ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 474 สถานการณ์ชุลมุน (2)
บทที่ 474 สถานการณ์ชุลมุน (2)
ขนาดลู่เซิ่งประเมินความเร็วนี้ด้วยตัวเอง ก็ยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน สิ่งที่เขาใช้คือเคล็ดวิชาที่หลอมสร้างภายในก้อนโลหะให้กลายเป็นมิติเก็บของ เพียงแต่ปริมาณโดยรวมของปราณโอสถที่ใช้ตอนหลอมสร้างเหนือกว่าผู้บำเพ็ญทั่วไปเท่านั้น พอใส่ปราณโอสถของตนเข้าไปเพิ่ม ก็เลยกลายเป็นวิธีหลอมสร้างของวิเศษที่ง่ายดายที่สุด
ลู่เซิ่งตั้งสมาธิมองก้อนโลหะ รู้สึกว่าในก้อนทรงกลมนั้นมีแรงกดดันสูงซึ่งทั้งน่ากลัวและหนักอึ้งถึงขีดสุดกระเพื่อมอยู่ ก้อนทรงกลมมีขนาดเท่าฝ่ามือแท้ๆ ทว่าเวลานี้กลับให้ความรู้สึกหลอนเหมือนมันมีขนาดเท่าอ่างอาบน้ำ
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดลู่เซิ่งก็รู้สึกได้ว่าปราณโอสถที่โอสถทองคำปล่อยออกมากับปราณโอสถที่ก้อนโลหะใช้งานค่อยๆ สมดุลกัน เขาจึงค่อยใช้เคล็ดวิชาเก็บคืน
ความเร็วในการดูดน้ำทะเลของก้อนโลหะลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หยุดลงช้าๆ สุดท้ายก็กลายเป็นก้อนสีทองแกมน้ำเงินธรรมดาๆ ลอยอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่ง
เพียงแต่ว่าถ้าหากมีคนมองผิวของทรงกลมก้อนนี้อย่างละเอียด จะสัมผัสได้ถึงความบิดเบี้ยวสุดบรรยายบนผิวของก้อนทรงกลม
‘…อย่างน้อยก็ดูดซับน้ำทะเลได้มากกว่าหนึ่งล้านตัน…’ สายตาที่ลู่เซิ่งมองก้อนโลหะในเวลานี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
‘อานุภาพของวิชาบนโลกใบนี้ไม่ต่างจากต้าอินเท่าไหร่…ดูเหมือนจะลองขุดค้นจากที่นี่ได้ ไม่แน่ว่าผลพลอยได้ในครั้งนี้อาจจะมากกว่าครั้งก่อน’
ลู่เซิ่งยื่นมือไปจับก้อนโลหะ สัมผัสได้ว่าผิวมีความเย็นเยียบเรียบเนียน ทั้งยังปล่อยกระแสน้ำอ่อนๆ ออกมากั้นผิวรอบๆ ก้อนทรงกลมด้วย
‘ถ้าปล่อยน้ำทะเลล้านตันที่ดูดซับออกมาทั้งหมด จะกลายเป็นอุทกภัยขนาดย่อมๆ ที่กลืนเมืองได้ในพริบตา แม้อาจจะมีพลังทำลายล้างไม่พอสำหรับผู้บำเพ็ญทั่วไป กลับใช้เจ้าก้อนก้อนนี้ฟาดใส่คนอื่นได้’ ลู่เซิ่งเก็บก้อนโลหะเข้าไปในแขนเสื้อและกวาดตามองรอบๆ
ด้านในทะเลลึกมีปลาและปลาหมึกจำนวนมหาศาลที่ถูกเขาล่อมา กำลังจับจ้องเขาตาเป็นมัน
สัมผัสได้ว่าปลาหมึกและปลาทะเลเหล่านี้มีปราณปีศาจบนตัว แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานโง่เง่า
แม้ดูเหมือนตัวเลขจะเยอะมาก แต่ความจริงแล้วน้ำทะเลที่กักเก็บไว้ในก้อนโลหะบนร่างของลู่เซิ่งในเวลานี้เทียบเท่าได้กับบึงน้ำขนาดเล็กที่เคลื่อนที่ได้ ต่อให้จะปล่อยออกมา น้ำทะเลเหล่านี้ก็เป็นแค่น้ำทะเล ทว่าหากรวมไว้บนก้อนทรงกลมเล็กๆ แบบนี้ แล้วใช้กระแทกใส่คน…อานุภาพก็จะไม่เหมือนเดิมแล้ว
