ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 484 เงามาร (2)
บทที่ 484 เงามาร (2)
ด้านในก้อนสายฟ้าก้อนนั้นสามารถมองเห็นมังกรยักษ์สีน้ำเงินหลายตัวที่มีเขาหกเขา ร่างกายใหญ่โต มีปีกสี่ข้างงอกอยู่บนหลัง กำลังค่อยๆ ตื่นขึ้นได้อย่างเลือนราง
แสงสีน้ำเงินของก้อนสายฟ้าเจิดจ้ายิ่งขึ้น สีทองจุดหนึ่งสว่างขึ้นตรงกลาง จุดสีทองปล่อยแสงทองออกมา เพียงพริบตาเดียวก็ย้อมก้อนสายฟ้าเป็นสีทองทั้งหมด
แสงทองอันเจิดจ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ ส่องใส่ร่างทัพปีศาจที่บุกรุกเข้าเกาะเหมือนกับรังสีอุณหภูมิสูง ทั่วร่างทัพปีศาจลุกไหม้จนมีควันลอยขึ้น ล้มลงกับพื้นพร้อมกับร้องอย่างเจ็บปวด
ฟู่จิ้นที่กำลังต่อสู้กับบรรพบุรุษเผ่านางเงือกเห็นดังนั้น สีหน้าก็ผกผันครั้งใหญ่
“นี่คือ…ค่ายกลมังกรทะเลแสงอรุณในตำนาน! ค่ายกลต้องห้ามระดับทารกจิต!”
พอได้ยินคำว่าระดับทารกจิต เซียนพรตอสรพิษสายลมที่ยังต่อสู้อยู่ก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน คิดจะหลบหนีอย่างรวดเร็ว แต่กลับถูกปิงเสินจื่อพัวพันไว้
เวลานี้จุดแสงสีทองเปล่งแสงเจิดจ้าและแหลมคมขึ้นเรื่อยๆ
ลำแสงที่เหมือนกับกระบี่คมส่องใส่ร่างของทัพปีศาจที่มาจากภายนอก ร่างของทหารปีศาจบางส่วนเริ่มหลอมละลาย แต่ว่าทหารปีศาจเผ่าเต่าดำที่กำลังต่อสู้กับพวกมันอยู่ไม่ไกลออกไปกลับไม่เป็นอะไรเลย
แสงสีทองส่วนหนึ่งเริ่มสร้างการรบกวนให้แก่อสรพิษสายลมกับฟู่จิ้นในระดับสร้างโอสถไม่น้อย สมดุลของผลแพ้ชนะเอนเอียงไปทางเผ่าฉลามมังกรกับเต่าดำอย่างรวดเร็ว
แสงสีทองของค่ายกลยิ่งมายิ่งเจิดจ้า อานุภาพค่อยๆ เพิ่มถึงจุดสูงสุด เพียงแต่ในช่วงเวลานี้ ลู่เซิ่งกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ไม่ได้หลบหนี ไม่ได้ลงมือต่อสู้ เหมือนกับกำลังรอให้ค่ายกลแสดงอานุภาพระดับสูงสุดอยู่
“ไม่หนีอย่างนั้นหรือ เจ้าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสมต่อความหลงตัวเองของเจ้า ไปตายเสียเถอะประมุขถ้ำยุทธพฤกษา!” แม่ทัพปีศาจเผ่าฉลามมังกรหัวเราะพลางชี้ไปที่ลู่เซิ่ง
ตูม!
