ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 476 ความขัดแย้ง (2)
บทที่ 476 ความขัดแย้ง (2)
แต่ว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ากระบี่ในตอนนี้กลับเป็นลู่เซิ่ง ไม่ใช่มู่อวิ๋น
กระบี่เล่มนี้เป็นตัวแทนวิถีธรรมะซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะในเวลานี้ เป็นหนึ่งในสามกระบี่เทวะท่ามกลางของวิเศษที่แข็งแกร่งที่สุด มีอานุภาพเหลือคณนา ถนัดการค้นหาช่องโหว่ในจิตใจคนแล้วมุดเข้าไป ลี้ลับน่าเกรงขาม
ตู้กวงชื่อเร่งจิตกระบี่และปราณกระบี่สุดกำลัง พร้อมกับรอให้สีหน้าลู่เซิ่งเปลี่ยนแปลง ถูกกระบี่เทวะสะกด เขาจะได้โจมตีสำเร็จ
แต่นึกไม่ถึงรออยู่เกือบๆ สิบอึดใจ นักพรตมู่อวิ๋นที่อยู่ตรงหน้ายังคงมีสีหน้าเฉยเมย ทั้งยังมองตนเหมือนกับมองคนโง่ไม่มีผิด
ตู้กวงชื่อใจเต้นระทึก สุดท้ายตัดสินใจเด็ดขาด กระตุ้นกระบี่เทวะฟันไปด้านหน้า
ตูม!
ชั่วพริบตานั้นประกายกระบี่ระเบิดกลายเป็นเส้นสายสีทองหลายร้อยสายพุ่งเข้าใส่ประมุขถ้ำยุทธพฤกษาที่อยู่ตรงหน้าในลักษณะรูปพัด มีอานุภาพเหี้ยมหาญสุดเปรียบปานดุจดั่งกระแสปราณกระบี่
“สังหาร!” ตู้กวงชื่อส่งเสียงตะโกน ความเร็วกับอานุภาพของกระบี่เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว ความสามารถถึงกับเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนหลังจากกระบวนท่าหลุดออกจากมือไปแล้ว
ปราณกระบี่ที่เป็นแสงสีทองทั่วท้องฟ้าแทบจะส่องสว่างอาณาเขตหลายร้อยหมี่รอบๆ ถ้ำยุทธพฤกษาเป็นสีทอง
เหล่าปีศาจน้อยบนพื้นที่ถูกแสงทองส่องใส่ต่างร้องโอดโอย ควันดำหลายสายผุดขึ้นบนร่าง
เวลานี้เส้นสายกระบี่สีทองอยู่ห่างจากลู่เซิ่งไม่เกินสองสามหมี่ ขณะกำลังจะกระแทกใส่ร่างเขานั้นเอง
ครืน!
ในเวลานี้เอง เกิดเสียงดังกึกก้อง แสงสีน้ำเงินอันน่าสะพรึงชนิดมืดฟ้ามัวดินม้วนใส่ทุกสิ่ง จากนั้นก็หายไปในทันที
หวึ่ง
กระบี่ธารปฐพีที่มืดมนไร้แสงหล่นลงพื้นไม่ขยับเขยื้อน ตู้กวงชื่อล้มนั่งลงกับพื้น สองตาตะลึงงัน ทางเหยาเหลียนเซล้มลงบนพื้นก่อนจะสลบไสลไป
ลู่เซิ่งค่อยๆ ชักมือกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“จับคนเข้าไป ข้าจะจัดการที่เหลือเอง” เขาสั่ง
รอบๆ เงียบสงัด
เหล่าปีศาจน้อยตกตะลึง ปีศาจหนูทั้งสองตนดวงตาฉายแววลิงโลด ทั้งยังมีอารมณ์ต่างๆ เช่น สั่นสะท้าน ตกใจ ยำเกรง นับถือปะปนอยู่
คนที่สั่นสะท้านที่สุดกลับไม่ใช่พวกเขา หากแต่เป็นผู้บำเพ็ญจากวิถีธรรมะสองคนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ
