ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 479 เชื่อมต่อ (1)
บทที่ 479 เชื่อมต่อ (1)
“น้องเหลียน”
กลางหุบเขาด้านหลังถ้ำยุทธพฤกษา ด้านหน้าบ้านไม้ริมน้ำตกสีขาวราวหิมะที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของเหล่าปีศาจ
ตู้กวางชื่อที่โอบกอดเหยาเหลียนไว้เบาๆ มองดูน้ำตกสีขาวที่กำลังตกลงมา ในใจไร้สุขไร้โศก มีแต่ความสงบนิ่ง
“พี่ชื่อ…” เหยาเหลียนแอบอิงอยู่ในทรวงอกของเขา แนบร่างกายติดชายหนุ่มอย่างอ่อนแอ คล้ายกับคิดจะมุดเข้าไปในตัวอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น
“นับตั้งแต่ออกจากสำนักมา พวกเราเพิ่งเคยใช้ชีวิตอย่างสงบไม่มีการรบกวนแบบนี้ด้วยกันเป็นครั้งแรก” ตู้กวงชื่อสะท้อนใจเล็กน้อย เขารู้ชาติกำเนิดของเหยาเหลียน สายเลือดของนางคือครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ ถ้าหากเป็นศิษย์ธรรมดาคงดี เพราะหากนางคิดแต่งงานกับเขา จะเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
ความรักของพวกเขาสองคนไม่อาจเป็นจริงได้ในสำนักฝ่ายธรรมะ ยิ่งอย่าว่าแต่วิถีธรรมะที่เป็นใหญ่ในฝ่ายธรรมะ
เขาซึ่งเป็นศิษย์ของเจ้าขุนเขาแห่งเจ็ดขุนเขา ไม่อาจลงเอยกับเหยาเหลียนได้ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ทั้งสองก็ยังติดบ่วงรักอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ใช่แล้ว…” เหยาเหลียนหยีตาจนเหมือนกับแมวน้อยที่เกียจคร้าน “กล่าวไปต้องขอบคุณประมุขถ้ำยุทธพฤกษา ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ป่านนี้เราคงกำลังปฏิบัติภารกิจของสำนัก ออกตรวจสอบร่องรอยต่อไป…”
ตู้กวงชื่อหัวเราะเสียงขื่นขม ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกจับ ต่อมาได้ยินว่ามีคนมาช่วยเหลือ คล้ายจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักที่คอยคุ้มครองพวกเขาในที่ลับ เพียงแต่ว่าไม่ทราบต่อจากนั้นผู้อาวุโสในสำนักเป็นอย่างไรบ้าง
ในเวลานี้เอง ปีศาจน้อยที่มีศีรษะเป็นปลาตัวเป็นมนุษย์ตนหนึ่งค่อยๆ มุดออกมาจากบึงน้ำกลางน้ำตกไกลออกไป ก่อนจะตะโกนพร้อมกับชี้สามง่ามมาทางทั้งสอง
“ตู้กวงชื่อ เหยาเหลียน ประมุขถ้ำเรียกพบพวกเจ้า”
ทั้งสองพลันฮึกเหิม ถูกขังลืมมาตั้งหลายวัน ในที่สุดก็มีข่าวคราวแล้ว
ตู้กวงชื่อประคองเหยาเหลียนขึ้น ติดตามปีศาจน้อยไปตามเส้นทางน้อยบนหุบเขา ก่อนจะเข้าไปในถ้ำศิลาทางขวา แล้วทะลุออกจากโพรงศิลาหยาบที่โล่งกว้าง ไม่นานทั้งสองคนก็เห็นลู่เซิ่งที่เอาชนะพวกเขาได้และขังพวกเขาไว้มาหลายวัน