ก้อนสายฟ้าสีทองบนเกาะลอยขึ้นอย่างฉับพลัน แล้วระเบิดแสงสีทองออกมา ไฟสีทองอุณหภูมิสูงที่บิดเบี้ยวกระแทกใส่ลู่เซิ่งที่อยู่กลางอากาศ
แสงสีทองเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เซียนพรตอสรพิษสายลมกับฟู่จิ้นหมุนตัวหลบหนี ต้องการจะถอยให้พ้นจากอาณาเขตการระเบิดของก้อนสีทอง
ลู่เซิ่งกลับเพียงแค่ยืนอยู่กลางอากาศที่เดิมอย่างสงบนิ่ง อากาศในรัศมีหลายร้อยหมี่รอบๆ ตัวเขาถูกแสงสีทองย้อมอาบ อุณหภูมิอันน่าสะพรึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับการเข้ามาใกล้ของก้อนสีทอง
ก่อนที่ก้อนสีทองจะชนใส่ทรวงอกของลู่เซิ่ง แสงสีน้ำเงินจุดหนึ่งก็สว่างขึ้นด้านหลังเขา
ถัดจากนั้นติดๆ กันแสงสีน้ำเงินจุดนี้พลันกระเพื่อมกลายเป็นจุดแสงสีน้ำเงินนับไม่ถ้วน เพียงชั่วขณะเดียวเหมือนกับมีแสงสีน้ำเงินจำนวนนับไม่ถ้วนกระเพื่อมและขยายตัวออกมาจากด้านหลังของเขา
ก้อนสีทองถูกแรงกดดันอันยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงสะกดไว้ ความเร็วลดน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็หยุดอยู่ห่างจากด้านหน้าลู่เซิ่งไม่ถึงหนึ่งหมี่
“กลืนสมุทร”
ลู่เซิ่งค่อยๆ ยื่นนิ้วออกมาจิ้มใส่ก้อนสีทอง
ครืนๆ!
ฉับพลันนั้นแสงสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนด้านหลังเขาก็เชื่อมต่อกันเป็นแผ่นผืน แล้วกลายเป็นน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มของห้วงสมุทร ก่อนจะกดทับไปด้านหน้าอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
ไม่เพียงเท่านั้น แสงสีน้ำเงินยังขยายออกไปหลายหมื่นหมี่อย่างบ้าคลั่งโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง ถึงกับกลบกลืนท้องฟ้าทั้งหมดเหนือเกาะน้อย
ท้องฟ้ามืดมัว น้ำทะเลนับไม่ถ้วนส่องแสงระยิบระยับ ปรากฏขึ้นเหนือเกาะ กั้นแสงอาทิตย์และเส้นแสงจากก้อนสีทองที่ค่ายกลปล่อยออกมาไปพร้อมกัน
ตูม!
น้ำทะเลไร้ขอบเขตตกลงอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นเหมือนกับธารสวรรค์พลิกคว่ำ
ฟ้าดินเหมือนกับกลายเป็นสีน้ำเงินอยู่ชั่วขณะ
ปิงเสินจื่อก็ดี แม่ทัพปีศาจฉลามมังกรก็ดี ผู้บำเพ็ญสร้างโอสถคนอื่นๆ ก็ดี ใบหน้าต่างเปลี่ยนแปลงด้วยความตื่นตระหนก แล้วถูกห้วงสมุทรที่ตกลงมากลุ่มนี้กลบกลืนในพริบตา
กอปรกับน้ำทะเลจากปราณทารกที่แข็งแกร่งของลู่เซิ่งไม่ใช่น้ำทะเลธรรมดาๆ หากเป็นการดำรงอยู่ที่เหมือนของกึ่งวิเศษซึ่งมีพลังอาคมชนิดพิเศษที่สามารถสร้างการคุกคามให้แก่จอมสัจจะทารกจิตได้
ความจริงลู่เซิ่งไม่ได้ใช้ไข่มุกกลืนสมุทร เพียงใช้พลังอาคมของตัวเองดึงน้ำทะเลนับไม่ถ้วนรอบๆ ขึ้นมา แล้วปล่อยลงไปบดขยี้เท่านั้นเอง