ผู้บำเพ็ญทั้งสองตกตะลึงโดยสมบูรณ์ ตอนที่ลู่เซิ่งสั่งให้จับตัวคนหลังลงมือ พวกเขายังไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ
นักพรตมู่อวิ๋นประมุขถ้ำยุทธพฤกษาที่ให้ความร่วมมือดีมาโดยตลอด ตอนนี้กลับขัดคำสั่ง ระเบิดการโจมตีทำร้ายตู้กวางชื่อจนบาดเจ็บสาหัส กระบี่ธารปฐพีหล่นลงพื้น เหยาเหลียนสลบไสล นี่ทำให้ทั้งสองคนตอบสนองไม่ทัน
แม้ปราณโอสถสีน้ำเงินที่ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งกลุ่มนั้นจะน่าตกตะลึง แต่ก็ยังเทียบกับความกระสับกระส่ายและเพลิงโทสะที่พวยพุ่งอยู่ในใจพวกเขาไม่ได้
เวลานี้ปีศาจหนูทั้งสองตนที่ลุกขึ้นได้แล้วรีบเข้ามาจับตัวพวกตู้กวงชื่อ หาเชือกบนตัวมามัดทั้งสองไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะจับตัวส่งเข้าไปในถ้ำยุทธพฤกษา
ก่อนหน้านี้ทุกคนเห็นแต่สีน้ำเงิน พอกะพริบตาอีกครั้ง แสงสีน้ำเงินก็หายไปแล้ว แสงสีทองหายไปด้วยเช่นกัน บนพื้นเหลือแต่กระบี่ธารปฐพีที่โดนโจมตีแตกพ่าย รวมถึงตู้กวงชื่อและเหยาเหลียนที่ล้มลงบนพื้น
“มู่อวิ๋น! ไสหัวออกมา!” ทันใดนั้นบนท้องฟ้ามีเสียงตะโกนปานฟ้าร้องดังมา
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองกลางท้องฟ้า เห็นเงาคนสวมชุดคลุมสีขาวสองสายลอยอยู่ คนหนึ่งก็คือเตี๋ยซาจื่อที่ได้พบก่อนหน้านี้ อีกคนคือหญิงชราหลังค่อมที่ไม่เคยเจอมาก่อน
คนที่ส่งเสียงตะโกนก็คือหญิงชรา
ลู่เซิ่งไม่รีบร้อน รอให้ปีศาจหนูพาคนเข้าไปในถ้ำก่อน ตนจึงค่อยก้าวเท้าไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง เมฆสีขาวระเหยขึ้นมาใต้เท้า ก่อนจะรองรับเขาทะยานขึ้นไป พริบตาเดียวก็บินไปอยู่เหนือถ้ำยุทธพฤกษาแล้ว
“แค่ผู้บำเพ็ญนอกรีตพเนจรคนเดียว เหตุใดเจ้าจึงกล้า! เหตุใดจึงกล้า!?” หญิงชราผู้นั้นโกรธจนตัวสั่นพลางชี้ลู่เซิ่ง กล่าวอะไรไม่ออกอยู่ชั่วขณะ
เตี๋ยซาจื่อที่อยู่ด้านข้างแสดงสีหน้าอึมครึม จ้องมองลู่เซิ่งแต่ไม่รู้ควรพูดอะไรดี เมื่อครู่เขามองเห็นอย่างชัดเจนว่า ลู่เซิ่งอาศัยพลังฝึกปรือสายนอกรีตที่ยิ่งใหญ่ล้ำลึกของตนเอง ใช้ปราณโอสถนับไม่ถ้วนกลบกลืนปราณกระบี่ทั้งหมดของกระบี่ธารปฐพีซึ่งเป็นกระบี่เทวะ
หรือก็คือการใช้พลังกดดันคน ที่คนทั่วไปเรียกกัน
เดิมทีตู้ชื่อกวงไม่ใช่คู่มือของมู่อวิ๋นอยู่แล้ว ถึงอย่างไรผู้เยาว์ในระดับสร้างรากฐานช่วงกลางคนหนึ่งคิดจะสู้กับระดับสร้างโอสถ ต่อให้มียอดศัสตราอยู่ในมือ ก็เป็นการรนหาที่ตายอยู่ดี
ดังนั้นคนชราอย่างพวกเขาจึงพยายามวางโครงเรื่อง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่า…
