ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 470 ผนึกรวม (2)
บทที่ 470 ผนึกรวม (2)
ซู่!
ก้อนน้ำแข็งที่จับตัวกันรอบตัวลู่เซิ่งขยายใหญ่และมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ งูสีน้ำเงินเข้มที่ผลุบๆ โผล่ๆ จำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านในถ้ำและลอยวนเวียนรอบๆ ก้อนน้ำแข็งอย่างช้าๆ
เขาสัมผัสการเปลี่ยนแปลงในร่างกายอย่างละเอียด ปราณจริงแท้ความเย็นจำนวนมากทะลักเข้าไปในวังวนเก้าสิบเก้ากลุ่มอย่างต่อเนื่อง ร่างกายหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม ถึงขั้นที่ขยับเขยื้อนไม่ได้ เพียงแต่ระดับสร้างรากฐานช่วงหลังที่อยู่ในระดับธรรมดาๆ ครั้งนี้กลับแตกต่างไปจากก่อนหน้าเล็กน้อย
หลังจากวังวนเก้าสิบเก้ากลุ่มดูดซับปราณจริงแท้ความเย็นนับไม่ถ้วนเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ไอความเย็นที่บริสุทธิ์จำนวนมากก็ซึมออกมาจากกลางจุดตันเถียนด้านล่างของกายเนื้ออย่างไร้สุ้มเสียง แล้วจับตัวเป็นก้อนเล็กๆ พร่ามัวกึ่งโปร่งแสงที่เหมือนมีเหมือนไม่มี
พอก้อนเล็กๆ นี้โผล่มา ลู่เซิ่งก็สัมผัสได้ทันทีว่าตรงหน้าเกิดภาพหลอนขึ้นนับไม่ถ้วน กลิ่นอายพิเศษที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีแผ่กระจายในอากาศอย่างเงียบเชียบ
ตอนนี้ดวงตาของสิ่งมีชีวิตรูปร่างงูกึ่งโปรงแสงสีน้ำเงินที่เลื้อยไปมาด้านในถ้ำอันเงียบสงบเมื่อก่อนหน้านี้กลายเป็นสีแดงพร้อมกัน พวกมันส่งเสียงประหลาดและพุ่งเข้าใส่ลู่เซิ่งเหมือนกับตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง
‘ภัยมารหรือ’ ลู่เซิ่งลืมตาอย่างงุนงง ภัยมารเป็นภัยพิบัติพิเศษที่จะเจอก็ต่อเมื่อเริ่มต้นสร้างโอสถลวงตาขึ้นในชั้นเริ่มต้นของระดับสร้างรากฐานช่วงปลายเท่านั้น
เป็นหนึ่งในความลำบากที่ผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานทุกคนต้องเจอ ตั้งแต่เวลานี้ไป การเพิ่มขอบเขตทุกๆ ครั้งหลังจากนี้จะเจอภัยพิบัติที่มีระดับแตกต่างกัน
สิ่งมีชีวิตรูปร่างงูพุ่งเข้าไปในก้อนน้ำแข็งเหมือนภาพมายา ก่อนที่เพียงพริบตาเดียวจะหายไปในร่างลู่เซิ่ง
พวกมันไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ หากเป็นเพียงจิตมารกับความคิดชั่วร้ายบางส่วนที่เคลื่อนไหวในโลกเท่านั้น หลังจากที่อาณาเขตสุญญตาของจิตใจที่บริสุทธิ์ถึงขีดสุดและไม่มีความคิดใดๆ ปรากฏขึ้น พวกมันก็จะถูกดึงเข้าไปด้านในตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง เพื่อถมทำลายโอสถลวงตานั้น
อ๊าก!
ซู่ๆๆๆ!