ลู่เซิ่งยังคงสวมเสื้อคลุมสีกรมท่า ใบหน้าหล่อเหลา สีหน้าเย็นชา แต่ว่าด้านหน้าเขากลับมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่อย่างคาดไม่ถึง
ตู้กวงชื่อยังดี แต่พอเหยาเหลียนเห็นคนผู้นี้ ก็อดส่งเสียงร้องเบาๆ ไม่ได้
ตู้กวงชื่อได้ยินดังนั้น ก็รีบพิจารณาคนผู้นั้นทันที
คนผู้นี้มีไหล่กว้าง คิ้วหนาตาโต ไว้เคราข้างแก้มสีแดง สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือเขากระทิงสีดำหยาบใหญ่สองแท่งบนศีรษะของเขา
“เหลียนเอ๋อร์ พ่อเจ้าให้ข้ามารับตัวเจ้ากลับไป” พอชายฉกรรจ์ผู้นี้เห็นเหยาเหลียนก็ผุดสีหน้าเย็นชา เมื่อมองดูตู้กวงชื่อที่นางแอบอิงอยู่ ก็อดแค่นเสียงไม่ได้
“ศิษย์เจ็ดขุนเขาวิถีธรรมะคนหนึ่งกลับหลอกหลานสาวข้าจนหลงทิศหลงทางขนาดนี้”
“ท่านลุงรอง…ไม่เกี่ยวกับตู้หลาง[1]นะ ตัวข้าต่างหากที่…” เหยาเหลียนรีบอธิบาย
“พอแล้ว มีวาจาก็กลับไปอธิบายเองเถอะ” ลู่เซิ่งส่งเสียงอย่างราบเรียบเพื่อตัดบทของเหยาเหลียน
เขากำลังจะออกไปหาภูเขาไฟมีพลังเพื่อบำเพ็ญเลื่อนระดับ นึกไม่ถึงว่าจะมีผู้บำเพ็ญมาหา ทั้งยังเป็นผู้บำเพ็ญปีศาจที่ยังมีพลังไม่อ่อนด้อยด้วย
ผู้มาคือหนิวคุนมหาปีศาจโอสถทองคำเผ่าปีศาจกระทิงบนแผ่นดิน ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมีพลังไม่สามัญ ลู่เซิ่งคงไม่เห็นแก่หน้าอีกฝ่าย ให้อีกฝ่ายรับตัวหลานสาวกลับไป
แน่นอนว่าไม่ใช่ไม่มีค่าชดเชย
“ขอบคุณประมุขถ้ำมากที่ไม่ถือสา หลานสาวของข้าผู้นี้ซุกซนแต่เด็ก รอบนี้สร้างเรื่องให้แก่ถ้ำยุทธพฤกษา เป็นเพราะถูกวิถีธรรมะล่อลวง กล่าวตามจริงเผ่าปีศาจกระทิงของข้าไม่ได้ชอบการกระทำของวิถีธรรมะเท่าไหร่เช่นกัน เพียงแต่เด็กสาวผู้นี้ดื้อรั้นตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้ว ไม่ว่าอะไรก็ต้องตัดสินใจเอง ก่อนหน้านี้หนีออกจากบ้านไป พวกเราก็นึกว่าไม่นานนางคงกลับ นึกไม่ถึงว่าจะไปเข้าร่วมกับวิถีธรรมะ นี่มันช่าง…” หนิวคุนอธิบายอย่างค่อนข้างหน่ายใจ
“ไม่เป็นไร แค่เตรียมวัตถุดิบไว้ให้ครบก็พอ วิถีธรรมะชอบฉวยโอกาส ช่างน่ารังเกียจจริงๆ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
ถ้าหากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายนำวัตถุดิบที่เขาต้องการมาด้วยจำนวนมากพอ เขาก็คร้านจะสนใจคนพวกนี้ ตอนนี้มือหนึ่งมอบของมือหนึ่งมอบคน ต่างฝ่ายต่างได้สิ่งที่ต้องการ
