ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 481 ปกครอง (1)
บทที่ 481 ปกครอง (1)
เจ็ดภัยพิบัติ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน หยิน และหยาง
ความจริงแล้วเป็นภัยพิบัติซึ่งถูกแบ่งเป็นคุณลักษณะที่ผู้คนรู้จักกันดีเจ็ดชนิด ในความเป็นจริงคือวิธีการกำจัดครั้งสุดท้ายของธรรมชาติต่อผู้บำเพ็ญ
ลู่เซิ่งทราบดีว่าผู้บำเพ็ญในโลกใบนี้ปฏิบัติตนขัดกับฟากฟ้า แย่งชิงสารกายของฟ้าดินมาเสริมส่งตัวเอง
ดังนั้นจึงเจอภัยพิบัติระดับนี้ นี่เป็นการที่จักรวาลธรรมชาติใช้วิธีต่างๆ นานา มาขัดขวางไม่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนเลื่อนสู่ระดับทารกจิต สำเร็จการฝึกฝน
ไฟสีดำกำลังลุกโหม
ลู่เซิ่งแบมือปล่อยปราณทารกที่เพิ่งเป็นรูปเป็นร่างในตัวออกไป ปราณทารกอันมหาศาลที่มีความเย็นสุดขั้วผสมอยู่ด้วย สะกดไฟสีดำรอบๆ ตัวในชั่วพริบตา
‘ภัยพิบัติอัคคีระดับนี้ยังไม่พอหรอก’ ลู่เซิ่งเดินเข้าไปหาไข่มุกกลืนสมุทรที่ค่อยๆ จมลงเบื้องล่าง
ไฟสีดำค่อยๆ เริ่มดับลงโดยที่มีเขาเป็นศูนย์กลาง ชั่วขณะเดียวกันก้นทะเลก็กลับมาสงบเหมือนเดิมอีกครั้ง
ฮือๆ…
ไฟเพิ่งจะดับลงไป ก็มีลมล่องหนที่มองไม่เห็นหลายกลุ่มพัดมาจากตรงไหนก็ไม่ทราบ แล้ววนเวียนอยู่รอบๆ ตัวลู่เซิ่ง
‘ก้นทะเลก็มีลมได้หรือ’ ลู่เซิ่งชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกมา ปลายนิ้วสัมผัสได้ว่ามีกระแสลมบางเบาพัดผ่านอย่างต่อเนื่อง
เพียงแต่ว่ากระแสลมนี้ยิ่งมายิ่งคมกริบ ยิ่งมายิ่งหยาบกระด้าง เหมือนกับว่าด้านในมีกรวดทรายเล็กๆ จำนวนมากแทรกอยู่ด้วย
ลู่เซิ่งถึงขั้นรู้สึกได้ว่าผิวหนังเริ่มเจ็บปวด ปราณทารกเริ่มคุ้มครองทั่วร่างโดยอัตโนมัติ เพื่อปิดกั้นลมนี้ไว้ด้านนอก
เสียงฮือๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ
ลมมากมายที่มองไม่เห็นพัดออกมาจากจุดไหนก็ไม่ทราบ จากนั้นก็วนเวียนอยู่รอบตัวลู่เซิ่ง ถ้าหากคนธรรมดาแตะต้องลมเหล่านี้ จะถูกหั่นเฉือนเป็นหมูบะช่อทันที
‘ภัยพิบัติวายุหรือ’ ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้า ปราณทารกอันยิ่งใหญ่บนร่างสั่นสะเทือนอย่างฉับพลัน
ตูม!