ลู่เซิ่งกำลังจะเคลื่อนไหว คาดไม่ถึงว่าสิ่งมีชีวิตรูปงูกึ่งโปร่งแสงที่เพิ่งมุดเข้าไปในตัวเขาจะกรีดร้องเสียงแหลม แล้วหนีออกมาจากร่างกายของเขา พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ร่างหลักของลู่เซิ่งซึ่งขดอยู่ในหัวใจยังไม่ทันเอื้อมมือไปจับมาลิ้มลองรสสักตัว ก็เห็นงูกลุ่มนี้หนีไป ก่อนจะหายไปในพริบตาเดียว
‘ให้ตายสิ…จะรู้ดีเกินไปแล้ว…ไหนบอกว่าไอ้พวกนี้มันเป็นแค่ความคิดชั่วร้ายกับจิตมาร ไม่มีสติปัญญาไม่ใช่หรือไง’ เขาเพิ่งจะยื่นมือออกมา เพิ่งตั้งท่าเสร็จเท่านั้น ยังไม่ได้ออกแรงเลยด้วยซ้ำ…
เขาเข้าใจแล้วเช่นกัน ร่างหลักของตนคือมารสวรรค์นอกเขตแดน นี่ไม่ใช่ความเข้าใจผิดจริงๆ และไม่ใช่พวกผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมเรียกกันส่งเดชด้วย ดูจากปฏิกิริยาของจิตมารกับความคิดชั่วร้ายที่เคลื่อนไหวไปมาเหล่านั้นก็ทราบว่า สถานะมารสวรรค์ของเขาอยู่ในระดับสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
‘ช่างเถอะ…ระดับสร้างรากฐานช่วงหลังถือว่าผ่านแล้ว แถมยังขยับร่างกายไม่ได้ด้วย ต่อจากนี้เป็นขั้นโอสถลวง ตา จากนั้นเป็นขั้นรวมจิต และสุดท้ายก็คือขั้นเติมเต็ม ถึงค่อยมีสิทธิ์เริ่มสร้างโอสถ ระดับหลังๆ เป็นการใช้วังวนเก้าสิบเก้ากลุ่มกดอัดปราณจริงแท้ความเย็นอันบริสุทธิ์เพื่อใส่พวกมันเข้าไปในโอสถลวงตา ทำให้โอสถลวงตาจับต้องได้ ก่อนจะผสมจิตวิญญาณเข้าไปด้านใน’
หลังจิตโอสถได้รับการเติมเต็มและสร้างรากฐานเรียบร้อย จึงค่อยมีสิทธิ์ทำให้โอสถลวงตาชนปะทะกับหยางบริสุทธิ์ เพื่อให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะสร้างเป็นโอสถภายในของจริงขึ้น’ ลู่เซิ่งผ่อนคลายลง การเลื่อนระดับในภายหลังไม่ได้มีอะไรยาก เพียงแค่ทำตามลำดับขั้นตอนเท่านั้น
หลังจากใช้พลังอาวรณ์อีกสองร้อยหน่วย เขาก็เข้าสู่ขั้นโอสถลวงตาอย่างง่ายดาย ขั้นรวมจิตต่อจากนี้เป็นแค่การผสมจิตวิญญาณเข้าไป เมื่อผสมจิตวิญญาณระดับอริยะเจ้าของเขาเข้าไปด้านใน การควบคุมโอสถลวงตาเม็ดเล็กๆ เม็ดเดียวจึงง่ายดายเหลือแสน ไม่กี่นาทีก็ใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ความจริงแล้วโอสถลวงตาที่เล็กขนาดนี้ไม่สามารถรองรับจิตวิญญาณทั้งหมดของเขาได้ ยังรองรับไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนก็ล้นออกมาจนไม่สามารถรับได้อีกแล้ว
พอเลื่อนถึงระดับสร้างรากฐานขั้นเติมเต็ม ร่างกายของลู่เซิ่งก็ขยับได้อีกครั้ง หลังจากกายเนื้อ จิตใจ และจิตวิญญาณรวมเป็นหนึ่งแล้ว ปราณจริงแท้ความเย็นทั้งหมดในตัวก็ควบคุมได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่จิตวิญญาณปรับความเร็วในการไหลเวียนของเลือดใหม่ ความลำบากที่การตอบสนองของเส้นเลือดกับเส้นประสาทเชื่องช้าลงเพราะอุณหภูมิลดต่ำเกินไปก็ได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย
