ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 486 บ้าคลั่ง (2)
บทที่ 486 บ้าคลั่ง (2)
ควันไฟที่ระเบิดออกมาคงอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ สลายไป เผยให้เห็นพวกลู่เซิ่งที่อยู่ด้านใน
ลู่เซิ่งยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ เงาร่างห้าสายด้านหลังเขาพากันวนเวียนรอบตัวเขา ป้องกันอานุภาพจากการระเบิดตัวตายทั้งหมดเอาไว้ ทำให้ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย
เพียงแต่ตอนนี้ลู่เซิ่งไม่เหลือบแลซากศพของเงาคนหลังจากการระเบิดด้วยซ้ำ หากมองข้ามศึกที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดในเขตทะเลไปหยุดอยู่บนร่างคนอ้วนหัวล้านที่มีร่างกายใหญ่หนาด้านหน้า
คนอ้วนผู้นี้มีร่างสูงสองหมี่กว่าๆ แต่ตัวกลับกว้างถึงสามหมี่กว่าๆ เป็นเหตุให้อ้วนจนไม่อาจบรรยาย ไขมันบนร่างซ้อนทับกันเหมือนกับสวมเสื้อตัวโคร่งที่ไม่พอดีตัวไว้หลายผืน ดวงตา จมูก ปาก ถูกเบียดอัดอยู่ตรงกลาง กินพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น ทำให้คนที่เห็นยากจะลืมเลือน
“เจ้าไม่ใช่เผ่าพันธุ์ทะเล” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว บนร่างอีกฝ่ายไม่ได้มีกลิ่นคาวจางๆ เหมือนเผ่าพันธุ์ทะเล
“แม้ข้าจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์ทะเล แต่ก็ไม่อาจนั่งดูทุกชีวิตในเผ่าพันธุ์ทะเลประสบภัยพิบัตินี้อยู่เฉยๆ ข้าต๋าเหิงกง สหายร่วมเส้นทางตั้งฉายาไพเราะให้ว่า ราชารัฐบูรพาลี้ลับ ขอคำนับจอมสัจจะกลืนทะเล” คนอ้วนหัวเราะฮ่าๆ น้ำเสียงสงบนิ่งถึงขีดสุด
แต่ว่าคลื่นอันบิดเบี้ยวของจอมสัจจะซึ่งแผ่กระจายออกมาบนร่างเขาอย่างช้าๆ กลับไม่มีความสงบนิ่งแม้แต่น้อย พวกมันเริ่มกระจายมาอยู่รอบๆ ตัวลู่เซิ่งอย่างเกรี้ยวกราดแล้ว
แหล่งกำเนิดของความบิดเบี้ยวนี้ก็คือปราณทารกสีดำที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบๆ ตัวคนอ้วนผู้นี้
“ราชารัฐบูรพาลี้ลับหรือ รัฐบูรพาลี้ลับของเจ้าอยู่ห่างจากสี่ทะเลมากกว่าพันลี้ นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะกล้าเอื้อมมือมายังเขตทะเลแล้ว” ลู่เซิ่งพิจารณาคนอ้วนตรงหน้าอย่างละเอียด
“หัวหน้าเผ่าช้างทะเลเป็นบุตรบุญธรรมของข้า จอมสัจจะกลืนทะเล ท่านสังหารคนของบุตรบุญธรรมของข้าอย่างเหิมเกริม ไม่แบ่งแยกเขียวแดงดำขาว เพียงสร้างความวุ่นวายให้แก่โพ้นทะเลเพื่อหาประโยชน์เท่านั้น แม้แต่ผู้บำเพ็ญบนแผ่นดินอย่างข้ายังทนมองต่อไปไม่ไหว วันนี้ไม่อาจไม่ลงมือเอง ท่านทำบาปฆ่าสัตว์หนักหนาจนไม่อาจบรรยาย ถ้าหากหันกลับเข้าฝั่งทันเวลา ข้าจะละเว้นท่าน ไม่อย่างนั้นล่ะก็…” คนอ้วนผู้นี้หัวเราะเหอะๆ เสียงเย็น