แต่ประสิทธิผลที่เกิดขึ้นกลับน่ากลัวขนาดนี้
เกาะเล็กทั้งเกาะถูกน้ำทะเลสูงใหญ่ท่วมกลบ แสงสีทองก็ดี สิ่งก่อสร้างก็ดี พวกทหารปีศาจแม่ทัพปีศาจ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกถล่มทำลายด้วยน้ำทะเลที่ผสมกับปราณทารก
เหนือท้องทะเลไร้ขอบเขต ลู่เซิ่งที่ทารกจิตมีความสามารถหลอมรวมน้ำทะเลติดตัวมาด้วย ความเข้ากันได้กับน้ำทะเลอยู่เหนือขอบเขตที่จอมสัจจะระดับทารกจิตคนอื่นๆ จะจินตนาการออก
แม้ปราณทารกของเขาจะมีอานุภาพไม่เท่าจอมเทวะคนอื่นๆ แต่พูดถึงพลังที่ใช้เคลื่อนไหวน้ำทะเล ถ้าหากบอกว่าปราณทารกหนึ่งส่วนของจอมเทวะทั่วไปสามารถใช้น้ำทะเลได้สิบตัน อย่างนั้นปราณทารกหนึ่งส่วนของเขาก็ใช้น้ำทะเลได้หนึ่งร้อยตัน
แถมเขายังมีปริมาณปราณทารกมากกว่าจอมเทวะทั่วไปถึงห้าพันเท่าอีก…
ตอนนี้เพียงแค่ปล่อยปราณทารกส่วนเล็กๆ ออกมาประสานกับน้ำทะเล ก็สร้างประสิทธิผลอันน่าสะพรึงกลัวที่เหมือนกับคลื่นขนาดใหญ่ได้แล้ว
ถึงขั้นที่น้ำทะเลมหาศาลไม่สนใจแรงโน้มถ่วง ถูกดึงไปบนฟ้าแล้วพลิคว่ำลงมา แรงกระแทกที่เกิดขึ้นต่อให้เป็นทหารปีศาจแม่ทัพปีศาจของเผ่าพันธุ์ทะเลก็รับไม่ไหว บาดเจ็บสาหัสล้มตายในพริบตา
เผ่าเต่าดำยังดี เนื่องจากมีกระดองเต่าที่แข็งแรงทนทาน ผู้ที่มีพลังอาคมล้ำลึกจำนวนไม่น้อยรอดชีวิต ส่วนทหารปีศาจที่อ่อนแอไม่มีทางรอดแล้ว
เมื่อน้ำทะเลยิ่งใหญ่นั้นกดทับลงมา ก็แทบจะถูกบดขยี้เป็นเนื้อบดในพริบตา
น้ำทะเลที่ลู่เซิ่งใช้พลังอาคมควบคุมได้อย่างชัดเจนมีอย่างมากสุดแค่มากกว่าสิบล้านตัน แต่ว่าเมื่อบวกน้ำทะเลที่เขาควบคุมกับน้ำทะเลที่ม้วนตัวขึ้นมาเข้าด้วยกัน กลับสูงมากกว่าร้อยล้านตัน!
พึงทราบว่าในตอนที่ลู่เซิ่งอยู่บนโลกเดิม ทะเลสาบซีหูที่อยู่ในหังโจวมีปริมาณกักเก็บน้ำเพียงสิบสี่ล้านตันเท่านั้น
หรือหมายความว่า น้ำทะเลที่เขาม้วนขึ้นมาในครั้งนี้เทียบได้กับมีทะเลสาบซีหูสิบแห่งตกลงมาจากฟากฟ้า
อีกทั้งยังมีน้ำทะเลพิเศษจำนวนมากที่หลอมรวมกับปราณทารกของจอมสัจจะอยู่ด้วย
ท่ามกลางเสียงครืนครัน การสั่นสะเทือนของลูกคลื่นมีเสียงกรีดร้องแทรกอยู่ด้วย แต่ไม่นานเสียงกรีดร้องก็ถูกกลบหายไปในกระแสคลื่น
เวลาผ่านไปชั่วถ้วยน้ำชา น้ำทะเลบนเกาะค่อยๆ ไหลหายไปช้าๆ ด้วยการควบคุมของลู่เซิ่ง เผยให้เห็นพื้นดินในตอนแรก
สิ่งก่อสร้างทั้งหมดบนเกาะหลังจากถูกถล่มเหลือแค่เศษซาก ค่ายกลเหลือแต่ลวดลายหลงเหลือเพียงบางส่วน
พวกต้นไม้ก้อนหินบ้างถูกถล่มแหลกลงบ้างโดนซัดหายไป ผิวเกาะเหมือนถูกมีดฝานไปชั้นหนึ่ง เรียบเนียนโล่งเตียนสุดเปรียบปาน
เผ่าเต่าดำที่รอดชีวิตส่วนหนึ่งร่ำไห้ตะโกนหาครอบครัวของตัวเองในซากปรักหักพัง
เนินเล็กในตอนแรกถูกถล่มจนเรียบ ร่องลึกและหุบเขาในตอนแรกถูกปรับจนแบนราบ ลำธารในตอนแรกหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