ส่วนภัยมารที่ต้องเผชิญในขั้นใหญ่ๆ หลังจากที่งูเหล่านั้นตกใจเลื้อยหนีไปในตอนแรกแล้ว ต่อมาลู่เซิ่งได้เลื่อนระดับติดต่อกัน แต่กลับไม่มีภัยมารใดๆ ปรากฏขึ้นอีก ภายหลังค่อยปรากฏพวกภัยบัวแดง ภัยพายุ และภัยน้ำหนักหลายครั้ง แต่สำหรับจิตวิญญาณระดับอริยะเจ้าของลู่เซิ่งแล้ว พวกมันเป็นแค่ของเด็กเล่นเท่านั้น เพียงบิดสภาพกายเนื้อเล็กน้อย ก็หลอกลวงกลไกที่ถูกกำหนดไว้ของภัยเหล่านี้จนทำให้ฟ้าดินคิดว่าเขาตายไปเพราะภัยพิบัติได้อย่างง่ายดาย ข้ามผ่านภัยพิบัติได้อย่างสะดวก
ลู่เซิ่งใช้จิตวิญญาณได้อย่างคล่องมือ รู้สึกว่าฟ้าดินของที่นี่หลอกง่ายจริงๆ
หลังจากถึงขั้นเติมเต็มแล้ว ปราณจริงแท้ในตัวของเขาก็แทบไร้สิ้นสุดเหมือนกับมหาสมุทรและห้วงเหวลึก รอบๆ ร่างกายถึงขั้นปรากฏการยุบตัวและบิดเบี้ยว คล้ายกับว่าในอากาศรอบๆ พลังวิญญาณรวมทั้งสิ่งเจือปนมากมายนับไม่ถ้วนถูกดึงดูดมาปกคลุมผิวของเขา
แค่ครึ่งนาทีหลังเลื่อนระดับ บนผิวของลู่เซิ่งก็มีสิ่งเจือปนบางๆ คลุมอยู่หลายชนิด มีทั้งฝุ่นละออง เมล็ดแพร่พันธุ์ และแมลงที่ไม่รู้จักชื่อส่วนหนึ่ง
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหายุ่งยากแบบนี้ ลู่เซิ่งได้แบ่งปราณจริงแท้ออกมาให้ผลุบๆ โผล่ๆ และวนเวียนรอบร่างกาย โดยให้มันป้องกันสิ่งเจือปนแต่ละอย่างที่ถูกดึงดูดมา
‘สำเร็จแล้ว! สุดท้ายก็คือระดับสร้างโอสถ’ เขาค่อยๆ ลุกขึ้น ทำให้ก้อนน้ำแข็งรอบตัวแตกกราวแล้วกระจายไปบนพื้น
‘การสร้างโอสถไม่ยาก เพียงแค่หากจะใส่วัตถุดิบที่ดีกว่าเดิมลงไปในของขลังคู่ชีวิตเพื่อยกระดับอานุภาพของมันขึ้น จะต้องหาวัตถุดิบดีๆ ผสมเข้าไปในตอนสร้างโอสถนี่แหละ’
ลู่เซิ่งโบกมือ ไอความเย็นทั้งหมดในถ้ำพลันหุบตัว ก่อนจะถูกเขาดูดเข้ามาในร่างกาย วิมานถ้ำพลันอบอุ่นเหมือนเดิม มีสภาพเหมือนกับยามปกติในชั่วพริบตา
‘ยิ่งผสมวัตถุดิบดีๆ เท่าไหร่ ของขลังก็ยิ่งแกร่งเท่านั้น กระบวนการสร้างโอสถเป็นกระบวนการที่ใช้ยกระดับของขลังให้เป็นของวิเศษ ไหนดูหน่อยซิว่าเราจะใส่อะไรได้บ้าง…’ ลู่เซิ่งเกิดความสนใจ ยื่นมือไปจับก้อนโลหะสีเงินไว้ในมือ แล้วเดินออกจากวิมานถ้ำกักตนเพื่อมุ่งหน้าไปยังคลังสมบัติ
ค้นหาในคลังสมบัติพักหนึ่ง สิ่งที่น่าเสียดายคือเขาไม่เจอของดีๆ ที่มีค่าให้ใส่ลงไปในของขลัง
ประมุขถ้ำยุทธพฤกษาที่สูงส่งและมีเงินมีทองในสายตาคนธรรมดา กลับเป็นคนบ้านนอกคอกนาที่ยากจนข้นแค้นในสายตาของผู้บำเพ็ญช่วงสร้างโอสถ บางทีลูกศิษย์ระดับสร้างรากฐานของสำนักใหญ่ๆ ยังรวยกว่าเขาอีก
หาอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ลู่เซิ่งจึงกลับไปด้วยความผิดหวัง
‘ดูเหมือนได้แต่ทดลองตามความคิดก่อนหน้านี้แล้ว’ วัตถุดิบที่จะใส่ลงไปในของขลังจะต้องสอดคล้องกับคุณสมบัติของวิชาที่เขาฝึกฝนด้วย