กระแสลมรอบๆ ตัวทั้งหมดเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง หลังจากใช้ปราณทารกแค่นิดเดียว ภัยพิบัติวายุทั้งหมดก็ถูกทำลายไป
ต่อจากนั้นพื้นที่ก้นทะเลก็กลายเป็นมือโคลนยักษ์ที่มีพละกำลังมหาศาล คืบคลานคิดจะลากลู่เซิ่งลงไปในบึงโคลนใต้ดิน
ภัยพิบัติปฐพีนี้ถูกลู่เซิ่งใช้ปราณทารกทำลายบึงโคลน และแช่แข็งมือโคลนยักษ์เอาไว้
ภายหลังมีเจ็ดภัยพิบัติได้แก่ภัยพิบัติวารี ภัยพิบัติไม้ และภัยพิบัติทองตามมา ลู่เซิ่งอาศัยปริมาณพลังอาคมอันยิ่งใหญ่จัดการได้อย่างราบรื่น สำหรับปริมาณปราณทารกอันน่าหวั่นสะพรึงของเขา เจ็ดภัยพิบัติไม่มีค่าให้เอ่ยถึง
ลู่เซิ่งเดินออกมาทั้งหมดเจ็ดก้าว แสงเจ็ดสีกะพริบบนร่าง จัดการภัยพิบัติแต่ละชนิดตามลำดับ
ตอนนี้ไข่มุกกลืนสมุทรเริ่มหมุนช้าลงแล้ว ทำให้การดูดซับน้ำทะเลช้าลงตามไปด้วย ตอนนี้แม้แต่ลู่เซิ่งก็ยังไม่รู้ว่าด้านในดูดซับน้ำไปมากเท่าไหร่ เขาเพียงแค่คำนวณขอบเขตได้คร่าวๆ เท่านั้น
“หยุด” เขากล่าวเสียงเย็น แรงดึงดูดที่ไข่มุกกลืนสมุทรปล่อยออกมารอบๆ ตัวพลันสลายหายไป ไข่มุกทั้งก้อนค่อยๆ ลอยมาหาลู่เซิ่ง ดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างอะไรกับไข่มุกที่ทาสีน้ำเงินทั่วไป
ลู่เซิ่งยื่นมือออกไปแตะกับไข่มุกกลืนสมุทรเบาๆ
ตูม
ฉับพลันนั้นมีแรงฉุดรั้งที่ไม่อาจบรรยายระเบิดออกมา ดึงไข่มุกกลืนสมุทรไว้พร้อมกับกระชากอย่างแรง คล้ายกับจะทำให้ไข่มุกหนีออกจากมือของลู่เซิ่งได้ตลอดเวลา
‘คิดหนีหรือ’ ลู่เซิ่งกระตุ้นปราณโอสถในร่าง จับไข่มุกกลืนสมุทรที่กำลังดิ้นรนเอาไว้อย่างแนบแน่น
ไข่มุกก้อนนี้ถูกพลังงานอันยิ่งใหญ่ควบคุมเอาไว้ พร้อมจะถูกกระแทกปลิวออกไปได้ตลอดเวลา ลู่เซิ่งที่จับมันไว้เหมือนกับกำลังจับคลื่นใต้น้ำที่ก้นทะเลอยู่
ปราณทารกจำนวนมากทะลักเข้าสู่ไข่มุกกลืนสมุทรอย่างบ้าคลั่ง ลู่เซิ่งประเมินความจุและแรงฉุดรั้งของไข่มุกกลืนสมุทรอย่างระมัดระวัง
ไข่มุกเหมือนกับมีชีวิตก็ไม่ปาน ถูกพลังงานปริศนาฉุดดึงให้ลอยออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่ลู่เซิ่งก็ใช้ปราณโอสถสะกดมันเอาไว้ได้