พวกปิงเสินจื่อนอนหายใจรวยรินอยู่บนหินบริเวณหาดทรายที่เหลือรอดบนเกาะ พวกเขาที่ลู่เซิ่งมองเป็นเป้าหมายเป็นการเฉพาะถูกน้ำทะเลที่มีปราณทารกโจมตีใส่ ตอนนี้แต่ละคนต่างบาดเจ็บภายใน กระดิกกระเดี้ยไม่ได้ อยู่ในสภาพใกล้ตายเต็มที
ไม่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้น แม้แต่เซียนพรตอสรพิษสายลมกับฟู่จิ้นก็โดนลูกหลงจนได้รับบาดเจ็บสถานเบาไปด้วย นี่เป็นการเตือนเล็กๆ ที่ลู่เซิ่งมอบให้พวกเขา
พวกทหารของถ้ำยุทธพฤกษาที่มีเป็นส่วนใหญ่โดนลูกหลงไปเพียงเล็กน้อย เป็นที่เห็นได้ถึงพลังการควบคุมอันน่าหวั่นสะพรึงของลู่เซิ่ง
จิตวิญญาณระดับอริยะเจ้าของเขายิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าจอมเทวะในระดับธรรมดาไม่ทราบกี่เท่า นี่เป็นสาเหตุที่เขาควบคุมได้อย่างแม่นยำ
เวลานี้แม่ทัพปีศาจฉลามมังกรตนนั้นนอนอยู่ท่ามกลางผู้คนด้วยสีหน้าที่ซีดขาวไร้สีเลือด ปราณโอสถถูกทำลายจนเกลี้ยง ครั้งนี้ต่อให้กลับไปรักษาอาการบาดเจ็บ ก็เกรงว่าจะไม่อาจกลับสู่ระดับสร้างโอสถได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นอวัยวะภายในของเขายังได้รับความเสียหายอย่างสาหัสจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดด้วย
“เจ้า…ถึงกับ…เป็นระดับทารกจิต…” เขามองลู่เซิ่งด้วยสีหน้าสิ้นหวัง สูดลมหายใจเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่สองตาจะแตกซ่าน หมดลมหายใจไป
คนอื่นๆ ต่างเงียบงันไร้วาจา แทบไม่กล้าระบายลมหายใจแรง
เซียนพรตอสรพิษสายลมกับฟู่จิ้นกลับมาอย่างเงียบเชียบ ทิ้งตัวลงยืนบนเกาะตามลู่เซิ่ง
ทหารปีศาจกับแม่ทัพปีศาจกลุ่มใหญ่ส่งเสียงโห่ร้องพลางหัวเราะชอบใจ พุ่งเข้าหายอดฝีมือเต่าดำบางส่วนที่เหลือรอด
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บนโลกจะไม่มีเผ่าเต่าดำอีกแล้ว…” ฟู่จิ้นมองภาพนี้ด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ประมุขถ้ำทรงพลังสะท้านโลก ดุจเทพเยือนสี่สมุทร!” เซียนพรตอสรพิษสายลมสีหน้าฉายแววบ้าคลั่ง ดวงตากลอกกลิ้ง อยู่ๆ ก็ร้องเสียงดัง
“กลืนสมุทร!” เขาใช้ปราณโอสถขยายเสียงเพื่อถ่ายทอดเสียงไปรอบๆ
ด้านในเขตทะเลรอบๆ ที่มีเกาะเป็นศูนย์กลางยังมีทหารปีศาจซึ่งเป็นปีศาจปลาและปีศาจหอยที่ยังไม่ได้ขึ้นเกาะเป็นจำนวนมาก เมื่อได้ยินเสียงนี้ ก็พากันชูอาวุธขึ้นพลางร้องตะโกนด้วยสีหน้าคลุ้มคลั่ง
“กลืนสมุทรๆๆ!”
ทหารปีศาจกับแม่ทัพปีศาจจำนวนนับหมื่นต่างก็ยอมสยบต่อพลังอาคมอันยิ่งใหญ่ของลู่เซิ่ง เวลานี้ในห้วงสมองของเผ่าปีศาจทั้งหมดเหลือแค่ชื่อชื่อเดียวเท่านั้น
“กลืนสมุทร!”
“กลืนสมุทร!”
“กลืนสมุทร!”
