ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 462 กลับบ้าน (2)
บทที่ 462 กลับบ้าน (2)
“อ้อ นี่คือความคิดของเจ้าสำนักประกายขั้วโลกหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว แม้ว่ารางวัลเหล่านี้จะเทียบกับอาวุธเทพเมื่อก่อนหน้าไม่ได้ แต่ก็นับว่าอุดมสมบูรณ์ถึงขีดสุดแล้ว สิ่งของมากมายในนี้ใช้ตบรางวัลให้บริวารได้ ถือว่าพิจารณาได้รอบคอบดีแท้
“ขอรับ เจ้าสำนักสนับสนุนผู้มีคุณูปการในสำนักอย่างเต็มที่โดยไม่เคยเสียดายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” บุรุษผมแดงเอ่ยด้วยใบหน้าอ่อนน้อม
“ขอบคุณเจ้าสำนักที่ประทานมอบให้ ผู้แซ่ลู่ขอกลับไปพักผ่อนชั่วคราว รอร่างกายสมบูรณ์ดีแล้ว ค่อยกลับมาตอบแทนสำนักอีกครั้ง” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
บุรุษผมแดงยิ้มพร้อมกับกล่าวเกรงอกเกรงใจอีกสองสามประโยคแล้วจบการส่งมอบ ก่อนจะหมุนตัวจากไป
ลู่เซิ่งกวาดตามองหีบหลายใบ เขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งในกลิ่นอายของอาวุธเทพที่อยู่ด้านใน เหมือนอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้จริงๆ ใบไม้ทองคำสามชิ้น ดาวหยกสองชิ้น
การออกเดินทางในครั้งนี้ไม่ถือว่าขาดทุนเกินไป
‘ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว ควรกลับได้สักที ไม่ทราบว่าตอนนี้ลูกเราจะเป็นยังไงบ้าง…’ ลู่เซิ่งเกิดความอ่อนโยนขึ้นในใจอย่างหาได้ยาก
เช้าวันต่อมา เขาสร้างม้วนเมฆดำแล้วนำเอาอาวุธเทพห้าชิ้นพุ่งสู่ฟากฟ้า บินไปยังทวีปด้านใน ถือโอกาสช่วยคนของประกายขั้วโลกนำของหลายชิ้นกลับไปด้วย
เขาใช้เวลาบินเกือบสามวัน จึงค่อยมองเห็นทวีปด้านในไกลๆ
ทิ้งตัวลงบนชายฝั่งทะเล หาเมืองเล็กๆ เพื่อกินอะไรบางส่วนและอาบน้ำอาบท่า วันต่อมาลู่เซิ่งก็เหาะบินอีกครั้ง
ขณะที่บินอยู่ เห็นอาคารชำรุดทรุดโทรมกำลังได้รับการบูรณะไปทุกที่ กิจการการค้ามากมายล่มสลายลงโดยสมบูรณ์เพราะผลกระทบจากภัยพิบัติมาร มีแค่กิจการรถม้าที่รุ่งเรืองที่สุด เพราะหากต้องการแลกเปลี่ยนและเพิ่มประสิทธิภาพทรัพยากรในแต่ละที่ให้เร็วที่สุด จำเป็นต้องใช้การขนส่งอย่างรวดเร็วของกิจการรถม้า
ตลอดทางลู่เซิ่งเห็นสถานที่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งแห่งที่มีชาวนากลุ่มใหญ่ลงนาเพื่อปรับดินและหว่านเมล็ด
ลมวสันต์พัดพาต่อเนื่อง อีกไม่กี่วันจะมีฝนลงปรอยๆ ดินดำจำนวนมากที่ติดเชื้อภัยพิบัติมารจะมีฟันสีเขียวงอกขึ้นมา
ลู่เซิ่งถามทางตลอดการเดินทาง ก่อนจะกลับถึงในเขตของแคว้นนวกระจ่างอย่างรวดเร็วด้วยการนำทางของสำนักย่อยสำนักพันอาทิตย์
เทียบกับแคว้นอื่นๆ แล้ว แคว้นนวกระจ่างถูกทำลายราบคาบมากกว่า อย่างไรก็เป็นแคว้นที่เผชิญหน้ากับทัพมารโดยตรง
ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยผู้คนทุกข์ยาก คนหิวโหย ซากกระดูกกองสุม หมู่บ้านจำนวนไม่น้อยข้างทางมีคนเหลืออยู่ประปราย ชาวบ้านที่รอดอยู่หากไม่ใช่สองตาฉายแววหมดอาลัยตายอยาก ก็มีสีหน้าซึมเซา คล้ายกับสูญเสียความหวังในการใช้ชีวิตแล้ว
คนส่วนหนึ่งหิวโซถึงขั้นขุดเปลือกไม้ และกินศพของสัตว์กับมนุษย์ที่เน่าเปื่อย
จนกระทั่งถึงเขตจันทราสารท สถานการณ์แบบนี้จึงค่อยดีขึ้น พื้นที่ใหญ่รอบๆ เขตจันทราสารทได้รับการปกปักษ์คุ้มครองจากสำนักมารกำเนิดและสามสำนัก จึงไม่เจอการรุกรานจากทัพมาร โดยเฉพาะสำนักมารกำเนิดยังขยายขุมกำลังอย่างรวดเร็วจนมารธรรมดาเอาชนะพวกเขาไม่ได้
ลู่เซิ่งเปลี่ยนเส้นทางเล็กน้อย หลังจากไม่เห็นมารปรากฏใกล้ๆ อีกต่อไป จึงค่อยบินกลับตระกูลลู่ในนครเขตโดยตรง
หลังจากไปถึงแล้ว คนของคฤหาสน์ลู่ที่ไม่พบกันมาหลายปีก็ส่งเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง ทั้งแขวนโคมทั้งผูกผ้าฉลอง ต่างคนต่างเชิญสหายของตนมาเป็นแขกในงานเลี้ยงเพื่อเลี้ยงฉลองที่ประมุขตระกุลลู่ ลู่เซิ่งกลับมา
พลังและตำแหน่งของลู่เซิ่งมีจำนวนงอนิ้วนับได้ในแคว้นนวกระจ่าง ข่าวการกลับมาของเขาจึงกระจายไปทั่วแคว้นทันที ประมุขตระกูลของตระกูลขุนนาง หัวหน้าเผ่าของเผ่าใหญ่ๆ รวมถึงหัวหน้าค่ายพรรคในแคว้นจำนวนไม่น้อย ต่างพากันมาส่งมอบของขวัญ
ยอดฝีมืออริยะเจ้าคนหนึ่งสามารถคุ้มครองความปลอดภัยหลายพันปีของแคว้นนวกระจ่างเอาไว้ได้ เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้สงสัย แม้แต่ขุนนางจือโจวของแคว้น หรือขุนนางบริหารราชการที่มีระดับสูงที่สุดในแคว้นก็ยังส่งลูกหลานมาเข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ที่ตระกูลลู่จัดขึ้น
ลู่เซิ่งกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย นอกจากพลังฝึกปรือของตัวเองแล้ว สิ่งที่เขาใส่ใจเพียงหนึ่งเดียวก็คือครอบครัวของตัวเอง
…
ณ สวนดอกไม้ใจกลางคฤหาสน์ลู่
ลู่หนิงที่อายุสี่ขวบนั่งอยู่ใต้ต้นไหวเฒ่า รับฟังท่านตาต้นไหวเล่านิทานในอดีตมากมายให้ฟัง ปีนี้เขาที่เพิ่งอายุครบสี่ขวบอ้วนจ้ำม่ำ สองตาหยีเป็นเส้นเดียว ร่างกายกลมกลิ้งเหมือนลูกหนัง ไม่ทราบว่าเหมือนกับใคร เพิ่งจะอายุสี่ขวบก็เหมือนกับลูกหมูเสียแล้ว ยามเดินเหมือนกับลูกหนังกำลังกลิ้งอยู่
ต้นไหวเฒ่ายื่นกิ่งไปพลิกหนังสือตรงหน้าแล้วอ่านต่อว่า “…หลังจากหญิงเลี้ยงแพะกลับบ้านก็นำเปลือกหอยที่เก็บได้ก่อนหน้านี้มาเลี้ยงในน้ำใสสะอาด นางเฝ้าคอยวันแล้ววันเล่า ด้วยหวังว่าเปลือกหอยจะเติบโตและงดงามขึ้นเรื่อยๆ ตามคำบอกของแพะภูเขาเฒ่า…”
“ท่านพ่อ!” อยู่ๆ เจ้าอ้วนตัวน้อยก็ตาเป็นประกาย ก่อนจะกระโดดผลุงพร้อมพุ่งใส่ลู่เซิ่งที่เพิ่งเข้ามาในเรือน