สถานการณ์นี้ดำเนินอยู่หลายชั่วยาม หลังจากลู่เซิ่งใช้ปราณโอสถเติมเต็มช่องว่างด้านในไข่มุกกลืนสมุทรจนเต็มเพื่อบีบพลังงานจากภัยพิบัติวายุที่มุดเข้าไปอย่างเหนือความคาดหมายส่วนหนึ่งออกมาแล้ว ภัยพิบัติวายุก็หายไปโดยสมบูรณ์
ถัดมา เขาใช้เคล็ดวิชาหลอมสร้างไข่มุกอีกหลายครั้ง เพื่อหลอมสร้างไข่มุกกลืนสมุทรที่ถูกภัยพิบัติฉุดรั้งใหม่อีกรอบ บวกกับด้านในมีปราณโอสถอันมหาศาลที่เขาใส่เข้าไปจนเต็ม หลังจากที่วัตถุดิบใหม่ๆ ซึ่งใส่เข้าไปในไข่มุกกลืนสมุทรปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ไข่มุกจึงค่อยๆ กลับไปอยู่ในการควบคุมของลู่เซิ่งอีกรอบ
‘ผ่านไปตั้งนานแล้ว ไข่มุกกลืนสมุทรน่าจะดูดซับน้ำทะเลมากกว่าสิบล้านตันเป็นอย่างน้อย หรืออาจจะเยอะกว่านั้น’
ตอนนี้การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของภูเขาไฟก้นทะเลค่อยๆ อ่อนกำลังลง แสงสีทองริบหรี่ลงอย่างรวดเร็ว ที่อื่นก็มืดมิดตามไปด้วยเช่นกัน
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ข้างปากปล่องภูเขาไฟลูบไข่มุกกลืนสมุทรเบาๆ เขาพอจะทราบว่าด้านในไข่มุกกลืนสมุทรมีที่ว่างอยู่เท่าไหร่ผ่านการใส่ปราณโอสถเข้าไป
‘ท่าทางจะใช้ได้แล้ว’
ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ เพื่อพิจารณาสภาพของก้นทะเลที่สงบเงียบโดยสิ้นเชิงแล้ว
‘ความจริงวิชาที่เรียนรู้ออกมาในตอนนี้ไม่ได้มีอะไรพิสดาร เพียงแค่เรียนรู้ตามโครงสร้างของคัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสานตอนที่โอสถกลายเป็นสีทองเท่านั้น คุณสมบัติของปราณทารกจึงยังธรรมดาๆ อย่างมากสุดก็แค่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น ด้านอื่นๆ ไม่ต่างกับผู้บำเพ็ญระดับทารกจิตระยะต้นหลังจากเลื่อนระดับตามปกติเท่าไหร่’
ลู่เซิ่งประเมินสถานการณ์ของตัวเองอย่างคร่าวๆ ขอแค่เขาไม่เปิดเผยว่าตนเองมีปริมาณปราณโอสถมหาศาล การแสร้งทำเป็นจอมสัจจะทารกจิตธรรมดาๆ เป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่งสำหรับเขา
‘ในที่สุดก็เลื่อนเป็นทารกจิตแล้ว ตอนนี้ขอดูหน่อยเถอะว่าปราณทารกกับปราณโอสถแตกต่างกันมากขนาดไหน’
ลู่เซิ่งสงสัยใคร่รู้ในระบบพลังของโลกใบนี้มาก ตอนนี้เขาเลื่อนสู่ระดับทารกจิตโดยสมบูรณ์ตามการเรียนรู้ของดีปบลู จึงคาดหวังต่อพลังอย่างปราณโอสถเป็นอย่างยิ่ง
เขาทิ่มมือออกไปด้านหน้า
ฟ้าว!