“ไม่อย่างนั้นจะทำไม”
“ข้าได้แต่จัดการท่านด้วยตัวเอง เพื่อเซ่นสรวงดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนของแต่ละเผ่าที่ตายเพราะท่าน!” ราชารัฐบูรพาลี้ลับหัวเราะเย็นชาหลายครั้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร
“อาศัยเจ้า กับขยะที่ซ่อนหัวเผยหาง ไม่กล้าแม้แต่จะเผยโฉมข้างๆ เจ้าน่ะหรือ” สายตาของลู่เซิ่งหยุดอยู่กลางความว่างเปล่าที่อยู่ห่างจากราชาบูรพาลี้ลับไม่ไกล
“ลงมือ!” ราชารัฐบูรพาลี้ลับสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ก่อนจะตะโกนอย่างฉับพลัน
ทันใดนั้นมีเงาสีขาวสายหนึ่งพุ่งจากผิวทะเลเบื้องหลังลู่เซิ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า แล้วกระโจนเข้าใส่กลางหลังของลู่เซิ่งอย่างไร้เสียงเหมือนกับหนามแหลม
ราชารัฐบูรพาลี้ลับกับคนที่ซ่อนร่างใกล้ๆ เขาก็ลงมือเช่นกัน ปราณทารกของทั้งสองขยายออกมา กระตุ้นให้ความร้อนและแสงอาทิตย์นับไม่ถ้วนระหว่างฟ้าดินกลายเป็นทะเลเพลิงสีทอง แล้วกดทับมาหาลู่เซิ่งอย่างมืดฟ้ามัวดิน
‘จอมสัจจะสามคนหรือ ยังมีอีกคนที่แม้แต่เราก็หาไม่เจอ? ระบบของโลกใบนี้มีคุณค่ามหาศาลจริงๆ’ แทนที่จะตกใจ ลู่เซิ่งกลับยินดี
เผชิญหน้ากับการลงมือของคนทั้งสาม เขากลับไม่เคลื่อนไหว หากแต่มีปราณทารกสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนขยายออกมาจากทั่วทั้งร่างด้วยความเร็วสูง
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ปราณทารกบนร่างเขาถึงกับถูกพลังงานพิเศษบางอย่างสะกดเอาไว้ ความเร็วในการแผ่ขยายจึงเชื่องช้าถึงขีดสุด ยิ่งอย่าว่าแต่พลังที่ใช้กระตุ้นน้ำทะเลรอบๆ
“นึกจริงๆ หรือว่าพวกเรามารุมสังหารเจ้าโดยไม่ได้ศึกษามาก่อน” เงาคนสีขาวด้านหลังเหน็บแนมเสียงเย็น
“พลังอาคมสะกด?” ลู่เซิ่งนึกฉงน “มาอีก!”
เขาร่างสั่นสะท้าน ปราณทารกจำนวนมากพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง
ปราณทารกเหล่านี้เพิ่งทะลักออกมาก็ถูกพลังงานที่มองไม่เห็นสะกดและลากถ่วงไว้ ความเร็วเลยเชื่องช้าลงจนน่ากลัว ถึงขั้นไม่สามารถดูดซับปราณวิญญาณในฟ้าดินเพื่อใช้เป็นพลังทำลายล้างได้ทัน
“เจ้านึกว่าตอนนั้นเหตุใดเก้ามังกรจึงไม่คิดจะปกครองสี่ทะเลกัน” ราชารัฐบูรพาลี้ลับหัวเราะลั่น “มันไม่ใช่ไม่คิด แต่เพราะทำไม่ได้ต่างหาก!”
ครืน!
