ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 490 ตามหาครอบครัว (2)
บทที่ 490 ตามหาครอบครัว (2)
ลัวเฉินตอบสนองไม่ทัน แต่ความรู้สึกใกล้ชิดที่มาจากสายเลือดทำให้เขาสัมผัสไม่ได้ถึงเจตนาร้ายของอีกฝ่าย สมองเขาเพียงหยุดทำงานไปเล็กน้อย จึงคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่อยู่ชั่วขณะเท่านั้น
ตอนนี้พอได้ยินว่าจะถูกคนพาไป เขาก็ขัดขืนทันที “ไม่! รอประเดี๋ยว! ตระกูลลัวไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียว ยังมีน้องสาวข้าอีกคน นางเพิ่งจะถูกคนที่ไม่ทราบความเป็นมาพาตัวไปด้วย!”
“หือ!?” ลู่เซิ่งชะงัก หันกลับมา “เมื่อครู่เจ้าบอกว่ายังมีน้องสาวอีกคนหรือ”
“ใช่…” ลัวเฉิงตกใจเพราะสายตาของเขา พลันขลาดกลัวเล็กน้อย
ลู่เซิ่งหันไปมองผู้ครองเขาฉีซัน
“ไปตรวจสอบดูว่าใครกล้าแตะต้องสายเลือดตระกูลลัวของข้า ถ้าเจอแล้วให้ฆ่าทิ้งทันที จงฆ่าผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ข้าไม่ชอบความยุ่งยาก”
ผู้ครองเขาฉีซันพยักหน้า ก่อนจะหมุนตัววูบไหวร่างหายไปจากที่เดิมอย่างฉับพลัน
ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของนาง ดังนั้นเรื่องราวบางอย่างได้แต่ให้นางจัดการเอง
“เอ่อ…จริงสิ น้องสาวข้า…” เดิมทีลัวเฉิงยังคิดจะพูดว่าความจริงลัวอิงไม่ใช่สายเลือดตระกูลลัว แต่ตกใจเพราะสายตาของลู่เซิ่งเสียก่อน ทั้งยังตกตะลึงกับท่าร่างอันพิสดารของสตรีนางนั้นอีก เลยไม่ทันได้พูดประโยคหลัง
“อะไร?!” ลู่เซิ่งก้มหน้าจ้องเขา
“ไม่…ไม่…” ลัวเฉิงเพียงรู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วร่าง เขารู้สึกได้ว่าหากตนบอกความจริง เกรงว่าจะถูกคนตรงหน้าทุบตีจนตาย
ลู่เซิ่งร้อนใจยิ่ง เขาต้องการรีบแก้กรรม เดิมทียังคิดจะเดินทางอย่างสบายๆ แต่พอได้ยินว่าตระกูลลัวเหลือแค่คนเพียงคนเดียว ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา หากว่าแก้กรรมของมู่อวิ๋นไม่ได้ การมาของเขาในครั้งนี้จะบรรลุผลครึ่งเดียว การแก้กรรมไม่สนใจแถบความก้าวหน้าของท่านหรอก
ทำสำเร็จเก้าสิบเก้าส่วนร้อย กับทำสำเร็จห้าสิบส่วนร้อย ผลลัพธ์ล้วนเป็นอย่างเดียวกัน
“ประเดี๋ยวก่อน! คนที่พาน้องสาวข้าไปไม่ใช่คนเลว เป็นคนดีที่อยู่ข้างกายนาง!” ลัวเฉิงพลันรู้สึกตัว จึงร้องขึ้น
“พูดให้จบในครั้งเดียวสิ” ลู่เซิ่งเอือมระอา ตบศีรษะเด็กน้อยผู้นี้ฉาดหนึ่ง
ผัวะ!