“กลืนสมุทร!”
…
เคร้ง!
ตูม!
จอมสัจจะอวิ๋นเหย่พลิกมือชักกระบี่ ต่อสู้กับนักพรตอาภรณ์ดำตรงหน้าหลายร้อยกระบวนท่าในชั่วอึดใจ
แสงสายฟ้า เปลวเพลิง ก้อนเมฆ คมพายุ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่พลังอาคมซึ่งเปลี่ยนเป็นกึ่งลวงตานับไม่ถ้วนถูกกระตุ้นขึ้น ระเบิดและดับสลายรอบๆ ตัวคนทั้งสองอย่างต่อเนื่อง
ใต้ดวงอาทิตย์สีทอง เหนือทะเลเมฆไร้สิ้นสุด
ตูม!
นักพรตอาภรณ์ดำร่างสั่นสะท้าน พร้อมกับปลิวกระเด็นออกไป เขาพลิกมือเก็บกระบี่ยาวเข้าฝัก ก้มมองเส้นเลือดเล็กๆ เส้นหนึ่งบนข้อมือของตัวเอง ความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ที่ฉายอยู่ในดวงตามาตลอดหลายร้อยปี ในที่สุดตอนนี้ก็กลายเป็นความเงียบงัน
“ท่านชนะแล้ว”
จอมสัจจะอวิ๋นเหย่พลิกมือเก็บกระบี่ยาวเข้าฝักเช่นเดียวกัน สองตาเหมือนมีด เมฆลอยอยู่รอบๆ ตัว ยากจะแยกแยะว่าเป็นเซียนหรือพระพุทธ
“ขอบคุณเจ้าสำนักที่สั่งสอน”
ใครก็นึกไม่ถึงว่า จอมสัจจะอวิ๋นเหย่แห่งวิถีธรรมะจะไม่ได้ไปยังโพ้นทะเล หากแต่มาถึงสำนักกระบี่เทวะและลอบท้าสู้กับเจ้าสำนักกระบี่เทวะก่อน
“ทว่าถึงแม้ท่านจะชนะแล้ว แต่หากคิดจะเอากระบี่เทวะหยกวิจิตรไป เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้” เจ้าสำนักระบี่เทวะส่ายหน้าพลางยิ้มขื่นขม
อวิ๋นเหย่ได้ยินดังนั้นก็หยีสองตา “เจ้าสำนักเหตุใดกล่าวเช่นนี้”
“อมิตาภพุทธ ไม่เจอกันหลายปี ตอนนี้ท่วงท่าดูดีขึ้นกว่าเดิม น่าชื่นชมน่ายินดีนัก” อยู่ๆ แสงสีทองหลายสายก็ระเบิดขึ้นรอบๆ อย่างฉับพลัน
พระภิกษุชราสี่รูปห่มจีวรสีทองและถือไม้เท้าพระธรรมล้อมอวิ๋นเหย่ที่มีสีหน้าเคร่งขรึมไว้
“ร้อยปีก่อนอาตมาเคยทำนายว่า ประสกกระหายเลือดมากเกินไป ต้องมีสักวันที่สร้างหายนะให้แก่ใต้หล้า น่าเสียดายครั้งกระโน้นถูกจอมเทวะของวิถีธรรมะลงมือขัดขวาง” พระภิกษุชราคนหนึ่งก้มหน้าพนมมือด้วยสีหน้าจริงจัง กล่าวว่า “ตอนนี้ประสกสำเร็จวิชา ในที่สุดก็ปรากฏเงามาร น่าเสียดายที่ตอนนั้นอาตมาไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาด ทว่าวัวหายล้อมคอก ตอนนี้แม้จะสายไปแล้ว แต่ต่อให้ต้องละทิ้งสังขารของอาตมา ก็ต้องแย่งชิงความหวังให้แก่สรรพสัตว์ในใต้หล้าให้จงได้!”
“เหลวไหล” เจ้าสำนักกระบี่เทวะได้ยินดังนั้นพลันขมวดคิ้ว “จอมเทวะอวิ๋นเหย่จะมีวิชาเงามารได้อย่างไร ศาสนาพุทธของพวกเจ้ายิ่งมายิ่งล้ำเส้นแล้ว!”