ควันที่เหมือนกับเส้นสายสีดำอมน้ำเงินพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว
ควันนี้วนเวียนอยู่รอบตัวลู่เซิ่งสักครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลอยไปด้านข้างอย่างฉับพลัน วาดพื้นก้นทะเลเป็นร่องรอยเล็กยาวที่คมกริบสายหนึ่ง
‘สามารถเปลี่ยนเป็นปลอมหรือทำให้จับต้องได้ได้ตลอดเวลา ปราณโอสถนี้น่าจะเทียบได้กับสิ่งของกึ่งจริงกึ่งลวงสินะ’ ลู่เซิ่งให้ปราณโอสถนี้เริงระบำรอบๆ ตนอย่างช้าๆ พร้อมกับใช้จิตวิญญาณระดับอริยะเจ้าสำรวจกฎเกณฑ์และคุณสมบัติของมันอย่างละเอียด
‘เวลาทำให้จับต้องได้จะแข็งแกร่งถึงขีดสุด ทั้งยังมีความเหนียว เวลาทำให้เป็นของปลอมจะเหมือนหมอก ไม่อาจสัมผัสได้โดยสิ้นเชิง ได้แต่ใช้พลังที่มีคุณสมบัติเหมือนกันถึงจะหักล้างกัน’
ลู่เซิ่งครุ่นคิดพร้อมกับค่อยๆ ชักกระบี่เรียวยาวซึ่งในฝักกระบี่มีรอยเปื้อนสีดำออกมา
กลางคมกระบี่สลักคำว่าปฐพีเอาไว้อย่างชัดเจน เป็นกระบี่ธารปฐพีที่เขาเพิ่งได้มานั่นเอง
‘ตอนที่เราลงมือสะกดสภาพปกติของกระบี่ธารปฐพี จำเป็นต้องใช้ปราณโอสถราวสามส่วน แล้วตอนนี้ล่ะ’ ลู่เซิ่งเปลี่ยนปริมาณปราณโอสถเป็นตัวเลขตามมาตรฐานของนักพรตมู่อวิ๋น
ปราณโอสถหนึ่งส่วนหมายถึงปราณโอสถทั้งหมดที่นักพรตมู่อวิ๋นระเบิดออกมาสุดกำลัง
สามส่วนหมายถึงหากจะสะกดการระเบิดพลังของกระบี่ธารปฐพีให้อยู่ จำเป็นต้องใช้นักพรตมู่อวิ๋นสามคนถึงจะทำสำเร็จ การระเบิดพลังของกระบี่ธารปฐพีในที่นี้หมายถึงสะกดพลังซ่อนเร้นชนิดอื่นไปด้วย ไม่ใช่แค่สะกดอานุภาพส่วนเล็กๆ ของกระบี่ธารปฐพีที่ถูกตู้กวงชื่อกระตุ้นเท่านั้น
‘ก่อนหน้านี้ต้องใช้ปราณโอสถสามส่วน อย่างนั้นตอนนี้…’ ลู่เซิ่งซึ่งกำลังครุ่นคิดชักนำปราณโอสถสำหรับสะกดที่เหลือไว้บนกระบี่ธารปฐพีทิ้ง แล้วใส่มันเข้าไปในปราณทารกของตน
จากนั้นไม่รอให้กระบี่ธารปฐพีเปล่งแสงสีทอง และระเบิดพลังโดยสมบูรณ์ เขาก็ใส่ปราณทารกชนิดใหม่เข้าไปในชั่วเสี้ยววินาที
ใส่ปราณทารกเข้าไปหนึ่งในสิบส่วน หรือก็คือปริมาณปราณโอสถหนึ่งในสิบส่วนของจอมสัจจะระดับทารกจิตธรรมดาที่ลู่เซิ่งกะเอาไว้ กระบี่ธารปฐพีเหมือนกับถูกตราสะกดนับไม่ถ้วนพันธนาการไว้ แสงสีทองที่สว่างขึ้นขณะคิดจะดิ้นให้หลุด ดับลงในพริบตา
‘ต้องใช้ปราณทารกหนึ่งในสิบส่วนเลยเหรอเนี่ย ดูเหมือนคุณสมบัติของปราณทารกที่เราฝืนเลื่อนระดับจะไม่ดีเท่าไหร่ ต่อให้อยู่ในหมู่จอมสัจจะทารกจิตธรรมดา ก็เกรงว่าจะจะเป็นระดับชั้นต่ำสุดอยู่ดี’ ลู่เซิ่งคล้ายมีความคิดบางอย่าง