แสงสีทองและไฟสีทองกระหนาบโจมตีหน้าหลัง ห่อหุ้มลู่เซิ่งไว้ตรงกลางพร้อมเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ก่อนจะลากเป็นแสงสีทองรูปทรงดวงตาขนาดใหญ่
แสงสีทองเพิ่งระเบิดออก กลางอากาศรอบๆ ก็มีจุดแสงสีทองใหม่ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนถูกดึงดูดมาอย่างรวดเร็ว
ปราณทารกอันพิสดารสามชนิดกลายเป็นวัฏจักรอันน่ามหัศจรรย์ ดูดซับให้ไฟสีทองในแสงสีทองรอบๆ มารวมตัวกันตรงอาณาเขตที่ลู่เซิ่งอยู่อย่างบ้าคลั่งและรวดเร็ว
ความแตกต่างที่เห็นชัดที่สุดของจอมสัจจะทารกจิตกับโอสถทองคำก็คือสภาวะการโจมตีระดับจอมสัจจะไม่มีวันอ่อนแอลง หากแต่จะดูดซับพลังงานจากรอบๆ มาคงสภาพหรือถึงขั้นเพิ่มอานุภาพของตนได้โดยอัตโนมัติ
หากไม่มีการควบคุมของจอมสัจจะทารกจิต พลังงานชนิดนี้สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้ต่อไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งตราประทับจิตวิญญาณในทารกจิตที่อยู่ตรงใจกลางค่อยๆ สลายหายไปตามกาลเวลา
แต่หากจะรอให้ตราประทับจิตวิญญาณสลายหายไป หากเวลาไม่ถึงหลายพันหลายหมื่นปีก็อย่าคิดฝันเลย
ตอนนี้ในแสงไฟสีทองมีมังกรที่เกิดจากไฟสีทองสามตัวเลื้อยอยู่อย่างช้าๆ มังกรทองสามตัววนเวียนอยู่รอบๆ ช่องว่างทรงรีที่อยู่ตรงกลางเปลวไฟ ทั้งยังพ่นลมหายใจมังกรสีทองใส่ตรงนั้นตลอดเวลาขณะที่เลื้อยอยู่ด้วย
“ตอนนั้นเก้ามังกรพ่ายแพ้ต่อการโจมตีของพวกเราสามคน ได้แต่พาร่างที่บาดเจ็บไปรักษาตัวที่ก้นทะเล ไม่อย่างนั้นอาศัยคนของวิถีธรรมะที่มาทีหลัง คิดจะรุมสังหารมัน กลับเป็นแค่ความเพ้อฝันเท่านั้น” ราชารัฐบูรพาลี้ลับเอ่ยอย่างยิ้มเยาะ
“ราชากลับวางแผนไว้ดีนัก ทราบว่ามู่อวิ๋นจะมาเองหลังจากเผ่าพันธ์ทะเลใหญ่ปรากฏตัว” คนโปร่งแสงผู้นั้นเอ่ยชมเชย
“น่าเสียดาย มู่อวิ๋นอุตส่าห์บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นจอมเทวะ ตอนนี้กลับหลงผิดไป ทำให้พลังฝึกปรือหลายร้อยปีถูกทำลายในวันเดียว แต่ว่าขุมกำลังของถ้ำยุทธพฤกษาที่ใหญ่ขนาดนี้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว กลับช่วยลดกระบวนการยุ่งยากที่พวกเราต้องการรวบรวมกองกำลังได้ กล่าวไปประมุขถ้ำยุทธพฤกษานี่ถือว่าทำเรื่องดีๆ กับเขาเหมือนกัน” เงาคนอาภรณ์ขาวคนสุดท้ายค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น เป็นโฉมสะคราญสวมอาภรณ์ขาวที่มีหางเป็นงูร่างเป็นมนุษย์
“จะว่าไป เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าไฟจากอัคคีอาทิตย์เหมือนจะเบาลง” อยู่ๆ ราชารัฐบูรพาลี้ลับก็ส่งเสียงถามอย่างประหลาด
“อย่างนั้นหรือ” โฉมสะคราญกับมนุษย์โปร่งแสงผู้นั้นมองไปยังส่วนลึกของแสงไฟที่อยู่ตรงกลางอย่างสงสัย
“เหมือนมีอะไรกำลังเคลื่อนไหว!” โฉมสะคราญพลันสีหน้าเปลี่ยนไป “หรือว่า…”