“ทำการบ้านวันนี้เสร็จแล้วหรือยัง” ลู่เซิ่งกอดลูกชายเบาๆ พลางบีบใบหน้ารูปไข่ที่อวบอัด
“ยังเลย”
“แล้วเจ้ายังมาให้เฒ่าไหวเล่าเรื่องให้ฟังอีกหรือ หาเรื่องโดนตีแล้ว” ลู่เซิ่งทำหน้าเครียด
“ข้ารู้สึกว่าการบ้านไม่มีเรื่องราวที่มีส่วนช่วยต่อข้านี่” เด็กอ้วนตอบเสียงดัง
“ผู้ใดสอนให้เจ้าพูดแบบนี้กัน การบ้านจึงเป็นเส้นทางที่ทำให้เจ้ามีความรู้มากที่สุด” ลู่เซิ่งทำหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม
“ท่านแม่บอกว่าข้าไม่ต้องการความรู้อะไรหรอก อย่างไรข้าก็ต้องตายเร็วกว่าท่านพ่ออยู่แล้ว” เด็กอ้วนตอบอย่างไม่นำพา
“เจ้ากล้าเชื่อคำพูดของแม่เจ้าด้วย” ลู่เซิ่งพลันปวดหัว “ไปได้แล้ว! อย่ารบกวนตาไหวของเจ้า”
“อื้อ” ลูกหนิงเด็กอ้วนห่อปากจากไปอย่างไม่พอใจ
หลังจากเขาไปแล้ว เด็กสาวสวมอาภรณ์สีน้ำเงินที่มีรูปร่างสูงชะลูดคนหนึ่งจึงค่อยเดินออกมาจากระเบียงด้านหลังลู่เซิ่ง นางสวมเสื้อยาวกระโปรงยาวแนบเนื้อ มัดแส้ดำไว้ที่เอว สีหน้าราบเรียบ ดวงตาสุกใส ฟันขาวสะอาด งดงามบริสุทธิ์ มัดผมสีดำยกสูงเหมือนกับหางม้าของลู่เซิ่ง
“เจวี๋ยชิ่ง เจ้ามานี้” ลู่เซิ่งกวักมือเรียกเด็กสาว
เด็กสาวคนนี้ก็คือมู่เจวี๋ยชิ่ง ลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่เขารับไว้เมื่อก่อนหน้า หลังลู่เซิ่งกลับมาแล้ว ก็รู้สึกละอายใจอยู่บ้างที่ไม่ได้ทำหน้าที่อาจารย์ให้ดี ผ่านไปนานแล้วยังไม่เลือกสิ่งที่จะสอนให้นาง ช่วงนี้จึงให้นางอยู่ข้างกายตลอดเวลา
“เจ้าค่ะ” มู่เจวี๋ยชิ่งเร่งฝีเท้าเดินถึงด้านหน้าต้นไหวเฒ่าแล้วยืดอกเชิดหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา
“เจวี๋ยชิ่งเป็นศิษย์ที่ข้ารับไว้ แต่เป็นเพราะข้าไม่ได้ศึกษาร่างวิญญาณไม้เท่าไหร่ ดังนั้นจึงให้นางมาขอให้เฒ่าไหวท่านช่วยชี้แนะว่าวิธีการที่ดีที่สุดที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติร่างชนิดนี้จะต้องถ่ายทอดเส้นทางแก่นจริงแท้แบบไหนถึงจะดี” ลู่เซิ่งถาม
ต้นไหวเฒ่าจ้องมองมู่เจวี๋ยชิ่งอย่างพินิจพิจารณา “เป็นร่างวิญญาณไม้เหมือนที่เจ้าสำนักบอกจริงๆ ไหวเฒ่าเคยเห็นมาสองสามคน ถ้าคุณสมบัติร่างชนิดนี้ฝึกฝนเส้นทางแก่นสารกายกับแก่นจริงแท้จะสามารถใช้ความได้เปรียบจากสภาพแวดล้อมได้ อีกทั้งยังก้าวหน้าได้เร็วสุดขีด ก่อนระดับปฐพีกำเนิดล้วนปลอดโปร่งไร้อุปสรรค เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าสำนักสามารถถ่ายทอดวิชาแก่นจริงแท้ธาตุไม้ให้นางได้”
“วิชาแก่นจริงแท้ธาตุไม้…” ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงว่าจะง่ายดายขนาดนี้ เขารู้วิชาธาตุไม้อยู่สองสามวิชา แต่ว่าวิชาที่จะสามารถไปถึงระดับผู้ถืออาวุธสูงสุดได้กลับไม่มีสักวิชาเดียว