‘เดิมทีความแตกต่างระหว่างจอมสัจจะทารกจิตกับผู้บำเพ็ญระดับสร้างโอสถน่าจะมีมากกว่านี้ ทว่าเป็นเพราะสมบัติฟ้าดินที่เราใส่ลงไปในโอสถทองคำมีแค่น้ำทะเลในทะเลลึกเท่านั้น ดังนั้นอานุภาพพิเศษที่มอบให้ปราณทารกจึงอ่อนแอถึงขีดสุด แตกต่างจากผู้บำเพ็ญคนอื่นอย่างมหาศาล ความแตกต่างที่แท้จริงน่าจะปรากฏตรงนี้นี่แหละ’
ลู่เซิ่งเจอสาเหตุอย่างรวดเร็ว
เขาเก็บกระบี่ธารปฐพี กระบี่เล่มนี้ไม่ใช่อาวุธเทพศัสตรามาร แถมเขาก็ไม่ได้มีกายเนื้อน่ากลัวอย่างร่างหลัก ดังนั้นย่อมไม่อาจลิ้มลองได้ว่ามีรสชาติอย่างไร
‘สำเร็จระดับทารกจิตแล้ว แถมไข่มุกกลืนสมุทรก็หลอมเสร็จแล้วเช่นกัน เพียงแต่ว่าในฐานะจอมสัจจะ จะใช้เป็นแค่สองท่าไม่ได้ ต้องฝึกฝนกระบี่ท่าธรรมดาๆ อีกส่วนหนึ่งเพื่อใช้รับมือสถานการณ์ธรรมดาด้วย’
จนกระทั่งถึงวันนี้ สิ่งที่ลู่เซิ่งใช้ฝึกฝนเป็นแค่พลังอาคมระดับพื้นฐานเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาแม้แต่น้อย
ความจริงเขาใช้เป็นแค่สองกระบวนท่า กระบวนท่าแรกเรียกว่าพลังอาคมไร้ขอบเขต…เป็นการปล่อยพลังอาคม
กระบวนท่าที่สองเรียกว่า ใช้พลังสยบคน
ก็คือการทุ่มไข่มุกกลืนสมุทรที่น่าพรั่นพรึงถึงขีดสุดเหมือนกับลูกหนัง เขาได้ใช้กระบวนท่านี้เปิดฉากเมื่อครั้งที่ลอบโจมตีผู้บำเพ็ญของวิถีธรรมะ ทรงประสิทธิผลไม่เลว
ส่วนดัชนีเจาะน้ำแข็งที่เหลือเป็นแค่กระบวนท่าเล็กๆ ที่ขยายออกมาเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าอวด ไม่ได้มีผลเพิ่มพลังอาคมใดๆ ยังพอจะส่งผลต่อผู้บำเพ็ญที่ด้อยกว่าลู่เซิ่งมากได้ แต่ถ้าเจอคนที่สูสีคู่คี่กับเขาก็จะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
นอกจากนั้นยอดฝีมือใช้กระบวนท่า อึดใจเดียวเกิดการเปลี่ยนแปลงนับหมื่น ถ้าหากว่าใช้กระบวนท่าผิด อาจจะสูญเสียโอกาสและทำให้คู่ต่อสู้ที่เดิมอ่อนแอกว่าตัวเองเล็กน้อยคว้าโอกาสเอาชนะตนเองได้ก็ได้
ดังนั้นลู่เซิ่งซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงก้นทะเลลึกและมองดูร่องรอยหินหนืดสีแดง จึงเริ่มไตร่ตรองว่าตนควรจะฝึกวิชาอะไรเพื่อใช้ต่อสู้กับศัตรูธรรมดาๆ ดี