“เป็นไปไม่ได้! นั่นคืออัคคีอาทิตย์ หนึ่งในเปลวไฟที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งแม้แต่พวกเรายังไม่กล้ากระทบนะ! อย่าว่าแต่ทารกจิตช่วงต้น ต่อให้เป็นจอมมรรคาของวิถีธรรมในระดับทารกจิตช่วงสูงสุดเมื่อครั้งกระโน้น ก็ได้รับบาดเจ็บเพราะไฟชนิดนี้ จนต้องถอยกลับไปเฝ้าสำนักเหมือนกันไม่ใช่หรือ!” ประมุขรัฐบูรพากล่าวยืนยัน
“แต่ว่า…ข้าสังหรณ์ว่ามีตรงไหนสักแห่ง…ที่ไม่ถูกต้อง…” โฉมสะคราญผุดสีหน้าตกตะลึง รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ นางจึงรีบเงยหน้ามองด้านบนศีรษะ
เงาดำที่เหมือนกับเมฆดำผืนใหญ่ไม่ทราบว่าครอบคลุมท้องฟ้าเหนือศีรษะคนทั้งสามตั้งแต่ตอนไหน
“นั่นคือ…!” โฉมสะคราญผุดสีหน้าอึ้งงันแล้ว
“เป็นอะไรไป”
พวกราชารัฐบูรพาลี้ลับงุนงง จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้าตาม
“น้ำทะเล…ทำไมถึงไปอยู่บนฟ้าได้” ราชารัฐบูรพาลี้ลับส่งเสียงพึมพำเบาๆ อย่างประหลาดใจ
“แย่แล้ว! หนีเร็ว!” โฉมสะคราญกรีดเสียง นางไม่มองคนอื่นๆ หากหมุนตัวกลายเป็นแสงสีขาวพุ่งไปยังที่ไกล
อีกสองคนหน้าซีดเผือดในพริบตาเช่นกัน หมุนตัวคิดหลบหนี ทว่าไม่ทันการณ์แล้ว
น้ำทะเลหลายสิบล้านตันกลางท้องฟ้าถล่มลงมา ชั่วขณะนั้นเหมือนกับเหนือผิวทะเลมีเสาน้ำขนาดใหญ่มโหฬารโผล่ขึ้นมา
เสาน้ำสีฟ้าที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกงหลี่
ตูม!
คลื่นเสียงที่ยิ่งใหญ่เสียงดังมาก สั่นสะเทือนเยื่อหูของเผ่าวารีส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ จนไม่อาจได้ยิน ทหารปีศาจกับแม่ทัพปีศาจจำนวนมากที่โดนลูกหลงพากันถูกพลังกระแทกอันยิ่งใหญ่ชนใส่จนกระดูกป่นไปทั้งร่าง
จอมสัจจะทารกจิตสามคนที่ถูกเสาน้ำกระแทกใส่ตรงๆ หน้ามืด แต่ละคนโดนน้ำทะเลที่หลอมรวมกับปราณทารกอยางน้อยหลายล้านตันพุ่งชนใส่
พลังฝึกปรือของพวกเขาอย่างมากสุดต้านน้ำทะเลปราณทารกได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ส่วนที่เหลือใช้กายเนื้อต้านรับเอาไว้
สองในสามคนกระอักเลือด ของวิเศษคุ้มกันดับแสง แล้วสลบไสลไป ราชารัฐบูรพาลี้ลับที่เหลืออยู่คนเดียวยังนับว่ามีสติอยู่ แต่เลือดเนื้อทั่วร่างเลอะเลือน ไขมันบนร่างถูกถลกออกไปมากกว่าครึ่ง ร่างกายอ้วนใหญ่ลดลงกลายเป็นร่างที่สมส่วน
อัคคีอาทิตย์กลางเสาน้ำถูกพลังงานอันยิ่งใหญ่ชนสลาย และถูกความเย็นของน้ำทะเลที่หลอมรวมกับปราณทารกหักล้าง ในที่สุดเปลวไฟที่มีอานุภาพน่าสะพรึงชนิดนี้ก็ค่อยๆ มืดลงเพราะถูกพลังอาคมซึ่งเหนือกว่าตัวเองหลายร้อยหลายพันเท่ากระแทกใส่ เผยให้เห็นลู่เซิ่งที่อยู่ข้างใน
“ที่อัคคีอาทิตย์ได้ชื่อว่าเจอน้ำไม่ดับมอด เป็นเพียงเพราะว่าน้ำที่ใช้มีเยอะไม่พอเท่านั้น” เขาขยับห้านิ้วข้างขวา บนนิ้วทั้งห้ามีร่องรอยถูกเผาอย่างชัดเจน
นี่เป็นร่องรอยเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลือจากการลงมือของจอมสัจจะสามคน ความจริงตอนแรกเขาไม่ควรได้รับบาดเจ็บ แต่เป็นเพราะเขาสลายพลังอาคมเองเพราะอยากทดลองใช้มือแตะกับอัคคีอาทิตย์เท่านั้น ผลลัพธ์จึงกลายเป็นเช่นนี้