ลัวเฉิงงงงวย รู้สึกถึงความเจ็บปวดอันแสบร้อนที่ท้ายทอย เขาเห็นบุรุษขยับริมฝีปาก เขาที่เคยอ่านนวนิยายมาไม่น้อยเห็นแวบเดียวก็รู้ทันทีว่า เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะเป็นวิชาส่งกระแสเสียงถ่ายทอดความลับในตำนาน
ฉับพลันนั้นเขาใจเต้นระทึก อยู่ๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนมีทองคำตกจากฟากฟ้าลงมาทับตนเองจนหายใจไม่ออก
ถึงกับเป็นยอดคนผู้บำเพ็ญเพียรที่ใช้การส่งกระแสเสียงถ่ายทอดความลับได้! สวรรค์! เขากรีดร้องในใจ
“ไปเลยไม่ได้หรือ เช่นนั้นก็ได้แต่รออยู่ที่นี่ไปก่อน” ลู่เซิ่งหิ้วตัวเขาพลางสาวเท้าเข้าลานบ้าน
“นอกจากนี้ ข้าคือลัวมู่อวิ๋น พี่ใหญ่ของบิดาเจ้า ลุงใหญ่ของเจ้า อย่าลืมเรียกลุงใหญ่ล่ะ” เขากล่าว “จะว่าไปตอนข้าออกจากบ้าน บิดาเจ้ายังเป็นเด็กน้อยที่สวมกางเกงเปิดเป้าอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าพริบตาเดียวลูกชายจะโตขนาดนี้แล้ว”
ลัวเฉิงไร้คำพูดโต้ตอบ
…
ห่างจากหมู่บ้านตระกูลลัวออกไปยี่สิบกว่าลี้ แม่น้ำมังกร
ลัวอิงที่สวมเสื้อคลุมสีดำกับบุรุษอาภรณ์ดำค่อยๆ ปีนขึ้นเรือใหญ่หุ้มเหล็กลำหนึ่งที่หยุดอยู่บนผิวแม่น้ำ
ลมแม่น้ำพัดพาให้ผมยาวของนางปลิวไปด้านหลัง
ขณะกำลังจะออกจากบ้านเกิดที่ตนใช้ชีวิตมาสิบกว่าปีแห่งนี้ ลัวอิงอดชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองเนินรกร้างที่กว้างขวางด้วยสีหน้าซึ่งฉายแววอาลัยอาวรณ์อยู่ชั่วขณะไม่ได้
คนสวมอาภรณ์ดำที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็ร้อนใจเล็กน้อย “ประมุขวิญญาณ พวกเราต้องรีบลงมือให้เร็วที่สุด ตอนนี้ได้รวบรวมทรัพยากรเตรียมออกจากรัฐจ้าวแล้ว จะต้องมีคนรู้ตัวแล้วอย่างแน่นอน ถ้าหากยังช้าอีก เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะถูกอีกฝ่ายฉวยโอกาสได้”
“ข้าทราบแล้ว…” ลัวอิงพยักหน้าเบาๆ
ทั้งสองทยอยกันขึ้นเรือใหญ่ภายใต้การคุ้มครองของคนสวมอาภรณ์ดำจำนวนมากที่อยู่รอบๆ เรือใหญ่ไม่ได้มีแค่ลำเดียว หากเป็นขบวนเรือที่เกิดจากเรือห้าลำซึ่งขนาดแตกต่างกัน
กราบเรือของเรือหลักมีการติดตั้งช่องยิงปืนใหญ่และช่องยิงหน้าไม้เอาไว้ ทอดตามองไกล ยังเห็นทหารเรือสวมเกราะหนังเต็มยศและถืออาวุธคอยลาดตระเวนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
พรึ่บ!
ใบเรือถูกชักขึ้น แล้วถูกลมแรงพัดจนพองขยาย
“ออกเรือได้!” มีเสียงลูกเรือตะโกน เสียงสะท้อนไปมาระหว่างเรือหลายลำ
เสียงซ่าดังขึ้นเมื่อสมอเรือถูกถอนขึ้นมา
“รอประเดี๋ยว!”