“ประมุขถ้ำวางใจ สิ่งของนำมาถึงแล้ว ท่านตรวจสอบได้ตลอดเวลา ทรัพยากรเล็กน้อยแค่นี้ เผ่าปีศาจกระทิงของข้าไม่ใส่ใจอะไร เพียงแต่ประมุขถ้ำคงทราบกระมังว่า การที่กระบี่ธารปฐพีซึ่งเป็นหนึ่งในยอดศัสตราของวิถีธรรมะตกอยู่ในมือท่านก่อให้เกิดความวุ่นวายขนาดไหน ท่านควรจะเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ” หนิวคุนเตือนเบาๆ
ลู่เซิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย ทราบว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงเจตนาดี จึงพยักหน้า “ขอบคุณสหายคุนมาก”
“ไม่ต้องเกรงใจ อย่างนั้น ข้าขอพาคนไปก่อน”
“ตามสบาย” ลู่เซิ่งผงกศีรษะ
หนิวคุนลุกขึ้น ปล่อยให้เหยาเหลียนคุยกับตู้กวงชื่อสักพักหนึ่ง เขาจึงค่อยพาเหยาเหลียนออกจากโถงศิลาไป
ไม่นานโถงศิลาก็เหลือแค่ตู้กวงชื่อ
“ท่านเคยบอกว่าจะปล่อยพวกเราไป ไม่ทราบว่าเป็นเวลาไหน” คนรักถูกครอบครัวพาไป แม้ตู้กวงชื่อจะอาลัยอาวรณ์ แต่ก็ไม่ได้ร้อนอกร้อนใจ เพียงแต่เงียบขรึมอยู่บ้างเท่านั้น
รอเขาปรับตัวเสร็จแล้ว ก็ถามลู่เซิ่งทันที
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้าไม่ขังเจ้าไว้ตลอดกาลหรอก วางใจเถอะ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างไม่นำพา “เพียงแต่เจ้ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อจากนี้วิถีธรรมะจะต้องส่งคนมาแน่ ข้าจึงยังไม่คิดปล่อยเจ้าไป”
ตู้กวงชื่อได้ยินดังนั้นก็อ่อนใจ ถามหาเหตุผลอีกรอบ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากลู่เซิ่ง เขาจึงค่อยกลับบ้านน้อยด้วยความจนใจ
ในโถงศิลาจึงเหลือแค่ลู่เซิ่งคนเดียว
เขานั่งบนที่นั่ง เวลานี้หลังจากที่สังหารเตี๋ยซาจื่อไป กายเนื้อกับจิตวิญญาณของมู่อวิ๋นส่วนหนึ่งก็ได้หลอมรวมเข้ากับร่างหลักของเขาแล้ว
เป้าหมายในการมายังโลกใบนี้สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง คามปรารถนาของมู่อวิ๋นเป็นจริงแล้วครึ่งหนึ่ง
อีกครึ่งหนึ่งมีอยู่สองเรื่อง
ข้อแรก คือความแค้นที่มีต่อวิถีธรรมะ
มู่อวิ๋นถูกวิถีธรรมะกดดันมาหลายปี สุดท้ายแม้แต่ไข่มุกที่ตนบำเพ็ญมาสามชาติก็เกือบถูกแย่งไป ความชิงชังในใจยากจะระบาย จึงกลายเป็นผลกรรมโดยปริยาย
ข้อสอง สายเลือดที่เหลืออยู่ในจงหยวนของมู่อวิ๋น
ตอนที่นักพรตมู่อวิ๋นถูกไล่ล่าจนต้องหนีออกมาโพ้นทะเล เขาไม่ได้สนใจสิ่งใดเพราะความรีบร้อน สายเลือดเมื่อสองชาติก่อนยังพอว่า ต่างก็หายสาบสูญไปตามกาลเวลาแล้ว
แต่ว่าชาติสุดท้ายนั้นแตกต่าง ครอบครัวในชาติสุดท้ายเหลือบุรุษที่จะสืบทอดกิจการของตระกูลได้เพียงคนเดียวอย่างเขา ทว่าภายหลังเขาหลบหนีมา ไม่ทราบว่าครอบครัวจะเป็นอย่างไรบ้าง