‘นอกจากนี้ อาจจะลองทำการบีบอัดทางกายภาพกับน้ำทะเลที่ดูดซับไว้ในโอสถทองคำได้ด้วย’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ต่อให้เป็นระดับเทคโนโลยีบนโลกเดิม ก็ยังไม่สามารถบีบอัดน้ำให้เป็นสภาพอื่นๆ ได้ เขาคิดจะให้ร่างหลักที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดบีบอัดน้ำทะเลดู ปัจจุบันร่างหลักค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับแบบแผนของที่นี่ได้แล้วส่วนหนึ่ง หลังจากปรับโครงสร้างของแก่นหยางแล้ว ร่างหลักจะสามารถใช้วิชาไร้ขอบเขตลงมือในพื้นที่เล็กๆ ได้ เพียงแต่ต่อให้จะใช้พลังแค่หนึ่งส่วน ก็อาจจะกระตุ้นโลกให้กีดกันเขาได้เช่นกัน
‘ตอนนี้เราขาดเป้าหมายในการเปรียบเทียบ เลยยังวัดผลลัพธ์จากอานุภาพส่วนหนึ่งของร่างหลักบนโลกใบนี้ไม่ได้ ดีที่พลังฝึกปรือของกายเนื้อในตอนนี้ปกป้องตัวเองได้ชั่วคราวแล้ว นอกจากนั้นก็ยังเข้าใจระดับสร้างโอสถช่วงกลางได้ไม่ดีพอ แถมยังไม่ได้เห็นระดับต่อจากนั้นอีกต่างหาก แต่ก็ไม่น่าจะอ่อนแอกว่าระดับสร้างโอสถช่วงหลังเท่าไหร่’
ลอยอยู่กลางน้ำทะเล ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับไปพบนักพรตเฒ่าจากวิถีธรรมะผู้นั้นก่อน แม้ว่าจะยังเลื่อนระดับได้ต่อ แต่อย่างไรก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย เกิดว่าตาเฒ่าผู้นั้นลงมือกับวิมานถ้ำด้วยความโกรธเข้าเพราะคิดว่าตนเองล่าถอยหนีหาย เช่นนั้นก็ย่ำแย่แล้ว
เขายังไม่คิดจะละทิ้งสถานะประมุขถ้ำยุทธพฤกษาโดยสิ้นเชิง
นึกถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็ลอยขึ้นบนผิวทะเล แล้วกลับไปยังเส้นทางขามา
…
เหนือน่านน้ำรกกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากถ้ำยุทธพฤกาหลายพันลี้ ณ เวลานี้
เมฆดำก้อนหนึ่งลอยอยู่เหนือผิวทะเล ห่างจากคลื่นทะเลด้านล่างไม่ถึงยี่สิบหมี่ บดบังพื้นที่ขนาดใหญ่ ผิวทะเลเกือบสามสิบกว่าหมี่ถูกมันบดบังแสงอาทิตย์เอาไว้
นักพรตสองสามคนที่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนชั้นเมฆ เหมือนกับกำลังรอคอยอะไรเงียบๆ
กลางเมฆดำมีนักพรตร่างล่ำตัวดำสนิท ผิวหนังเหมือนกับถ่านดำคนหนึ่งนั่งอยู่
“พระอาจารย์ไป๋ซา คนมาครบแล้วหรือยัง” นักพรตผิวดำคนนี้ส่งเสียงถาม
นักพรตเผ่าปีศาจตนหนึ่งที่มีศีรษะเป็นปลาฉลามร่างเป็นคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้ากล่าวเสียงหยาบกระด้างว่า “ส่วนใหญ่มาถึงแล้ว คนที่ควรแจ้งก็ได้แจ้งไปแล้ว คนที่ยินยอมมาในสภาพการณ์แบบนี้ ล้วนเป็นคนที่สำนึกในบุญคุณของจอมสัจจะเก้ามังกร และยินยอมละทิ้งความปลอดภัยของตัวเองทั้งสิ้น”
“กล่าวได้ไม่เลว” นักพรตผิวดำพยักหน้า “น่าเสียดายที่…เซียนพรตเยวี่ยเย่าแห่งทะเลทักษิณยังมาไม่ถึง นางออกทะเลไปไม่กลับเผ่ามาห้าปีแล้ว เพียงแต่จะส่งข่าวกลับมาเป็นบางครั้งเท่านั้น ถ้าหากว่าเซียนพรตเยวี่ยเย่าอยู่นี่ เมื่อมีคันฉ่องหยุดสมุทรที่นางใช้เวลาสร้างนับพันปีอยู่ด้วย การปฏิบัติการณ์ครั้งนี้คงจะราบรื่นขึ้นมาก”