ตอนที่ขบวนเรือกำลังค่อยๆ แล่นออกจากขอบฝั่ง เงาดำสายหนึ่งก็พุ่งมาแต่ไกล ก่อนจะหยุดยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือหลัก
“ผู้ใดกัน!?” บุรุษอาภรณ์ดำข้างกายลัวอิงผุดสีหน้าเย็นชา ชักมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากเอวด้านหลังแล้วเข้าไปหา
“นี่คือทัพย่อยที่สิบสามของทัพทะเลที่เก้าแห่งราชวงศ์อนัตตา! ใต้เท้า…” บุรุษอาภรณ์ดำเอ่ยปากเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง
“พวกท่านมีใครเห็นเด็กสาวชื่อลัวอิงบ้าง” สตรีสวมกระโปรงดำผู้นี้แสดงสีหน้าเย็นชาขณะทิ้งตัวลงยืนอยู่บนดาดฟ้าตรงหัวเรืออย่างแผ่วเบา กลิ่นอายประหลาดที่ทั้งเย็นยะเยือกและให้ความรู้สึกชาดิกแผ่กระจายออกมาจากบนร่างนางอย่างไร้สุ้มเสียง
เวลานี้บนเรือมีเสียงโลหะเสียดสีจากการชักอาวุธดังหลายครั้ง ลูกเรือจำนวนไม่น้อยคิดจะอ้อมไปด้านหลังเพื่อลอบจู่โจมคนผู้นี้เงียบๆ
“ผู้บำเพ็ญหรือ” บุรุษอาภรณ์ดำสีหน้าเคร่งขรึม “ได้ยินมาว่าปกติผู้บำเพ็ญของจงหยวนจะซ่อนตัวในที่ลับ ไม่ชอบเปิดเผยตัวตน อยากจะตามหาเพื่อทดลองฝีมือมาโดยตลอด แต่ล้วนไม่มีผลลัพธ์ ตอนนี้พอดีทีเดียว ให้ข้าซีฮาเต๋อเอ๋อร์ปีกเงินได้เห็นความสามารถของใต้เท้าหน่อยเถอะ!”
เสียงยังไม่ทันขาดลง เขาซึ่งถือมีดสั้นก็โถมตัวออกไปฟันมีดใส่อย่างเหี้ยมหาญ ปราณมีดสีทองอันร้อนเร่าในลักษณะหน้าหนึ่งหลังสองพุ่งออกไปจากบนคมมีด
ปราณมีดหมุนกลางอากาศ แล้วค่อยๆ กลายเป็นเงาลวงสีทองพร่ามัวที่เหมือนกับหัวสว่าน พร้อมกับที่พุ่งเข้าหาสตรีสวมกระโปรงดำ
เปรี้ยง!
ปราณมีดโดนเป้าหมาย หมอกควันสลายหายไป เผยให้เห็นใบหน้างดงามเย็นชาที่ไร้อารมณ์ของผู้ครองเขาฉีซัน
“ความอดทนของข้ามีจำกัด ไม่มีใครเห็นหรือ” ผู้ครองเขาฉีซันหงุดหงิดเล็กน้อยแล้ว
จอมสัจจะทารกจิตที่ยิ่งใหญ่เช่นนางมากระทำเรื่องนี้ด้วยตัวเองก็ถือว่าเสียเวลามากแล้ว ตอนนี้เหล่าขยะที่อยู่ตรงหน้าไม่ยอมตอบคำถามทันที คิดจะทำให้นางเสียเวลากว่าเดิมอีก
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องราวเกี่ยวพันถึงสายเลือดของเจ้าสำนัก นางคงไม่รีบไต่ส่วนคนทุกคนในรัศมีร้อยลี้ด้วยตัวเอง
“ไม่มีคนตอบหรือ ในสิบลมหายใจ ถ้าไม่ตอบ พวกเจ้าก็ไปตายให้หมดซะ อย่าคิดหลอกข้า ข้ารู้สึกได้ว่าในหมู่พวกเจ้ามีอารมณ์ของใครสักคนกำลังปั่นป่วนอยู่ อือ…ดูเหมือนที่นี่จะมีความเป็นไปได้สูงมาก…” ผู้ครองเขาฉีซันหยีตาเอ่ยเสียงเย็น
“ใต้เท้า…ใช่หาคนผิดหรือไม่” ตอนนี้บุรุษอาภรณ์ดำคนนั้นเก็บมีดสั้นพลางยิ้มแหย เหงื่อกาฬผุดเต็มข้างหน้าผาก มีดที่มีพลังฝึกปรือเจ็ดส่วนของเขาโดนใส่อีกฝ่าย แต่กลับเจาะสนามปราณคุ้มกันกายไม่เข้าด้วยซ้ำ
ความแตกต่างนี้…
“อยู่ที่นี่สินะ” ในที่สุดดวงตาของผู้ครองเขาฉีซันก็หยุดบนร่างเขา
บุรุษคนนั้นรู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้นหลายเท่าหลังจากถูกตาคู่นั้นจดจ้อง เลือดลมทั่วร่างแทบจะระเบิดทะลักออกมาจากในร่าง
“พอแล้ว ท่านผู้อาวุโส ได้โปรดอย่าทำร้ายคนอื่นเลย ข้าคือลัวอิง ไม่ว่าท่านจะหาข้าทำไม ข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว” ในที่สุดลัวอิงก็อดเดินออกมาไม่ได้
แม้บุรุษอาภรณ์ดำจะชอบใช้วาจาหยาบคาย แต่ก็ซื่อสัตย์ต่อนางมาโดยตลอด นางจึงไม่อยากให้เขาบาดเจ็บเพราะตัวเอง
“เจ้าคือลัวอิงหรือ” ผู้ครองเขาฉีซันพลันจ้องมองเด็กสาว พิจารณาตัวนางอย่างละเอียด
“ข้าเอง” ลัวอิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายตรงๆ อย่างกล้าหาญ
“รอประเดี๋ยว!” บุรุษอาภรณ์ดำตะโกนเสียงดัง “ท่านเป็นคนที่พรรคเทพเงาทมิฬส่งมา เพื่อพาตัวประมุขวิญญาณของพวกเราไปกระมัง!” อยู่ๆ เขาก็ไม่เสียดายชีวิตของตัวเองเหมือนกับไม่กลัวตาย เปลวไฟสีแดงเพลิงลุกไหม้ขึ้นทั่วร่างเขา ร่องรอยสีขาวรูปกางเขนปรากฏขึ้นบนศีรษะของเขาพร้อมกับหมุนวนอย่างต่อเนื่อง
อ๊าก!