‘คัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสานรวบรวมการสั่งสมเป็นเวลาหลายร้อยปีของนักพรตมู่อวิ๋นไว้ แม้ว่าวิชาฝึกฝนหลักจะใช้ไม่ได้ แต่ก็มีวิชาเล็กๆ น้อยๆ มากมาย ผู้บำเพ็ญฝ่ายนอกรีตถึงขั้นยังมีคนใช้วิชานอกรีตเหล่านี้เป็นการฝึกฝนหลัก ดังนั้นในด้านนี้ ฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายมารล้วนไม่เชี่ยวชาญเท่าผู้บำเพ็ญฝ่ายนอกรีต สามารถเลือกสักสองวิชาจากในนี้มาเป็นความสามารถปกติได้’
ลู่เซิ่งจัดระเบียบวิชาในคัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสาน
‘ตอนนี้การโจมตีวงกว้างของเราทื่อเกินไป เป็นแค่การใช้ปราณทารกกลบบริเวณรอบๆ เท่านั้น หรือหมายความว่า จำเป็นต้องมีวิชาที่เป็นตัวแทนการโจมตีวงกว้างได้สักวิชา ถัดมาคือวิชาที่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งทั้งเร็วและแม่นยำ เอาไว้ใช้รับมือสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน’
ไม่นาน ลู่เซิ่งก็เจอวิชาที่เหมาะสมกับเขาถึงขีดสุดสองวิชาในวิชานอกรีตเหล่านี้
‘วิชาใยทอง’ กับ ‘วิชาหลอมสร้างศพ’
วิชาสองวิชานี้ฝึกการต่อสู้จริง ไม่ฝึกรากฐาน เน้นที่การต่อสู้ ไม่มีการยืดอายุขัย ไม่มีการบำเพ็ญพลังอาคม
ส่วนวิชาใยทองเป็นการเลี้ยงแมงมุมปีศาจชนิดหนึ่ง หลังจากทำให้มันกลายพันธุ์แล้ว มันจะพ่นใยประหลาดจำนวนมากออกมา ใยแมงมุมชนิดนี้ไม่กลัวน้ำไม่กลัวไฟ แข็งแกร่งทนทาน ทั้งยังเพิ่มอานุภาพได้จากการใส่พลังอาคมด้วย จุดอ่อนเพียงจุดเดียวคือเปลืองพลังอาคมถึงขีดสุด
มู่อวิ๋นเก็บรวบรวมไข่ของแมงมุมชนิดนี้เอาไว้นานแล้ว เพียงแต่ว่าเลี้ยงไว้แค่ตัวเดียว เนื่องจากว่าแมงมุมชนิดนี้ผลาญพลังอาคมถึงขีดสุด ทุกๆ วันต้องใส่พลังอาคมที่เทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งในร่างกายของมู่อวิ๋นเข้าไปถึงจะทำให้มันเข้าสู่สภาพปล่อยใยได้ ถ้าหากว่าใส่พลังอาคมไม่พอ พลังอาคมที่ใส่ไปทั้งหมดจะเท่ากับโยนหินกระทบน้ำ ไปแล้วไปลับไม่กลับมา
ดีที่ลู่เซิ่งได้ทราบจากความทรงจำของมู่อวิ๋นว่า ใยแมงมุมชนิดนี้มีอานุภาพไม่เลวจริงๆ เคยมีผู้บำเพ็ญนอกรีตเชี่ยวชาญในการใช้ใยแมงมุมชนิดนี้ ตอนนั้นเรียกได้ว่าไม่มีศัตรูในระดับเดียวกัน ใช้อำนาจบาตรใหญ่ได้อยู่ช่วงหนึ่ง
ต่อมาเป็นเพราะทำชั่วเกินไปจึงถูกวิถีธรรมะกำจัดทิ้งหายสาบสูญไป และเป็นเพราะสาเหตุนี้นี่เองที่ทำให้นักพรตมู่อวิ๋นเก็บวิชานี้ไว้
มีคนหลายคนใช้วิชานี้เป็น แต่เพราะเงื่อนไขที่จำเป็นยากจะบรรลุเกินไป คนที่ทำตามเงื่อนไขได้ก็ไม่มีทางได้ใช้วิชานอกรีตนี้เช่นกัน
……………………………………….