“ผู้เฒ่าดำวางใจได้ แม้ครั้งนี้จะไม่มีคันฉ่องหยุดสมุทร แต่ก็มีธงหมื่นพิษซึ่งเป็นของวิเศษคู่ชีวิตของเซียนพรตหวังเสอ คนมีแผนการเล่นงานคนไร้แผนการ จะต้องสังหารศิษย์หลักของวิถีธรรมะ และช่วงชิงกระบี่ธารปฐพีได้อย่างคาดไม่ถึงแน่” นักพรตต่ำเตี้ยที่มีศีรษะเป็นปลาตัวเป็นคนหัวเราะเสียงแหลมพร้อมกับกล่าวอย่างเคารพ
เซียนพรตหวังเสอที่ได้รับความเคารพมีศีรษะเป็นงูสีดำอมม่วงขนาดใหญ่ ดวงตาฉายแววได้ใจขณะแลบลิ้น “กำลังจะบอกให้สหายดำรู้พอดีว่า ธงวิเศษของข้านี้เพิ่งใส่ของล้ำค่าชิ้นหนึ่งเข้าไปเมื่อสองสามปีก่อน อานุภาพเพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวง แม้จะเทียบกับคันฉ่องหยุดสมุทรไม่ได้ แต่ต้องไม่สร้างความผิดหวังให้แก่ทุกท่านแน่”
“เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับสหายหวังแล้ว” ผู้เฒ่าดำประสานมือให้แก่คนผู้นี้
“กล่าวได้ดีๆ”
“ศิษย์วิถีธรรมมะสองคนนั้นครอบครองสมบัติอยู่ จะต้องมียอดคนคอยดูแลแน่ พวกเราได้รับข่าวมาแล้วว่า ผู้ที่คอยติดตามอยู่ข้างกายพวกเขาก็คือนักพรตเฒ่าเตี๋ยซาจื่อแห่งขุนเขาที่เจ็ดของวิถีธรรมะ
ตาเฒ่าผู้นั้นเชี่ยวชาญวิชาพายุทมิฬสามวิญญาณ เมื่อใช้ร่วมกับดาบวายุพิโรธซึ่งเป็นของวิเศษคู่ชีวิตของมัน จะมีอานุภาพน่าตกตะลึงยิ่ง ถึงเวลาข้าจะใช้ห่วงเขย่าวิญญาณหยุดคนผู้นี้ไว้ ส่วนพวกท่านก็ลงมืออย่างสุดกำลัง กำจัดศิษย์หลักสองคนนั้นให้เร็วที่สุด แล้วนำเอาสมบัติไป” ผู้เฒ่าดำวางแผนอย่างเรียบง่าย
“วางใจเถอะผู้เฒ่าดำ พวกเราได้รับบุญคุณจากจอมสัจจะ ครั้งนี้ถึงเวลาละเลงเลือดแล้ว!”
“มิผิด เจ้าพวกชั่วแห่งวิถีธรรมมะสังหารเผ่าปีศาจเช่นพวกเราอย่างเหิมเกริบ ครั้งนี้จะต้องมอบความยุติธรรมให้แก่สหายร่วมเส้นทางส่วนใหญ่ได้!”
“เป็นอย่างที่ว่า!”
“หลังฆ่าคนค่อยหนีออกไปโพ้นทะเล จะสนใจธรรมะอธรรมมารดามันไปทำไม!”
เผ่าปีศาจพากันสบถด่า
ผู้เฒ่าดำ ไป๋ซ่า และหวังเสอสบตากัน ต่างสัมผัสได้ว่าต่างฝ่ายต่างมีแผนการในใจ พวกเขาสามคนล้วนเป็นเผ่าปีศาจระดับสร้างโอสถ สามารถฝึกถึงระดับนี้ได้ ไม่มีใครเป็นชนชั้นธรรมดา
“ลงมือในอีกสามวันให้หลัง ป้องกันไม่ให้ค่ำคืนยาวนานฝันมากมาย” ผู้เฒ่าดำกำหนดเวลา
“ว่ากันว่าศิษย์สองคนนั้นกำลังอยู่ในการดูแลของถ้ำยุทธพฤกษา พวกเราต้องไปติดต่อประมุขถ้ำยุทธพฤกษาหรือไม่”
“ติดต่อกับผายลม ประมุขถ้ำยุทธพฤกษาเป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับเผ่าปีศาจ! มันไม่ลงมือก็แล้วไป แต่ถ้ากล้าสอดมือล่ะก็ แค่ระดับสร้างโอสถขั้นที่หนึ่งคนเดียว อย่าว่าแต่เซียนพรตสามคนลงมือพร้อมกันเลย ต่อให้ข้านายท่านหวงไปคนเดียว ก็จามศีรษะสุนัขของพวกมันให้แบะได้แล้ว!”