กรรมสองกรรมนี้เป็นสิ่งที่ลู่เซิ่งต้องแก้ให้ได้
‘หลอมรวมไปได้ครึ่งหนึ่ง พลังของร่างหลักแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว…หากเป็นแบบนี้ต่อไป หลังจากหลอมรวมกับมู่อวิ๋นโดยสมบูรณ์ อย่างมากสุดก็หลอมรวมจิตวิญญาณอีกหนึ่งครั้ง จะสามารถทำให้จิตวิญญาณยกระดับได้อีกเท่าตัว ความเร็วในการฝึกฝนแบบนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ’
จิตวิญญาณยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ การศึกษาอัคคีอนธการก็ยิ่งเร็ว ความสามารถก็จะยิ่งสูงขึ้นเช่นกัน
‘เวลาของโลกใบนี้ไหลเร็วกว่าต้าอินมาก บางทีหลังจากแก้กรรมแล้ว เราอาจจะศึกษาสำรวจคุณสมบัติของอัคคีอนธการอยู่ที่นี่เพื่อสำเร็จระดับดาวหยกได้’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญเสร็จก็ลุกออกจากห้องศิลา มาถึงถ้ำเก็บสมบัติ
วัตถุดิบทรัพยากรอันเป็นของขวัญที่เผ่าปีศาจกระทิงเพิ่งส่งมาถึง วางกองอยู่ในคลังสมบัติ
‘หญ้าภูติอัคคีของเผ่าปีศาจกระทิง ไข่มุกสายัณห์นิลของเผ่าหอยเมฆหมอก แมงสี่กรงเล็บเก้าวิญญาณที่ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ มอบให้ตอนสวามิภักดิ์ ล้วนเป็นวัตถุดิบที่มีคุณสมบัติความเย็นไม่เลว ในการเลื่อนสู่ระดับทารกจิตครั้งนี้ เอาไปดูได้พอดีว่าจะหลอมสร้างไข่มุกกลืนสมุทรอีกครั้งได้หรือไม่’
เขาโบกมือไปทางแคร่ไม้ข้างคลังสมบัติ คว้ากล่องหยกสีขาวที่มีลักษณะต่างกันสามใบจากกลางอากาศ จากนั้นก็อุ้มกล่องหยกออกจากถ้ำยุทธพฤกษา ก่อนจะบินไปยังผิวทะเลไกลโพ้น
ส่วนการสยบโลกบำเพ็ญเซียนโพ้นทะเล ย่อมมียอดฝีมือหลายคนที่เขาเพิ่งรับตัวไว้ลงมือ มีแต่ตอนเจอคนร้ายกาจเท่านั้นจึงจะรายงานให้เขาลงมือด้วยตัวเอง
บินไปถึงอาณาเขตทะลลึกที่เคยกักตัวเมื่อคราวก่อน ลู่เซิ่งกำลังจะดำลงด้านล่าง อยู่ๆ ลำแสงสีแดงเข้มสองสายก็พุ่งมาใส่เขาจากสองฟากข้าง
“ผู้ใด!?” ปราณโอสถทั่วร่างลู่เซิ่งดีดสะท้อนโดยอัตโนมัติ
เกิดเสียงดังฟุ่บสองครั้ง ลำแสงสีแดงสองสายสลายไป แล้วระเบิดกลายเป็นแสงสีแดงหลายจุดตรงหน้าลู่เซิ่ง
เสียงน้ำดังซ่า วาฬเพชฌฆาตสีดำที่มีขนาดรูปร่างใหญ่โตสองตัวพุ่งออกมาจากข้างซ้ายข้างขวาของน้ำทะเล ดวงตาของพวกมันสาดประกายสีแดงเจิดจ้า แสดงให้เห็นว่านี่ก็คือแหล่งที่มาของลำแสงสีแดงเมื่อครู่นี้
วาฬเพชฌฆาตยาวสิบกว่าหมี่ พุ่งออกมาอย่างฉับพลันเหมือนกับเมฆดำกดทับศีรษะ น้ำหนักที่หนักถึงสิบกว่าตันกดทับใส่ลู่เซิ่งอย่างรุนแรง
หวึ่งๆ!