“ท่านรู้หรือไม่ว่า วันนี้ท่านลงมือจนสาแก่ใจ แต่วันหน้า อีกหลายร้อยปีในอนาคต ท่านอาจจะถูกจองจำได้รับความทรมานอยู่ในคุกใต้ดินแห่งความชั่วรายและความชอบธรรม” เตี๋ยซาจื่อส่ายหน้าอย่างจนปัญญาและกล่าวอย่างเสียดาย
“พูดกับมารร้ายเช่นนี้ไปทำไม ให้ข้าทำลายพลังฝึกปรือของมันก่อนค่อยว่ากัน!” หญิงชราผู้นั้นสะบัดฝ่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ห่วงเงินวงหนึ่งลอยออกมา
“ศิษย์พี่อย่ารีบร้อน ตอนแรกนักพรตมู่อวิ๋นตกลงกับข้าดีแล้วว่าจะต้องให้ความร่วมมือแน่นอน ปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลง ในนี้ต้องมีสาเหตุแน่ รอข้าถามให้ชัดเจนค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย” เตี๋ยซาจื่อจนใจเช่นกัน ถ้าหากลงโทษอีกฝ่ายโดยไม่ถามสาเหตุ ความจริงเขาที่เป็นคนประสานเรื่องนี้จะต้องติดร่างแหไปด้วย
“มีอะไรต้องคุยกับมารร้ายตนนี้อีก มันใช้มือข้างไหนทำร้ายศิษย์หลานตู้ ตัดทิ้งก่อนค่อยว่ากัน!” หญิงชราโมโหเดือดดาล เข้าไปคิดจะลงมือ
“ศิษย์พี่! ใจเย็นๆ ก่อนเถอะ เรื่องนี้ไม่แน่ว่ามู่อวิ๋นจะมีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราเป็นคนของฝ่ายธรรมะ หากแสดงความเมตตาได้ก็ควรเมตตา ไม่สมควรฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ถ้าลงมือทำร้ายผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล วันหน้าหากเล่าลือกันไป จะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของวิถีธรรมะนะ” เตี๋ยซาจื่อเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง
“เตี๋ยซาจื่อ! วันนี้เจ้าจะเป็นศัตรูกับข้าใช่หรือไม่” หญิงชราโมโห เลื่อนสายตามาบนร่างของเตี๋ยซาจื่อ
“ศิษย์พี่ข้า…”
“เจ้ายิ่งขวาง ข้ายิ่งต้องการกำจัดมารร้ายตนนี้ให้ได้ ข้าอยากเห็นเหมือนกันว่าผู้อาวุโสที่เพิ่งรับตำแหน่งเจ็ดขุนเขาอย่างเจ้าจะเป็นศัตรูกับข้าจริงๆ หรือไม่!” หญิงชราชี้จมูกเตี๋ยซาจื่อพร้อมกับด่าทอ
“ศิษย์พี่เข้าใจผิดแล้ว…” เตี๋ยซาจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มจนใจ “ข้าเพียงแค่คิดจะ…”
“หลีกไป!”
“ศิษย์พี่…”
“หลีกไป!”
“ศิษย์พี่ท่านฟังข้าพูดก่อน!”
“ข้าบอกให้เจ้าหลีกไป…”
ฟิ้ว!
ทั้งสองคนตกตะลึงพร้อมกันอยู่ชั่วอึดใจ
เตี๋ยซาจื่อค่อยๆ ก้มหน้าลงมองทรวงอกของหญิงชรา ตรงนั้นไม่ทราบว่ามีรูเลือดสีแดงก่ำเพิ่มขึ้นมาเมื่อไหร่
เลือดเนื้อจำนวนมากขยับขยุกขยิก คิดจะสมานตัวเข้าหากันตรงกลางใหม่อย่างสุดชีวิต แต่ก็ไร้ประโยชน์ เลือดเนื้อถูกรังสีแสงสีน้ำเงินแช่แข็งเอาไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้
พรวด!
หญิงชรากระอักเลือดออกมาเปรอะเปื้อนใบหน้าเตี๋ยซาจื่อ
“ข้า…ข้า…!”