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา
ตอนที่ไปยังโลกพลังวิญญาณเมื่อครั้งก่อน การเข้าออกของเขาทำให้เสียพลังอาวรณ์ไปไม่น้อย แต่ก็ได้รับพลังวิญญาณมามากมายเช่นกัน ตอนนี้ยังเหลือพลังอาวรณ์อยู่อีกเก้าพันกว่าหน่วย
พลังอาวรณ์จำนวนมากขนาดนี้ เอามาเรียนรู้วิชาระดับผู้ถืออาวุธสักส่วนหนึ่งได้อย่างง่ายดายไม่มีใดเกิน
โดยเฉพาะตอนนี้เขายังไปถึงระดับเทวปัญญาอันเป็นจุดสูงสุดแล้วด้วย ทำให้มีแก่นจริงแท้กับแก่นหยางในร่างเต็มเปี่ยมเหลือล้น พลังอาวรณ์ที่ใช้ตอนเรียนรู้จึงลดลงมาก บางทีใช้แค่หนึ่งสองร้อยหน่วยก็ฝึกสำเร็จแล้ว
“เข้าใจแล้ว ข้าจัดการเอง” ลู่เซิ่งพยักหน้า “พอแล้วเจวี๋ยชิ่ง เจ้าไปฝึกฝนวิชาแก่นจริงแท้พื้นฐานเองก่อน อีกประเดี๋ยวข้าจะตามไป”
“ทราบแล้วอาจารย์” มู่เจวี๋ยชิ่งตอบอย่างเคารพ ก่อนจะหมุนตัวเร่งฝีเท้าผละไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เพียงแต่นางที่เป็นเด็กสาวกลับมีท่วงท่ามังกรเหินพยัคฆ์ย่ำในยามย่างเดินอยู่บ้าง อีกทั้งลู่เซิ่งมองไปมองมายังรู้สึกว่าอริยาบทนี้ดูคุ้นเคยเล็กน้อย
“เด็กคนนี้ชอบท่านมากเลยนะ” รอมู่เจวี๋ยชิ่งไปแล้ว ไหวเฒ่าจึงค่อยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้แต่ท่าเดินกับการพูดคุยก็ยังเลียนแบบท่าน”
“อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งหัวเราะ
“ความจริงเมื่อครู่…” เฒ่าไหวยังพูดไม่ทันจบ
“เด็กที่ข้ามู่เจวี๋ยชิ่งต้องการตี ในแคว้นนวกระจ่างทั้งแคว้นไม่มีใครกล้าขวาง! ไสหัวไปเสีย!” อยู่ๆ ไกลออกไปก็มีเสียงตะโกนของมู่เจวี๋ยชิงดังมา
“ตีเลยๆ! บิดาข้าคือลู่เซิ่ง! ใครกล้าทำข้า!” เสียงเด็กอ้วนคนหนึ่งตะโกนเหมือนกลัวว่าใต้หล้าจะปั่นป่วนไม่พอ
จากนั้นก็เกิดความชุลมุนวุ่นวาย เสียงร้องโอดโอยและเสียงสะอึกสะอึ้นของเด็กๆ ดังสับสน
ลู่เซิ่งกับต้นไหวเฒ่ามองหน้ากันอย่างเอือมระอา
“เด็กสองคนนี่…เหมือนท่านจริงๆ…” ต้นไหวเฒ่าอดเสริมหนึ่งประโยคไม่ได้
“ผิดแล้ว ข้าไม่ได้กร่างขนาดนี้เสียหน่อย…” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
ท่านกร่างกว่าพวกเขาเสียอีก…
ต้นไหวเฒ่ามุมปากกระตุก แต่ไม่กล้าพูดต่อ
“เอาล่ะกลับมาหัวข้อหลักดีกว่า เฒ่าไหวท่านรู้จักเคล็ดวิชาธาตุไม้ของเผ่าปีศาจหรือไม่ ถ้าหากเป็นไปได้ ช่วยข้าจัดระเบียบให้ที ให้ดีที่สุดควรเป็นวิชาที่ไปถึงระดับผู้ถืออาวุธได้” ลู่เซิ่งถาม
ถึงอย่างไรวิชาไร้ขอบเขตของเขาในปัจจุบันก็รองรับวิชาทั้งหมด ต่อให้เขาฝึกฝนวิชาธาตุไม้ สุดท้ายก็จะหลอมรวมกับวิชาไร้ขอบเขตแล้วกลายเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ดี
