ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 492 รวมตัว (2)
บทที่ 492 รวมตัว (2)
“ท่านแม่…?!” เยวี่ยหมิงจวนที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงร้องอย่างน่าสงสาร
“ให้ข้าจัดการเถอะ” หลิ่วเอ๋อร์เดินออกมาจากด้านข้างแล้วกล่าวเสียงเบา ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาปลอบใจให้ลู่เซิ่งด้วย
การออกมาในครั้งนี้ทำให้นางรู้จักเจ้าสำนักสี่สมุทรผู้ดุร้ายเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม เลยไม่ได้หวาดหวั่นพรั่นกลัวเขาเหมือนเมื่อก่อนหน้าอีกต่อไป หลังจากเข้าใจชีวิตของมู่อวิ๋น นางก็ปฏิบัติต่อบุรุษผู้นี้ด้วยอารมณ์ที่สงบนิ่งอย่างหนึ่ง
ลู่เซิ่งทราบว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะจัดการได้ จึงพยักหน้าเงียบๆ
ของบางอย่าง ไม่สามารถใช้พลังและความสามารถแก้ไขได้ เขาพลันเข้าใจบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่บ้าง
…
ลู่เซิ่งกับหลิ่วเอ๋อร์ใช้เวลาทั้งบ่ายจัดการเรื่องของเยวี่ยซิงจู
ความจริงพวกเขาไม่ได้คุยกับแม่ลูกคู่นี้นานเท่าไหร่ แต่ใช้เวลาไปกับการการคิดหาวิธีเปลี่ยนชีวิตของพวกนาง เพื่อให้นางมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ลู่เซิ่งให้ขุมกำลังขนาดย่อมของเผ่านางเงือกที่อยู่ที่นี่รับเยวี่ยหมิงจวนลูกสาวของเยวี่ยซิงจูเป็นศิษย์สำนัก และทิ้งหยกแขวนสำหรับคุ้มกันสามครั้งให้ทั้งสอง ก่อนจะผละจากไปอย่างแน่วแน่
ลู่เซิ่งได้แก้กรรมเรื่องของครอบครัวเสร็จสมบูรณ์แล้ว ต่อจากนี้ควรจะเป็นส่วนหลักที่แท้จริงสักที นั่นก็คือการจัดการวิถีธรรมะ
ลู่เซิ่งได้ยินข่าวส่วนหนึ่งขณะเดินทาง เกี่ยวกับชายแดนสี่ด้านที่กำลังเกิดเรื่อง ยังมีการปรากฏตัวของมารโบราณ และการมรณะภาพของอริยสงฆ์จากศาสนาพุทธ
ข่าวสารแพร่สะพัดติดๆ กันด้วยความเร็วสูง
วิถีธรรมะแทบไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร กลับเป็นค่ายพรรคสำนักต่างๆ ฝ่ายธรรมะก็ดี ฝายนอกรีตและฝ่ายมารก็ดี ต่างก็พากันลงมือ ทำศึกกันจนสถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวาย
ลู่เซิ่งใช้พลังอาวรณ์ไปสามพันกว่าหน่วยในตอนที่เลื่อนเป็นทารกจิตช่วงกลาง ในการมุ่งหน้าสู่วิถีธรรมะครั้งนี้ เขาตัดสินใจเลื่อนระดับถึงขีดสูงสุดเท่าที่จะทำได้เพื่อรับประกันความปลอดภัย จากนั้นจึงค่อยเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ตอนที่อยู่ห่างจากเขาประกายทองในนครธำรงวจีอันเป็นที่ตั้งหลักของวิถีธรรมะมากกว่าพันลี้ เขากับหลิ่วเอ๋อร์ถือโอกาสพักที่ตำบลเล็กๆ แห่งนี้ ตัวลู่เซิ่งเริ่มทำการเลื่อนสู่ระดับทารกจิตช่วงปลาย
…
ด้านในห้องชุดของโรงเตี๊ยม
ลู่เซิ่งซึ่งถือสุราแดงหมักจากองุ่นอยู่ในมือกำลังมองดูเวทีการแสดงงิ้วอันครึกครื้นด้านล่างที่ผู้คนมารวมตัวกัน เขาจิบสุราไปพลางชมการแสดงไปพลาง จนถึงตอนนี้เรื่องของเยวี่ยซิงจูยังคงทำให้เขายากจะสงบใจ เขาไม่เคยสัมผัสความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ความรู้สึกที่ทำให้เขาไม่คุ้นชินและจนปัญญานี้
โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตกแต่งอย่างหรูหรา หลายวันมานี้ได้จ้างคนสร้างเวทีงิ้วและเชิญคณะงิ้วหลายคณะมาผลัดกันขึ้นไปแสดง เพื่อแสดงอิทธิพลและสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นเพราะโรงเตี๊ยมเพิ่งขยายสาขา
แสงจันทร์ส่องลอดหน้าต่างลงมาตกกระทบพื้นห้องชุดดุจผ้าไหม
ลู่เซิ่งดูงิ้วไปพลาง คอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในร่างกายของตัวเองไปพลาง
การเรียนรู้ของดีปบลูเริ่มต้นไปแล้ว เขาใช้พลังอาวรณ์ไปห้าพันกว่าหน่วยในการเลื่อนจากช่วงกลางถึงช่วงปลาย
แต่ว่ากระบวนการเรียนรู้ในครั้งนี้ใช้เวลานานอยู่บ้าง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ได้หยุดอยู่ในสภาพเรียนรู้มาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ แล้ว
ลู่เซิ่งกำลังรอคอย
‘พูดถึงแค่ด้านอานุภาพอย่างเดียว ความจริงขอบเขตทารกจิตเทียบได้กับระดับอริยะเจ้าแล้ว หากคำนวณอย่างหยาบๆ ทารกจิตช่วงปลายสมควรเป็นขอบเขตเทวปัญญาของอริยะเจ้า ตอนนี้เราติดอยู่ในระดับดาวหยกมาโดยตลอด ขอดูหน่อยเถอะว่าทารกจิตในตอนนี้จะก้าวข้ามอุปสรรคนี้ได้ไหม’
โลกใบนี้มีพลังงานปราณวิญญาณชนิดพิเศษที่ต้าอินไม่มี
ดังนั้นหากขอบเขตทารกจิตของที่นี่ไปอยู่ที่ต้าอิน เกรงว่าจะไม่อาจได้รับการเติมเต็มเนื่องจากไม่มีพลังงานอย่างปราณวิญญาณ ถึงขั้นที่การปลดปล่อยปราณวิญญาณออกมาจะคงสภาพไว้ได้หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ
แต่ว่าความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ สารกาย และพลังจิตที่ยกระดับขึ้นในระดับทารกจิต กลับเป็นความรุดหน้าที่จับต้องได้
โดยเฉพาะปราณวิญญาณที่อยู่ในระดับทารกจิต ยังสามารถใช้พลังงานปราณวิญญาณในอากาศทุกรูปแบบ และสามารถสร้างสภาพแวดล้อมอันโหดเหี้ยมทุกรูปแบบออกมาได้อย่างง่ายดายเหมือนยกมือ
เงื่อนไขนี้ส่งผลที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาแก่นสารของไฟหยินอัคคีอนธการอันเป็นกฎเกณฑ์หลักของตัวลู่เซิ่ง
หลังจากค้นพบประโยชน์ข้อนี้ ลู่เซิ่งก็ค่อยๆ ปลดความสามารถของร่างหลักมากกว่าเดิม ดังนั้นการศึกษาแก่นสารของไฟหยินในยามอยู่ว่างของเขาจึงก้าวหน้าด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงถึงขีดสุด
พลังงานธาตุทุกๆ รูปแบบของโลกใบนี้ เช่น ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม หยินหยาง กระจายอยู่เต็มอากาศ แม้ลู่เซิ่งจะคุ้นเคยกับน้ำทะเลเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะผลาญพลังอาคมเพื่อฝืนใช้ธาตุชนิดอื่นๆ ไม่ได้
ในเวลาเดินทางสั้นๆ ไม่กี่วัน ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าในที่สุดพลังฝึกปรือระดับอริยะเจ้าที่ติดอยู่ในขอบเขตดาวหยกของเขาก็มีสัญญาณคลายตัวแล้ว
ทั้งๆ ที่คุณภาพจิตวิญญาณของเขาบรรลุเงื่อนไขมานานแล้ว แต่เป็นเพราะขอบเขตไม่ถึง ดังนั้นจึงไม่อาจเลื่อนสู่ระดับเทวปัญญาได้
เต๊งๆๆๆ
เสียงเคาะฆ้องที่เร่งร้อนด้านล่างดึงลู่เซิ่งออกจากภวังค์
เขาที่ได้สติกลับมาเห็นการแสดงงิ้วด้านล่างจบการแสดงแล้ว เหล่าชาวบ้านที่อยู่รอบๆ พากันแยกย้ายไป