เผ่าปีศาจพูดคุยถึงรายละเอียดของการปฏิบัติการณ์ในครั้งนี้อย่างเหิมเกริมไร้ความเกรงกลัว
…
‘ตามกฎเกณฑ์ของเคล็ดวิชาบนโลกใบนี้ ยิ่งใช้เวลาหลอมสร้างนานเท่าไหร่ ของวิเศษก็ยิ่งบริสุทธิ์สมบูรณ์เท่านั้น พลังอาคมยิ่งมาก อานุภาพก็ยิ่งแข็งแกร่ง ผู้บำเพ็ญสามารถใส่พลังอาคมที่มีไม่หมดไม่สิ้นเข้าไปในวัตถุดิบที่สามารถรองรับพลังอาคมได้เป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างของวิเศษที่มีอานุภาพแข็งแกร่งได้’ ลู่เซิ่งนึกถึงหลักการของของวิเศษในโลกใบนี้ขณะกำลังว่ายน้ำ
‘หมายความว่าของวิเศษที่แข็งแกร่งต้องการวัตถุดิบที่ดีพอเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยเติมพลังอาคมที่ต่อเนื่องไม่ขาดสายกับพลังงานทางธรรมชาติแต่ละประเภทลงไป สุดท้ายจึงเป็นการหลอมสร้างที่ใช้เวลาแรมเดือนแรมปี’
‘ถ้าหากว่าด้านในของวิเศษมีพลังงานทางธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้อยู่มาก ก็แสดงว่าเป้าหมายหลักในการหลอมสร้างคือการทำให้พลังงานทางธรรมชาติเหล่านี้ปรับตัวเข้าหาพลังอาคมของตัวเองเพื่อรับการควบคุม จุดเด่นของวิธีการนี้คือมีอานุภาพมาก เป็นรูปเป็นร่างเร็ว แต่ข้อเสียก็คือยากจะเติมเต็มเพื่อให้พัฒนาไปอีกขั้น’
‘แต่ถ้าหากในของวิเศษมีพลังอาคมของตนอยู่มาก ก็จะใช้ได้อย่างใจนึก เพียงแต่อานุภาพจะไม่ได้สั่งสมเร็วเหมือนกับพลังงานทางธรรมชาติ ได้แต่เติมพลังเป็นเดือนเป็นปีเท่านั้น แต่ว่าวิธีการนี้เหนือกว่าตรงที่ความบริสุทธิ์ กับการควบคุมได้ดั่งใจนึก สามารถยกระดับได้อย่างง่ายดาย ส่วนข้อเสียคือต้องใช้เวลาสั่งสมที่ยาวนานมากๆ’
ลู่เซิ่งจัดระเบียบและทำความเข้าใจความรู้เกี่ยวกับของวิเศษบนโลกใบนี้ผ่านเคล็ดวิชาสองเล่ม
‘อย่างนั้นของวิเศษของเราก็เรียกว่าไข่มุกกลืนสมุทรก็แล้วกัน คิดจะยกระดับอานุภาพของมัน ควรจะใช้วิธีการสุดท้าย ยังไงเราก็มีพลังอาวรณ์ สามารถยกระดับและเพิ่มปริมาณปราณโอสถได้อย่างรวดเร็ว แบบนี้จะยกระดับอานุภาพได้ในระยะเวลาสั้นๆ แถมยังไม่ส่งผลต่อการยกระดับในภายหลังด้วย’
ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า วัตถุดิบของไข่มุกกลืนสมุทรใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว และวัตถุดิบก็เป็นตัวจำกัดความเป็นไปได้ที่ของวิเศษชิ้นนี้จะยกระดับอานุภาพได้ต่อ
เขาเลยจำเป็นต้องใส่วัตถุดิบที่ดีกว่าเดิมเข้าไป เพื่อยกระดับคุณสมบัติกับความแข็งแกร่งของไข่มุกกลืนสมุทร
ไข่มุกสายัณห์นิลที่เขาขอมาจากฟู่จิ้นแห่งเผ่าหอยเมฆหมอกเป็นสิ่งที่เตรียมไว้เพื่อเวลานี้โดยเฉพาะ