ไม่ไกลออกไปลู่เซิ่งค่อยๆ ชักฝ่ามือกลับ ปราณโอสถสีน้ำเงินที่ปลายนิ้วพัดพลิ้วอย่างช้าๆ เหมือนกับควัน
“โวยวายอยู่ตั้งนานยังไม่ได้ผลลัพธ์อีก ให้ข้าช่วยตัดสินใจให้พวกเจ้าก็แล้วกัน…” เขาแสดงสีหน้าเรียบเฉย เหมือนกับเพิ่งทำเรื่องเล็กน้อยธรรมดาๆ ลงไป
เตี๋ยซาจื่อก้มมองรูเลือดขนาดเท่าหัวคนตรงทรวงอกของผู้เป็นศิษย์พี่ รูเลือดที่ใหญ่แบบนี้ บวกกับมีปราณโอสถอันน่ากลัวที่แฝงอยู่ด้านในแช่แข็งปราณไว้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างโอสถช่วงกลาง อัตรารอดชีวิตก็มีไม่มากแล้ว…
“มู่อวิ๋น! อ๊าก!” ทันใดนั้น เตี๋ยซาจื่อเงยหน้าแผดเสียง
เขากอดร่างของผู้เป็นศิษย์พี่พร้อมกับหมุนตัวไปจับห่วงเงินที่อยู่กลางอากาศ พลังอาคมทั่วร่างลุกไหม้อย่างรุนแรงเหมือนกับไฟ
สองคนที่อยู่กลางอากาศเหมือนกับคบเพลิงไร้รูปร่าง เปลวไฟโปร่งแสงและบิดเบี้ยวที่กำลังลุกไหม้ปกคลุมอาณาเขตหลายสิบหมี่รอบๆ ไว้ตรงกลาง
“เจ้าชอบนางอย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
เขายกนิ้วชี้ขึ้น ปราณโอสถสีน้ำเงินถูกน้ำทะเลมากกว่าร้อยหมื่นตันบีบอัดถึงขีดสุด แสงสีน้ำเงินจุดหนึ่งสว่างขึ้นบนปลายนิ้วของเขา
“เช่นนั้นไปอยู่กับนางก็แล้วกัน” ลูเซิ่งจิ้มนิ้วออกไปเบาๆ
ฟ้าว!
ปราณโอสถกลายเป็นลูกศรคมกริบสีน้ำเงินกลางอากาศ แล้วพุ่งข้ามระยะห่างหลายร้อยหมี่ไปพร้อมกับความเร็วและแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว ก่อนจะแทงใส่อาณาเขตไฟโปร่งแสงทั่วร่างเตี๋ยซาจื่อ
ตูมๆๆๆ!
เกิดเสียงระเบิดดังติดต่อกัน ปราณโอสถทำลายเปลวเพลิงหลายชั้น ตอนใกล้จะแทงใส่ร่างของเตี๋ยซาจื่อ นักพรตเฒ่ากลับสะบัดข้อมือเสกแสงวิญญาณสีขาวสายหนึ่งออกมาปะทะเพื่อเบี่ยงทิศทาง
ปราณโอสถที่เอียงออกไปพุ่งใส่ผิวทะเลด้านล่างดังฟิ้วๆ น้ำทะเลที่ถูกแทงใส่หลงเหลือเส้นทางสีดำที่กลวงเอาไว้
เส้นทางคงอยู่หลายอึดใจ จึงค่อยๆ ถูกน้ำทะเลรอบๆ ไหลเข้าไปเติมเต็มใหม่
“วิชากระบี่เจ็ดคุณธรรม กิเลนปฐพี!” เตี่ยซาจื่อซึ่งมือหนึ่งโอบกอดร่างของหญิงชรา มือหนึ่งถือกระบี่ สะบัดเงากระบี่เจ็ดสายออกมาดังควับๆ
เงากระบี่เจ็ดสายรวมตัวกันกลางอากาศ ระหว่างนั้นมีปราณโอสถสีเหลืองตุ่นนับไม่ถ้วนเกาะเกี่ยวกัน พริบตาเดียวก็วาดเป็นสัตว์มงคลกิเลนสีเหลืองอ่อนที่สมจริงราวมีชีวิต
โฮก!