‘แต่ว่าอัคคีอาทิตย์นี้มีอานุภาพรุนแรงจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเรามีพลังอาคมน่าตกตะลึง เปลี่ยนเป็นคนอื่นคงจะเสร็จพวกมันจริงๆ ยังมีความสามารถที่ควบคุมและส่งผลกระทบต่อความเร็วของพลังอาคมในตอนแรกสุดนั่นอีก ต้องเค้นให้บอกให้ได้ สามคนนี้ดูเหมือนจะมีของดีๆ ไม่น้อยทีเดียว’ ลู่เซิ่งมองจอมเทวะสามคนที่ถูกตนใช้น้ำทะเลจัดการซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
พวกเขาไม่ทันได้ใช้ความสามารถและพลังฝึกปรือก็ถูกลู่เซิ่งใช้กำลังบดขยี้ ต่อหน้าน้ำทะเลเทียมฟ้า วิชาใดๆ ก็ไม่มีประโยชน์ ได้แต่พังพินาศสิ้น
‘มีเคล็ดอาคมสามอย่างมาส่งให้ถึงที่ เรายังขาดประสบการณ์การฝึกฝนที่จับต้องได้ในขอบเขตทารกจิตพอดี ดูเหมือนอีกสองวันเราจะเลื่อนระดับได้แล้ว’ ลู่เซิ่งพึงพอใจ
พลังอาคมที่จะถูกใช้หากยกระดับพลังฝึกปรือของเขาในวันนี้กลายเป็นหลักพันไปแล้ว พลังอาคมจึงเริ่มไม่ค่อยพอใช้อีกต่อไป
พอดีที่จอมสัจจะทารกจิตสามคนตรงหน้าอยู่มานาน จะต้องหาของดีๆ จำนวนไม่น้อยจากตัวพวกเขาได้อย่างแน่นอน บางทีอาจจะได้พลังอาวรณ์ส่วนหนึ่งมาชดเชยด้วย
‘โลกใบนี้ช่างสุขสบายจริงๆ ขอแค่มีพลังอาวรณ์มากพอ เราก็จะแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่ก็ได้! ทารกจิตหรือ หยุดความก้าวหน้าของเราไม่ได้อยู่แล้ว’ ลู่เซิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้า หวนนึกถึงขีดจำกัดที่เจอตอนอยู่ในต้าอิน เขาชอบระบบการฝึกฝนของโลกใบนี้มากกว่า
‘อีกหนึ่งเดือนก็จะไร้คู่ต่อกรแล้ว ถึงตอนนั้นหลังจากแก้กรรมเสร็จ ค่อยตั้งใจศึกษาแก่นสารของอัคคีอนธการต่อ’ เขาวางแผนการในใจ
พลังฝึกปรือแทบจะได้รับการยกระดับอย่างไร้ขีดจำกัดด้วยการเรียนรู้จากพลังอาวรณ์ ขีดจำกัดเพียงหนึ่งเดียวคือกายเนื้อของเขาจำเป็นต้องมีช่วงเวลาปรับตัวระยะหนึ่ง แต่ภายใต้การหล่อเลี้ยงจากปราณวิญญาณ การปรับตัวเล็กน้อยนี้กลับสั้นจนน่าสงสาร
…
จงหยวน
“ผ่านไปอีกหนึ่งปี! ข้าก็จะฟื้นฟูโดยสมบูรณ์แล้ว! นอกจากนี้พลังของข้า…ยังแข็งแกร่งขึ้นด้วย…”
อวิ๋นเหย่ที่ลอยอยู่เหนือทะเลเมฆรู้สึกพึงพอใจถึงขีดสุดขณะสัมผัสปราณมารอันยิ่งใหญ่ที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งในร่างกาย
“หากเร็วขนาดนี้ ขอแค่หนึ่งปี ข้าก็จะไร้คู่ต่อกรในใต้หล้า และปกครองทั่วทั้งสี่ทิศได้แล้ว! ต่อให้เป็นวิถีธรรมะก็เป็นแค่ขุนพลพ่ายด้วยมือของข้าเท่านั้น!”
“ถึงตอนนั้นใครมาขวางก็สังหารมันผู้นั้น พระพุทธขวางสังหารพระพุทธ! มารแสดงแสนยานุภาพ! เผ่ามารโบราณของข้าในที่สุดก็มีวันกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งแล้ว! ฮ่าๆๆๆ!”
อวิ๋นเหย่สองตาแดงฉาน บ้าคลั่งโดยสมบูรณ์
……………………………………….