เขาที่ถือมีดโถมตัวใส่ผู้ครองเขาฉีซันพร้อมร้องตะโกน
เปรี้ยง!
ผู้ครองเขาฉีซันดึงตัวลัวอิงไว้ แล้วใช้ฝ่ามือฟาดไปกลางอากาศ ทำให้บุรุษอาภรณ์ดำฝังตัวลงไปกับดาดฟ้าเรือ
“ตามข้าไป มีคนต้องการพบเจ้า!” นางพาคนทะยานร่างขึ้น บินไปยังที่ไกลในพริบตาเดียว
“ประมุข…วิญญาณ…!” บุรุษอาภรณ์ดำที่ร่างฝังอยู่บนผิวดาดฟ้าเรือ กระอักเลือดสดๆ ออกมา สติเลือนราง
“ใต้เท้าหลิงเว่ย! สู้เขา!”
“ใต้เท้าหลิงเว่ย อ๊าก!”
“อ๊าก! ใต้เท้าหลิงเว่ยกระอักเลือดอีกแล้ว!”
“ยา! เร็วเข้า!”
บริวารคนอื่นๆ ที่ตอบสนองไม่ทันรีบรุมล้อมเข้ามา
…
หมู่บ้านตระกูลลัว
“เอ่อ…” ความจริงลัวเฉิงนึกสถานะที่อาจเป็นไปได้ของบุรุษผู้นี้ออกแล้ว สมัยยังเด็กเขาเคยได้ยินบิดามารดาพูดถึงลุงใหญ่ผู้นี้อยู่บ่อยๆ บอกว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่มีความหวังมากที่สุดในการสร้างกิจการท่ามกลางคนหลายรุ่น น่าเสียดาย…ที่หายตัวไปอย่างลึกลับตอนยังหนุ่ม จนกระทั่งถึงตอนแก่ก็ไม่ทราบไปอยู่ไหน
ตอนนี้พอได้ยินบุรุษเรียกตัวเองว่าลุงใหญ่ลัวมู่อวิ๋น เขาก็เชื่อไปแล้วเก้าส่วน
เป็นเพราะตระกูลลัวของพวกเขาเป็นแค่ตระกูลเล็กๆ ธรรมดาๆ จึงตกต่ำถึงขั้นที่ไม่มีเงินซ่อมแซมบ้านในตระกูล
ลัวเฉิงทนทุกข์ทรมานขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เห็นหมู่บ้านซึ่งบรรพบุรุษส่งมอบให้ตกต่ำลง
“มานั่งกับลุงใหญ่นี่ ทำเข้าความใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลายปีมานี้เสียหน่อย ครั้งกระโน้นข้าจำเป็นต้องออกจากจงหยวนและมุ่งหน้าไปยังโพ้นทะเลเพราะสาเหตุที่เล่าไม่ได้บางประการ ตอนนี้ท้องทะเลแห้งเหือดเป็นผืนดิน พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว…” ลู่เซิ่งมีความทรงจำทั้งหมดของนักพรตมู่อวิ๋นในหัว ตอนนี้พอนึกย้อนดู ย่อมรู้สึกเข้าอกเข้าใจ
ความจริงมู่อวิ๋นเป็นตัวเขาในโลกจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว สองคนเป็นคนเดียวกัน ดังนั้นจึงแยกจากกันไม่ได้
หลังจากถูกวางลง ลัวเฉิงก็นั่งบนเก้าอี้ในโถงรับแขกเป็นเพื่อนลู่เซิ่งอย่างระมัดระวัง
“ท่าน…ท่านลุงใหญ่ ท่านเป็นท่านลุงใหญ่ของข้าจริงๆ หรือ” เขารู้สึกว่าทุกอย่างเหมือนกับเรื่องเพ้อฝันโดยแท้ วินาทีก่อนหน้าเขายังเจ็บปวดใจเพราะน้องสาวจากลาไปโดยไม่ลา ทั้งรู้สึกท้อแท้จนปัญญาต่อความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ของสถานะและความสามารถระหว่างตนกับน้องสาวอยู่เลย