ไข่มุกสายัณห์นิลมีคุณสมบัติเย็นสุดขั้ว ทั้งยังมีเนื้อแข็ง เกิดขึ้นจากการดูดซับปราณความเย็นในท้องของหอยแมลงภู่ยักษ์ที่ตายแล้ว มีแต่กายเนื้อของหอยแมลงภู่ยักษ์ในระดับสร้างรากฐานเท่านั้นที่จะให้กำเนิดของสิ่งนี้ได้หลังจากตาย มิหนำซ้ำครั้งหนึ่งจะให้กำเนิดได้สิบเม็ด และทุกๆ การให้กำเนิดจะใช้เวลาหนึ่งปี
ดังนั้นมันจึงล้ำค่า
พึงทราบว่าต่อให้เป็นเผ่าหอยเมฆหมอก หอยในระดับสร้างรากฐานก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ปีศาจหอยขึ้นชื่อเรื่องอายุขัยที่ยืนยาว การรอให้พวกเขาตายตามธรรมชาติเป็นเรื่องเพ้อเจ้อโดยแท้
ดังนั้นไข่มุกสายัณห์นิลชนิดนี้จึงได้มาจากซากศพของปีศาจหอย
ของวิเศษชนิดนี้ล้ำค่ายิ่งกว่านำโลหะและวัตถุดิบที่เขาใช้สร้างไข่มุกกลืนสมุทรเมื่อก่อนหน้ามารวมกันเสียอีก
‘การกลับไปในครั้งนี้จะต้องหลอมรวมไข่มุกสายัณห์นิลเข้าไปด้วย น่าจะช่วยยกระดับคุณสมบัติของไข่มุกกลืนสมุทรได้อย่างใหญ่หลวง’ ลู่เซิ่งกำหนดแผน ขอแค่มีวัตถุดิบดีพอ เขาจะสร้างของวิเศษสุดแกร่งที่มีอานุภาพน่ากลัวได้
ไม่นานก็เห็นหน้าผาสีดำของถ้ำยุทธพฤกษาตั้งอยู่ผ่านน้ำทะเล
ลู่เซิ่งใช้ความคิด น้ำทะเลสายหนึ่งทะลักออกมาจากภายในไข่มุกกลืนทะเล แรงปฏิกิริยาอันมหาศาลผลักเขาพุ่งออกจากผิวทะเล ลอยข้ามผ่านระยะห่างหลายร้อยหมี่อย่างแผ่วเบา
ตึง
เขาทิ้งตัวลงยืนหน้าถ้ำยุทธพฤกษาพอดี
ตอนแรกปีศาจที่เฝ้าประตูถ้ำอยู่ตกใจเพราะความที่มีเสียงดังครึกโครม แต่พอเห็นเขาก็พลันโล่งใจ ปีศาจที่มีศีรษะเป็นหมาป่าตัวเป็นคนสองตนเดินเข้ามาคุกเข่าทักทาย
“รายงานประมุขถ้ำ เมื่อครู่มีผู้เฒ่าผอมแห้งหนวดขาวเข้าไปคนหนึ่ง บอกกว่ามีเรื่องต้องการปรึกษากับท่าน!”
“ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าเฝ้าต่อไปเถอะ” ลู่เซิ่งพยักหน้าพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปในถ้ำ ทะลุทางเดินในถ้ำ ก่อนจะเข้าไปในโถงรับแขก ไม่นานเขาก็เห็นเตี๋ยซาจื่อนักพรตเฒ่าหนวดขาวที่กำลังนั่งดื่มชาอย่างสบายอารมณ์อยู่บนที่นั่ง
“ท่านนักพรตเตี๋ยซาจื่อ ไม่เจอกันนาน ท่านยังคงแข็งแรงเหมือนเดิม” ลู่เซิ่งสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยขณะกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เรื่องราวในอดีต บอกไม่ได้ว่าถูกหรือผิด ปัจจุบันมีโอกาสดีๆ แบบนี้ให้ท่านล้างสถานะกลายเป็นแม่ทัพวิญญาณฝ่ายนอกคนหนึ่งของวิถีธรรมะแล้ว นี่ล้วนไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับท่านหรือข้า” เตี่ยซาจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่ข้ามาในครั้งนี้ สหายร่วมเส้นทางควรจะรู้แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร”
……………………………………….