ทว่าชั่วพริบตานั้น ร่างอันมหึมาของวาฬเพชฌฆาตสองตัวพลันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ระเบิดดังเปรี้ยงๆ
วาฬเพชฌฆาตสองตัวระเบิดเป็นจุลเหนือศีรษะลู่เซิ่ง กลายเป็นฝนเลือดนับไม่ถ้วนโปรยปราย น้ำทะเลรอบๆ ถูกฝนเลือดจำนวนมากย้อมเป็นสีแดงฉาน
ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ยังยืนนิ่งอยู่บนผิวทะเลพร้อมกับมองไปยังทางด้านหน้าเยื้องไปทางขวา
“ไสหัวออกมา!” เขาส่งเสียงราวกับอัสนีบาติ พร้อมกับส่งปราณโอสถออกไปอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
เพียงแต่ประโยคเรียบง่ายแค่นี้ ปราณโอสถที่เขากระตุ้นกลับเทียบเท่ากับปริมาณปราณโอสถทั้งหมดของเซียนพรตระดับระดับสร้างโอสถช่วงต้นธรรมดาๆ คนหนึ่ง
ปราณโอสถที่มหาศาลแบบนี้ระเบิดอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น ทั้งหมดซ่อนแฝงและบีบอัดอยู่ในประโยคเดียว อานุภาพที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรต้องกังขา
เปรี้ยงๆๆ!
ละอองน้ำสีขาวระเบิดบนผิวทะเลด้านหน้าเยื้องไปทางขวาของลู่เซิ่ง ละอองน้ำที่ระเบิดออกมาทั้งหมดรวมกันเป็นเส้นสายเส้นหนึ่ง แล้วแผ่ขยายไปยังที่ไกลอย่างรวดเร็ว
แต่คลื่นเสียงไร้รูปร่างเพิ่งส่งออกไป ก็ถูกเงาร่างพร่ามัวกึ่งโปร่งแสงสายหนึ่งยกมือต้านรับเอาไว้
ซ่า
ละอองน้ำกระเซ็นซ่าน ปราณโอสถที่ซ่อนอยู่ในคลื่นเสียงกับพลังงานชนิดพิเศษที่เกรี้ยวกราดพิสดารชนกัน ไม่นานก็หักล้างกันเอง
“สมกับเป็นเซียนพรตมู่อวิ๋นที่ซ่อนความสำเร็จด้านวิชามาหลายปี วันนี้ได้พบ ได้ยินชื่อมิสู้พบหน้าจริงๆ”
คนผู้นี้ปรากฎตัวอย่างช้าๆ ร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนจากกึ่งโปร่งแสงเป็นของจริง ถึงกับเป็นบุรุษร่างสูงที่สวมหน้ากากและอาภรณ์สีดำ
กลางหว่างคิ้วที่คนผู้นี้เผยออกมามีรอยกรีดเฉียงลงด้านล่างที่ดูน่ากลัว บวกกับดวงตาสีม่วงอันคมกริบของเขา กลับให้ความรู้สึกดุร้ายเหี้ยมโหดสุดบรรยายชนิดหนึ่ง
“ข้าน้อยชุนซงจื่อ ได้ยินมาว่าประมุขถ้ำจับตัวตู้กวงชื่อบุตรแห่งโชคชะตาจากวิถีธรรมะไว้ได้ ยังมีกระบี่ธารปฐพีซึ่งเป็นหนึ่งในสามกระบี่เทวะอีก จึงเป็นตัวแทนตำหนักราชาปฐพีมาขอความร่วมมือจากประมุขถ้ำ” เสียงของคนผู้นี้คลุมเครือไม่ชัดเจน เอื่อยเฉื่อยไม่รีบร้อน เป็นเสียงบุรุษที่ให้ความรู้สึกมีลับลมคมนัย