กอปรกับหากต้องการแสดงความได้เปรียบของเขาในปัจจุบันที่มีปริมาณปราณจริงแท้ยิ่งใหญ่มหาศาล ก็จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมากด้วย จากเงื่อนไขทางวัตถุดิบเช่นนี้ วัตถุดิบความเย็นสองสามอย่างที่มีขนาดเท่ากำปั้นในคลังสมบัติจึงยังไม่พอยัดร่องฟันด้วยซ้ำ
‘ปริมาณปราณจริงแท้ของเราในวันนี้มีมากกว่าร้อยเท่าของมู่อวิ๋นในระดับสร้างรากฐานช่วงเติมเต็ม ถึงขั้นยังมากกว่านั้นอีก อานุภาพปราณจริงแท้ในหน่วยเท่ากันก็สูงกกว่าเขามาก คิดจะแสดงความได้เปรียบด้านปราณจริงแท้ของตัวเราอย่างเต็มที่ จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมากถึงขีดสุด
เพียงแต่…ปริมาณวัตถุดิบจำนวนมากขนาดนี้ ขอแค่ตรงกับเงื่อนไขคุณสมบัติสักเล็กน้อย ต่อให้เป็นเพียงแร่เหล็กชาด อย่าว่าแต่สถานะของประมุขถ้ำยุทธพฤกษาที่ไม่มีปัญญาหามาเลย เกรงว่าสำนักใหญ่ๆ ก็กระอักเหมือนกัน ดูเหมือนได้แต่ต้องเดินบนเส้นทางนั้นแล้ว…’
ลู่เซิ่งใคร่ครวญตลอดทางจนออกจากถ้ำยุทธพฤกษาโดยไม่รู้ตัว
ด้านนอกถ้ำหันเข้าหามหาสุมทร คลื่นน้ำทะเลสีฟ้าครามกระเพื่อมขึ้นลง แสงอาทิตย์งดงามสดใส ไร้เมฆหมื่นลี้ลมแรงอย่างยิ่ง
“ประมุขถ้ำ” เด็กเฝ้าประตูเห็นเขาออกจากการกักตน ก็รีบก้มหน้าทักทาย
“ถ้าหากเถี่ยฉุยกับอวิ๋นหวนมาหาข้า จงบอกว่าข้าออกไปเก็บรวบรวมวัตถุดิบ ถ้าหากมีเรื่องด่วนจริงๆ ให้ใช้ยันต์สั่งการแจ้งได้” ลู่เซิ่งกำชับอย่างเรียบง่ายโดยไม่สนใจเด็กน้อย จากนั้นก็สะบัดผ้าคลุมเบาๆ ก่อนจะกระโจนร่างขึ้น พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปจากหน้าผาสีดำ หายไปในน้ำทะเล
เด็กน้อยสองคนมองหน้ากัน ไม่ทราบว่าประมุขถ้ำออกไปทำอะไร หรือว่าจะเป็นเรื่องเผ่าหอยเมฆหมอกเมื่อก่อนหน้านี้
…
ใต้น้ำทะเลสีฟ้าอ่อน แสงอาทิตย์ส่องลอดลงมาจากผิวทะเล กลายเป็นลำแสงสีทอง
บนศีรษะลู่เซิ่งคือผิวทะเลสีทองระยิบระยับที่กระเพื่อมไหว ไอความเย็นสีฟ้าแผ่ตลบอบอวลทั่วร่าง เขาเดินไปยังส่วนลึกของก้นทะเลเหมือนเดินเล่นในสวน
คัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสานมีความสามารถควบคุมน้ำในระดับหนึ่ง ปราณจริงแท้ที่ฝึกออกมาสามารถบังคับน้ำได้ เขาควบคุมให้สายน้ำเบื้องหน้าแหวกออกอย่างต่อเนื่องด้วยการโคจรปราณจริงแท้ พร้อมกับดำลึกลงไป
เห็นกลุ่มปะการังงดงามหลากสีสันได้ทั่วเขตทะเลตื้น ยังมีปลาเงินตัวเล็กๆ หลายกลุ่มว่ายไปว่ายมา บางครั้งมีงูทะเลตัวใหญ่เลื้อยมา ยังไม่ทันเข้าใกล้ลู่เซิ่งในรัศมีร้อยหมี่ ก็หมุนตัวหลบหนีไปไกลแล้ว
ถึงอย่างไรปลาก็ไม่มีสมอง จึงไม่รู้จักความกลัว เลยกล้าวนเวียนรอบๆ ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งมุ่งหน้าไปตามทะเลน้ำตื้น เข้าใกล้เขตทะเลน้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ
