้อยเนื่องจากการเฝ้าคุ้มครองเมื่อก่อนหน้า ประกายขั้วโลกสั่งให้เขากลับไปพักผ่อนรักษาตัวที่บ้านเป็นการเฉพาะ แม้จะมองออกในแวบเดียวว่าลู่เซิ่งไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ ก็ตาม แต่อย่างไรก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งก็เกือบตาย แถมได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกต่างหาก การกลับไปพักผ่อนรักษาตัวในตอนนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ตอนแรกลู่เซิ่งนึกว่าพี่ชายของซูหนิงเฟยไม่ใช่มนุษย์ และคงมีนิสัยย่ำแย่เพราะเป็นญาติของคนอารมณ์ร้ายอย่างซูหนิงเฟย แต่ว่าพอได้คบหากันในเวลาสั้นๆ เขากลับค้นพบอย่างประหลาดใจว่า คนผู้นี้มีนิสัยอ่อนโยนอย่างยิ่ง ใจกว้างยุติธรรม จริงใจมีมารยาท ทั้งยังไม่เคยวางท่าอะไร
ลู่เซิ่งคิดดูเล็กน้อยก็เข้าใจ ถ้าไม่มีเสน่ห์และแรงดึงดูดของคนผู้นี้ ใช้แค่สถานะเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลก เจ้าสำนักคงเหิงไม่แน่ว่าจะกำหนดให้เขานั่งตำแหน่งเจ้าสำนักสำนักพันอาทิตย์
สถานการณ์ของทะเลบูรพามั่นคงอย่างช้าๆ ลู่เซิ่งพักผ่อนบนเกาะของสำนักย่อยระยะหนึ่ง ก่อนจากไปได้ยินว่าใกล้ๆ เกาะมายาคล้ายมีการค้นพบเบาะแสและเกิดการต่อสู้อย่างรุนแรงจนอึกทึกครึกโครมอย่างยิ่ง แถมยังมีอริยะเจ้าสองคนตกตาย ถึงขั้นที่เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกบาดเจ็บซ้ำที่เดิมอีก
ลู่เซิ่งค่อยนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้เหมือนจะมีการข่าวส่งมาว่า จักรพรรดิมารเหวยลาใช้ร่างหลักออกเคลื่อนไหว แล้วถูกเจ้าแห่งอาวุธสองคนของสามสำนักขวางทางสังหาร เป็นเหตุให้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
หลังอยู่บนเกาะหลายวัน ลู่เซิ่งก็เตรียมจะกลับสำนักมารกำเนิด กลับนึกไม่ถึงว่าคนของเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกจะมารั้งตัวไว้ก่อน
“เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าสำนักมอบให้อริยะเจ้าลู่ด้วยตัวเอง เป็นการชดเชยที่อริยะเจ้าลู่คุ้มครองทะเลบูรพาในครั้งนี้ อริยะเจ้าได้โปรดรับไว้ด้วย”
ในหอน้อยบนเกาะที่ลู่เซิ่งพักอาศัย บุรุษร่างกำยำไว้ผมสั้นสีแดงคนหนึ่งยืนอยู่ในโถงใหญ่ของชั้นที่สอง ด้านหลังของเขามีหีบสมบัติสีดำห้าใบที่เคลื่อนย้ายมาจากด้านนอก หีบอ้าอยู่ครึ่งหนึ่ง เห็นอาวุธพิเศษรูปร่างพิลึกหลายชิ้นซึ่งวางอยู่ด้านในได้อย่างชัดเจน
ผิวนอกของอาวุธเหล่านี้ล้วนประทับสัญลักษณ์ที่มีเฉพาะอาวุธเทพเอาไว้ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน
“ตรงนี้มีอาวุธเทพทั้งหมดห้าชิ้น เป็นใบไม้ทองคำสามชิ้น ดาวหยกสองชิ้น ล้วนนำออกมาจากโกดังอาวุธที่สำนักเราเก็บสำรองไว้ เป็นสิ่งตอบแทนในภารกิจคุ้มครองครั้งนี้ของท่าน” บุรุษผมแดงเอ่ยอย่างนอบน้อม
ตอนแรกลู่เซิ่งไม่พอใจในตัวสำนักพันอาทิตย์อยู่บ้าง แต่พอเห็นประกายขั้วโลกเข้าใจเรื่องราวขนาดนี้ อีกทั้งการชดเชยในครั้งนี้ก็ถือว่าอุดมสมบูรณ์ เขาจึงเลิกคิดเล็กคิดน้อย
“นอกจากนี้ยังมีศิลามัจฉาทองหนึ่งพันก้อน ผ้าร้อยบุปผาสองพันผืน ชิ้นส่วนอาวุธเทพห้าร้อยชิ้น แร่จากเขาจิ่วซันหนึ่งพันชั่ง แร่ดาวตกหนึ่งพันชั่ง ศิลาทำลายเขตแดนสิบก้อน วัตถุโบราณ ภาพวาด และอัญมณีล้ำค่าอีกหลายพันชิ้น ซึ่งจะทยอยจัดส่งไปยังตำแหน่งที่อริยะเจ้าลู่ระบุในเวลาหนึ่งเดือนต่อจากนี้” บุรุษผมแดงกล่าวต่อ
……………………………………….
[1] กงหลี่ มาตราวัดเท่ากับ 1 กิโลเมตร