“ตำหนักราชาปฐพี?” ลู่เซิ่งทราบประวัติความเป็นมาของอีกฝ่ายทันที
ใต้หล้า ณ เวลานี้ วิถีธรรมะยืนบนจุดสูงสุด ได้รับการเรียกขานเป็นสำนักอันดับหนึ่งฝ่ายธรรมะ แต่แม้ฝ่ายมารจะถูกสะกด ก็ยังมีขุมกำลังหัวมังกรที่เป็นตัวแทนของตัวเองในที่ลับอยู่
หัวมังกรนี้ก็คือตำหนักราชาปฐพี
ว่ากันว่าพวกเขาเป็นกำลังหลักและแนวหน้าที่คอยสู้กับวิถีธรรมะมาโดยตลอด ตอนนี้ลู่เซิ่งได้กระบี่ธารปฐพีมาครองโดยไม่ได้ตั้งใจ การที่พวกเขาหาโอกาสมาขอความร่วมมือทันที กลับพอจะยอมรับได้
“ร่วมมือหรือ พวกเจ้าจะร่วมมือกับข้าอย่างนี้น่ะหรือ” ลู่เซิ่งพูดถึงการลอบโจมตีจากวาฬเพชฌฆาตที่กลายเป็นปีศาจสองตนเมื่อครู่
ถ้าหากเป็นเซียนพรตระดับสร้างโอสถที่ธรรมดาๆ หน่อย หรือถ้าเขายังเป็นเซียนพรตมู่อวิ๋นในตอนแรก ครั้งนี้ต่อให้ไม่ได้รับบาดเจ็บก็คงถูกวาฬเพชฌฆาตพัวพันไว้จนไปไหนไม่ได้ชั่วขณะ
วาฬเพชฌฆาตสองตัวนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดา หากเป็นผู้บำเพ็ญปีศาจระดับสร้างรากฐานที่สร้างโอสถปีศาจขึ้นแล้ว แต่ถูกคนจับตัวและบังคับควบคุมให้ระเบิดพลังชีวิตทั้งหมดเพื่อใช้เป็นกำลังต่อสู้
พลังที่ระเบิดในระยะเวลาสั้นๆ ต่อให้เป็นระดับสร้างโอสถช่วงต้นทั่วไปก็ยังกริ่งเกรงอยู่บ้าง
“อย่าเข้าใจผิด” ชุนซงจื่อยิ้ม ไม่ได้ว่าอะไร “อันดับแรก วาฬเพชฌฆาตสองตัวนั้นเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ใช้ทดสอบว่าท่านที่เป็นประมุขถ้ำคือตัวจริงหรือไม่”
“ข้อต่อมา ครั้งนี้ตำหนักราชาปฐพีของเราค่อนข้างมีความจริงใจ จอมเทวะแห่งทัพเผิงที่สามมาด้วยตัวเองเพราะเรื่องของประมุขถ้ำ”
“จอมเทวะหรือ” ลู่เซิ่งจิตใจสั่นไหว จอมเทวะของตำหนักราชาปฐพีเป็นคำเรียกจอมสัจจะระดับทารกจิตอย่างง่ายๆ นึกไม่ถึงว่าองค์กรนี้จะเคลื่อนไหวเร็วแบบนี้ วิถีธรรมะยังมาไม่ถึง พวกเขาก็มาพบกับตนก่อนแล้ว
“พวกเจ้าต้องการการร่วมมือแบบไหน” เขาคิดเล็กน้อย ก่อนจะถามทันที
……………………………………….
[1] หลาง เป็นคำเรียกชายคนรัก