เผ่าหอยเมฆหมอกยึดครองชั้นทรายก้นทะเลในระดับความลึกปานกลางที่อยู่ติดกับเขตทะเลน้ำตื้น พวกเขามีป่าปะการังผืนใหญ่ที่งดงามที่สุด อีกทั้งยังสร้างวังขนาดใหญ่งดงามเอาไว้
ลู่เซิ่งไม่คิดจะไปสร้างความตื่นตัวให้แก่เผ่าหอยเมฆหมอก หากแต่ดำลงไปยังสถานที่ที่อยู่ลึกกว่าเดิมต่อไป
เมื่อก่อนหน้านี้นักพรตมู่อวิ๋นอย่างมากสุดดำได้ประมาณสองพันหมี่ แต่เขานั้นแตกต่าง ไม่ว่าคุณสมบัติหรือปริมาณของปราณจริงแท้ เขาล้วนเหนือกว่ามู่อวิ๋น ดังนั้นลู่เซิ่งจึงคิดจะดำลงไปยังระดับความลึกที่ลึกที่สุดอย่างท้าทาย
ไม่นานเขาก็เจอร่องทะเลสีดำสนิทเส้นหนึ่ง จากนั้นก็ว่ายไปด้านล่างตรงๆ
ลู่เซิ่งดำลงเร็วมากด้วยการโคจรปราณจริงแท้ ไม่เกินสิบนาที จากระยะการสัมผัสทางจิตวิญญาณอย่างคร่าวๆ ของเขาต่อผิวทะเล ชายหนุ่มได้มาถึงระดับความลึกระดับหกพันหมี่โดยประมาณแล้ว
บุ๋งๆๆ
ฟองน้ำกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากร่างลู่เซิ่ง เวลานี้เกราะปราณจริงแท้แนบร่างที่เขาคงไว้ ได้รับแรงกดดันอันใหญ่หลวง
ดีที่ความเร็วในการสูญเสียพลังยังอยู่ในขอบเขตที่เขาควบคุมได้
ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ ทุกที่มีแต่สีดำสนิท มองไม่เห็นสิ่งใด แสงที่มาจากผิวทะเลเหนือศีรษะก็ไม่เหลือแล้วเช่นกัน
เขาสัมผัสได้ว่าน้ำของที่นี่มีอุณภูมิต่ำมาก แม้จะไม่ถึงกับจับตัวเป็นน้ำแข็ง แต่ความเย็นเสียดแทงกระดูกก็ถึงขั้นทะลุชั้นป้องกันของปราณจริงแท้เข้ามา
‘ถึงจะดำลงต่อไม่ได้ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นแล้ว ที่นี่ถือว่าเพียงพอแล้วเหมือนกัน’ เขาเคลื่อนปราณจริงแท้เพื่อให้หยุดนิ่งอยู่กับที่
รอบทิศเป็นความล้ำลึกเงียบสงัดสีดำสนิท
ลู่เซิ่งค่อยๆ กางสองแขนออก วังวนปราณจริงแท้เก้าสิบเก้ากลุ่มทั่วตัวรวมถึงโอสถลวงตาปล่อยปราณจริงแท้สีฟ้าจำนวนมหาศาลออกมาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
ตัวเขาเหมือนกับต้นกำเนิดแสงที่ค่อยๆ สว่างขึ้นในน้ำทะเลทีละนิดๆ
“โลหิตแรกกำเนิด สรรพสิ่งเงียบสงัด…”
ในความมืดมิด สองตาของเขาที่ตอนแรกเป็นสีดำสนิทค่อยๆ เรืองแสงสีฟ้าที่สุกสกาวและเจิดจ้าขึ้น
“ย้าก!”
ลู่เซิ่งตะโกนเสียงดังกึกก้อง
ตูม!
ชั่วขณะนั้นเส้นสีฟ้านับไม่ถ้วนทะลักออกไปรอบๆ อย่างมืดฟ้ามัวดินโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง ท่ามกลางเส้นสายจำนวนมาก จานวังวนขนาดต่างๆ จำนวนเก้าสิบเก้ากลุ่มเป็นรูปเป็นร่างด้วยความเร็วสูงแล้วจับตัวกันเป็นชั้นน้ำแข็งสีฟ้าอ่อน
จานชั้นน้ำแข็งในสภาพวังวนทั้งหมดวนเวียนรอบตัวเขาพร้อมกับกลายเป็นสัตว์น้ำแข็งยักษ์ดุร้าย
ทอดตามองไกล สัตว์น้ำแข็งยักษ์นั้นเหมือนกับงูยักษ์สีฟ้าขนาดมหึมาที่ขดม้วนอยู่
ซ่า!
งูยักษ์อ้าปาก น้ำทะเลนับไม่ถ้วนถูกกลืนกินเข้าไป
……………………………………….