อริยสงฆ์สี่รูปมาถึงพร้อมกัน นี่เป็นจอมเทวะสี่คนที่แข็งแกร่งที่สุดของศาสนาพุทธ ปัจจุบันออกเคลื่อนไหวพร้อมกัน มีประสิทธิผลเท่ากับประมุขขุนเขาสี่คนของวิถีธรรมะผนึกกำลังลงมือ บ่งบอกว่าต้องการจะสังหารจอมเทวะอวิ๋นเหย่ให้จงได้ไม่ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยอะไรก็ตาม!
“นอกจากนี้ข้าเองก็รู้จักพลังของจอมเทวะอวิ๋นเหย่ดี แม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็แกร่งกว่าข้าไม่เท่าไหร่ ห่างจากคำพูดที่ว่าจะสร้างหายนะให้แก่ใต้หล้าอีกไกล พวกเจ้าชี้นกเป็นไม้ ทั้งยัง…” เพิ่งพูดถึงตรงนี้ เจ้าสำนักกระบี่เทวะพลันพูดอะไรไม่ออกแล้ว
เนื่องจากพระภิกษุชราหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากในทรวงอก เป็นผลสาลี่ทรงรีที่เปล่งแสงสีทองเจิดจ้า
อักขระสายพุทธวนเวียนอยู่ในแสงสีทองรอบๆ ผลสาลี่ผลนั้น อักขระแต่ละตัวมีความหมายของการปราบมารพิทักษ์ความดีงาม นี่เป็นสภาพที่ถูกธรรมชาติกระตุ้นขึ้น…
“ผลสาลี่สยบมาร…พวกเจ้า…!” เจ้าสำนักกระบี่เทวะลืมตาโต สมองดังลั่นอึงอล
เขาพลันหันไปมองจอมเทวะอวิ๋นเหย่
เห็นว่าเวลานี้อวิ๋นเหย่สูญเสียความเยือกเย็นในตอนแรกไปแล้ว แถมใบหน้ายังค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมโหดด้วย
“นึกไม่ถึงว่าจะถูกพวกเจ้าขัดขวางที่นี่…น่าเสียดายจริงๆ…” อวิ๋นเหย่ไม่ขยับริมฝีปาก กลับมีเสียงแปลกประหลาดชั่วร้ายดังออกมาจากด้านหลัง
ซู่…
ท้องฟ้ารอบๆ ที่ตอนแรกเป็นสีฟ้าคราม เวลานี้กลับถูกย้อมอาบเป็นสีดำน้ำหมึกอย่างกะทันหัน
ดวงอาทิตย์สีทองมืดสลัวลงอย่างรวดเร็ว ทะเลเมฆด้านล่างกลายเป็นสีดำสนิทด้วยความเร็วสูง เงามารขนาดยักษ์สีแดงก่ำค่อยๆ แผ่ขยายออกมาจากด้านหลังของอวิ๋นเหย่
“มารโบราณหรือนี่!” เจ้าสำนักกระบี่เทวะส่งเสียงอย่างตื่นตระหนก พร้อมกับถอยไปด้านหลังหลายร้อยหมี่ด้วยความเร็วสูงอย่างไม่รู้สึกตัว
“ศิษย์น้องทุกท่าน มีคำพูดว่าหากข้าไม่ลงนรก แล้วผู้ใดจะลงนรกใช่หรือไม่?!” พระภิกษุเฒ่าที่ถือผลสาลี่สยบมารไว้ในมือแสดงสีหน้าโศกเศร้า ปล่อยแสงสีทองออกมาจากบนร่างอย่างฉับพลัน ก่อนจะพุ่งร่างเข้าไป
พระอีกสามรูปส่งเสียงสรรเสริญพุทธคุณพร้อมกัน จากนั้นก็อุทิศร่างกลายเป็นแสงสีทองพุ่งเข้าใส่เงามาร
…
“หือ?”
ลู่เซิ่งที่อยู่ไกลออกมาในโพ้นทะเลหยีตาอย่างฉับพลัน ร่างหลักในหัวใจค่อยๆ ลืมตาขึ้นและเลียริมฝีปาก คล้ายกับรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างตื่นขึ้น กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวหลายสายแผ่ขยายออกมาจากร่างหลัก ทำให้ที่ว่างบริเวณรอบๆ บิดเบี้ยว
……………………………………….