กิเลนพุ่งเข้ามาหาลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน
“ยังไม่จบ!” เตี่ยซาจื่อหมุนตัวกระบี่ ลวดลายอักขระเจ็ดสีกลุ่มหนึ่งปรากฏรอบๆ ข้อมือและหมุนวนด้วยความเร็วสูง
เขาท่องคาถา ใช้วิชากระบี่เจ็ดคุณธรรมอีกรอบ
“กิเลนวารี!” กิเลนสีฟ้าตัวหนึ่งโผล่มา ร่างยาวสิบหมี่กว่าๆ แผดคำรามอย่างดุร้าย
“กิเลนอัคคี” กิเลนสีแดงที่ประกอบขึ้นจากไฟปรากฏตัว สองตาเรืองแสงสีแดงอมทอง
“กิเลนวายุ!” กิเลนกึ่งโปร่งแสงสีเขียวร้องคำรามพลางพุ่งออกมา
กิเลนทั้งหมดสี่ตัววนเวียนรอบตัวลู่เซิ่ง แล้วพุ่งเข้าไปพร้อมกันจากสี่ทิศทางด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
รอบตัวกิเลนปฐพีมีแสงวิญญาณที่เพิ่มเกราะป้องกันให้แก่สหายรอบๆ วนเวียนอยู่ กิเลนวารีสามารถเสริมพลังและรักษาสหาย กิเลนอัคคีเพิ่มพลังฆ่าฟันให้แก่สหายและเผาทำลายศัตรูทั้งหมดที่เข้าใกล้ ส่วนกิเลนวายุสามารถเพิ่มความเร็วให้แก่สหายทุกตัว
กิเลนทั้งสี่ตัวแยกกันประสานงาน อานุภาพที่เกิดขึ้นตอนปรากฏตัวพร้อมกันอยู่เหนือระดับหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง
เปรี้ยง!
สร้อยข้อมือลงอักขระเจ็ดสีบนข้อมือของเตี๋ยซาจื่อระเบิดแหลก เขาก้มหน้ากระอักเลือดคำเล็กๆ ออกมาแต่สีหน้ากลับฉายแววเบิกบานอย่างไม่อาจควบคุมได้
“มาถึงพร้อมกันสี่ทิศ เจ็ดคุณธรรมรวมเป็นหนึ่ง สังหาร!”
โฮก!
กิเลนทั้งสี่พุ่งเข้าขย้ำลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่ง
“ป่าหี่ที่น่าเบื่อ”
ลู่เซิ่งกางฝ่ามือขวาออก ปราณโอสถสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนทะลักออกมาเหมือนกับห้วงสมุทร
หวึ่ง!
เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว ควันสีน้ำเงินก็สว่างขึ้นเหนือท้องฟ้ามากกว่าพันหมี่ มิหนำซ้ำยังแผ่กระจายออกไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่งด้วย
แสงสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนสว่างขึ้นเป็นจุดๆ แล้วปกคลุมแสงสว่างทั้งหมดรอบๆ
ปราณโอสถบนร่างลู่เซิ่งกระแทกใส่ร่างกิเลนทั้งสี่อย่างคลุ้มคลั่ง กิเลนแผดเสียงร้องคำราม หมายจะทะลวงการขัดขวางจากปราณโอสถ ตอนแรกพวกมันคืบหน้าได้ช่วงหนึ่ง แต่หลังจากปราณโอสถทะลักออกมาเพิ่มขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ธาตุทั้งหมดในอากาศรอบๆ ก็ถูกปราณโอสถสีน้ำเงินกีดกันออกไป กลางอากาศเหลือแค่พลังงานชนิดเดียว ซึ่งก็คือปราณโอสถของลู่เซิ่ง
ในที่สุดกิเลนตัวหนึ่งก็ไม่อาจดูดซับปราณกำเนิดจากโลกภายนอกมาชดเชยได้อีกต่อไป ร่างจึงค่อยๆ แหลกสลายไป
ไม่นานกิเลนอีกสามตัวก็ทนไม่ไหวเช่นกัน ได้แต่ประคับประคองอย่างยากลำบาก เหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ฝืนต้านทานพายุคลั่ง
“เป็นไปได้อย่างไร!?” เตี๋ยซาจื่อมองภาพตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ วิชากระบี่เจ็ดคุณธรรมของเขาได้ใช้อานุภาพระดับสูงสุดออกมาแล้ว กระบี่เมื่อครู่เขามั่นใจว่าจะสามารถปะทะกับระดับสร้างโอสถช่วงปลายได้พอดี แต่ตอนนี้ ถึงกับ…ถึงกับมีคนใช้ปราณโอสถโค่นได้
ปราณโอสถที่เหมือนไม่หมดไม่สิ้นทะลักออกจากร่างลู่เซิ่ง แล้วกลบกลืนอาณาเขตท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
กิเลนอีกสามตัวหายไปในปราณโอสถเหมือนคนจมลงไปในน้ำกลางคลื่นยักษ์
ท้องฟ้ารอบๆ กลายเป็นสีน้ำเงินโดยสมบูรณ์ ลู่เซิ่งลอยเงียบๆ อยู่กลางที่ว่างสีน้ำเงินนี้ เงาของโอสถทองคำสีทองอมน้ำเงินปรากฏอยู่ด้านหลัง
……………………………………….