วินาทีถัดมา เขากลับมีท่านลุงที่ท่าทางดุร้ายมากคนหนึ่งโผล่มาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ…
“กรี๊ด! ปล่อยข้านะ! ท่านพี่!” อยู่ๆ นอกโถงใหญ่ก็มีเสียงร้องที่คุ้นหูดังขึ้นมา ผู้ครองเขาฉีซันที่ก่อนหน้านี้จากไปหิ้วตัวลัวอิงด้วยแขนข้างหนึ่งพุ่งเข้ามาในโถงใหญ่อย่างแผ่วเบา หลังจากนางทิ้งลัวอิงลงแล้ว ก็กลับไปยืนอยู่ด้านหลังลู่เซิ่งเงียบๆ
น้ำตาที่ลัวเฉิงเพิ่งหลั่งออกมายังไม่ทันแห้ง ตอนนี้เห็นลัวอิงผู้เป็นน้องสาวที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยบนพื้น เขากลับมองลู่เซิ่งด้วยสีหน้าอึ้งงัน
ไม่ใช่ท่าทางดุร้าย…แต่เป็นท่านลุงใหญ่…ที่ดุร้ายจริงๆ ต่างหาก…
ลัวอิงยืนอยู่ในโถงรับแขกด้วยสายตาสับสน เห็นพี่ชายตัวเองนั่งอยู่ ด้านข้างมีบุรุษหล่อเหลาที่เหมือนบิดาตนมากคนหนึ่งนั่งอยู่
รอบๆ ตกสู่ความเงียบสงัดอันแปลกประหลาดอยู่ชั่วขณะ
“คือว่า…” ลัวเฉิงเอ่ยปากเป็นคนแรก เขามองลู่เซิ่ง ก่อนจะมองลัวอิง พอสังเกตเห็นว่าลู่เซิ่งกำลังพิจารณาสีผมกับดวงตาของน้องสาวที่ต่างจากตนเองอย่างชัดเจน ก็เห็นท่าไม่ดี
“นั่นเป็นการกลายพันธุ์! สายเลือดกลายพันธุ์! น้องสาวข้า น้องสาวข้านาง…สมัยยังเด็กป่วยหนักมาก…ใช่แล้วป่วยหนักมาก!” ลัวเฉิงรีบกล่าวด้วยเสียงดังจากสติปัญญาที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ท่านพี่ข้า…” ลัวอิงทำหน้างุนงง คิดจะเอ่ยปาก แต่ถูกเสียงอันดังของลัวเฉิงหยุดไว้
“เจ้าลืมโรคร้ายในตอนที่เจ้ายังเป็นเด็กไปแล้วหรือ! ตอนนั้นข้าใช้เส้นทางบนเขา แบกเจ้าเดินหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อไปหาหมอในเมือง ลำบากทีเดียวกว่าจะรักษาหาย!” ลัวเฉิงอธิบายเสียงดังโดยไม่คิดด้วยซ้ำ ทางหนึ่งตะโกนทางหนึ่งขยิบตาให้น้องสาวอย่างบ้าคลั่ง
“เอ่อ…” ลัวอิงงงเล็กน้อย แต่สังหรณ์ว่าพี่ชายไม่มีวันทำร้ายตัวเองเด็ดขาด ดังนั้นนางที่ยังทำหน้างงอยู่จึงพยักหน้าอยู่ดี
ลัวเฉิงค่อยโล่งอก ก่อนจะลอบมองท่านลุงใหญ่มู่อวิ๋นที่นั่งอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง หวังว่าจะผ่านด่านนี้ไปได้
……………………………………….