วิชาไร้ขอบเขตมีความตั้งใจในการสร้างยิ่งใหญ่เกินไป มีหยินหยางเป็นพื้นฐาน สามารถหลอมรวมสรรพสิ่ง หยินหยางในที่นี้ ลู่เซิ่งกำหนดให้สิ่งที่เบาโหวง ขึ้นด้านบน ลวงตา และล่องลอยเป็นหยาง ส่วนของหนัก หนา จมลงล่าง ขุ่นมัว และเย็นเยียบเป็นหยิน หรือก็คือให้หยางเป็นฟ้า หยินเป็นดิน
“ข้าพอจะรู้จักเคล็ดวิชาธาตุไม้ในเผ่าปีศาจอยู่บ้าง ในเมื่อเจ้าสำนักต้องการ ข้าไหวเฒ่าย่อมไม่มอบของชั้นรองให้อย่างแน่นอน” เฒ่าไหวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม สำนักมารกำเนิดให้ความเคารพเขามาโดยตลอด แถมเวลาขออะไรก็ได้รับการตอบรับเสมอ ทรัพยากรชั้นเลิศที่ปีศาจเฒ่าต้องการก็ล้วนพยายามรวบรวมและมอบให้เขาสุดความสามารถเช่นกัน
เขาจึงมีพลังฝึกปรือรุดหน้าขึ้นเท่าหนึ่ง เลยมีความทรงจำที่ดีต่อตระกูลลู่และสำนักมารกำเนิด
ครั้งนี้หลังจากลู่เซิ่งกลับมาก็ยังได้มอบชิ้นส่วนอาวุธเทพธาตุไม้หลายสิบชิ้นแก่เขา ยิ่งทำให้เฒ่าไหวรู้สึกปลอดโปร่งกว่าเดิม
“เจ้าสำนักคงจะเตรียมให้แก่แม่นางน้อยที่มีร่างวิญญาณไม้ผู้นั้นกระมัง พูดถึงร่างวิญญาณไม้ เคยมีผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสร้างวิชาร่างโปร่งแสงที่โดดเด่นขึ้นหลังจากศึกษาหลักการและต้นกำเนิดของร่างวิญญาณไม้ด้วย มันสามารถทำให้ปีศาจในขอบเขตผู้ถืออาวุธสำเร็จร่างมหาปีศาจอริยะเจ้าได้” เฒ่าไหวอธิบาย
“มีความยากมากกระมัง” ลู่เซิ่งยังคงนิ่งเฉย
“ยากมาก ถ้าหากไม่ต้องการ จะเอาเป็นอีกวิชาก็ได้ คัมภีร์เก้าสูญปีศาจสวรรค์สังหารมาร วิชานี้เป็นวิชาสูงสุดของเผ่าปีศาจที่เชื่อมถึงระดับผู้ถืออาวุธ เดินบนเส้นทางปีศาจสวรรค์ฉายดวงดาว มีผลกดข่มเผ่ามารที่แข็งแกร่งมาก โดดเด่นกว่าวิชาอื่นตรงที่มีดวงดาวคู่ชะตาลอยบนศีรษะ ทำให้ใช้แก่นมารได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งความอึดยังเหนือกว่าวิชาอื่นๆ ด้วย” เฒ่าไหวเสนอ
“ได้ เอาวิชานี้นี่แหละ” ลู่เซิ่งเป็นห่วงสถานการณ์ในปัจจุบันมาก ระหว่างโลกมนุษย์กับพิภพมารมีความขัดแย้งมากมาย เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะรุนแรงขึ้นอีกจนเกิดศึกใหญ่
เขาจัดการภารกิจในตระกูลอย่างรวดเร็ว หลังจากถ่ายทอดวิชาให้มู่เจวี๋ยชิ่งแล้ว ก็ใช้ข้ออ้างรักษาอาการบาดเจ็บกลืนกินอาวุธเทพห้าชิ้นที่ประกายขั้วโลกมอบให้ แล้วได้รับพลังอาวรณ์มาสามหมื่นกว่าหน่วย เมื่อบวกกับที่เหลืออยู่ก่อนหน้าก็เท่ากับมีพลังอาวรณ์ร่วมสี่หมื่นหน่วย
จากนั้นลู่เซิ่งจึงค่อยเริ่มศึกษาวิชาพลังวิญญาณกับคัมภีร์หยกมารสวรรค์อย่างละเอียด เพื่อเตรียมจะสิงร่างและมุ่งหน้าไปยังโลกใบอื่นเป็นครั้งที่สอง ขณะเดียวกันก็ศึกษาไฟหยินอัคคีอนธการอย่างต่อเนื่อง เพราะหวังว่าจะสามารถทำให้ถึงขั้นได้กฎเกณฑ์และหลอมรวมกฎเกณฑ์สำเร็จได้โดยเร็วด้วย
……………………………………….