ลู่เซิ่งดื่มสุราในมือจนหมด จากนั้นก็สังเกตในร่างอีกรอบ กลับค้นพบอย่างประหลาดใจว่าการเรียนรู้ได้จบลงแล้ว
‘นี่คือระดับทารกจิตช่วงปลายหรือ…’ ลู่เซิ่งรู้สึกได้ถึงความรู้สึกติดขัดของร่างกายที่ไม่ได้เจอมานาน จึงทอดถอนใจเล็กน้อย
เขามองกรอบบนอินเตอร์เฟสดีปบลู
[คัมภีร์ฟ้าคราม: ระดับทารกจิตช่วงปลาย คุณสมบัติพิเศษ: ปราณทารกเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเท่า เข้ากันได้กับห้วงสมุทร วิถีเทวลักษณ์วารีลี้ลับ]
‘อ้าว มีเทวลักษณ์วารีลี้ลับโผล่มานี่’ ลู่เซิ่งตกใจ สิ่งที่ทำให้เขาตกใจได้ในระดับและขอบเขตของเขา ณ วันนี้มีอยู่ไม่เยอะแล้ว แต่เทวลักษณ์วารีลี้ลับนี้ต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่
เขาเคยอ่านบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเทวลักษณ์นี้จากคัมภีร์ลับการสืบทอดของเผ่าพันธุ์ทะเลจำนวนมากมาก่อน
เทวลักษณ์หมายถึงความสามารถพิเศษที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังอาคมใดๆ ก็สามารถควบคุมการทำงานและเก็บกลับได้โดยใช้เพียงความคิด
ความสามารถพิเศษนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงอันพิสดารที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีพลังอาคมแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่มีใครทราบว่าสิ่งนี้มาได้อย่างไร แต่ว่าตัวเทวลักษณ์คงอยู่จริงๆ ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งตกใจไม่ใช่สิ่งนี้ หากเป็นลวดลายที่เหมือนกับดอกไม้สีน้ำเงินอมม่วงทรงขนมเปียกปูนที่โผล่มาบนหลังมือข้างซ้ายของตัวเอง
ยังไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น บนหลังมือของร่างหลักที่ขดม้วนตัวอยู่ในส่วนลึกของหัวใจมีเทวลักษณ์แบบเดียวกันโผล่มาเช่นกัน
‘คัมภีร์ลับได้บันทึกไว้ว่า ถ้าหากเทวลักษณ์เพิ่มจำนวนขึ้น จะกลายเป็นเทวฤทธิ์ หรือแบบแผนทำงานชนิดหนึ่งที่ควบคุมธรรมชาติฟ้าดินได้ตามกฎเกณฑ์’ ลู่เซิ่งเกิดความคาดหวังเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขายังเสียดายอยู่บ้าง เสียดายที่กายเนื้อของตนในโลกใบนี้มีค่าใช้จ่ายมากเกินไป ทำให้เกิดสถานการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลัง ทว่าตอนนี้หลังจากได้เทวลักษณ์วารีลี้ลับนี้มา เขากลับรู้สึกว่าการออกมาในครั้งนี้ได้กำไรแล้ว
‘พลังอาคมเพิ่มขึ้นเกือบห้าเท่า แทบเรียกได้ว่าเป็นสภาวะสูงเทียมฟ้าแล้ว คุณสมบัติพิเศษเข้ากันได้กับมหาสมุทรไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแค่มีเทวลักษณ์วารีลี้ลับโผล่มาเท่านั้น นี่คงจะเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดของระดับทารกจิตช่วงปลายกับระดับเขตอื่นๆ’
ลู่เซิ่งคล้ายฉุกใจถึงอะไรบางอย่าง บนร่างของผู้บำเพ็ญยิ่งใหญ่ทุกคนที่เคยมีการบันทึกบนคัมภีร์ และผู้บำเพ็ญที่มีขอบเขตมากกว่าระดับทารกจิตช่วงปลายขึ้นไปแทบทุกคน จะมีตราประทับอันน่าอัศจรรย์หลากหลายรูปแบบอยู่ไม่มากก็น้อย
ตอนนี้ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
‘ทดลองผลดูหน่อย’ เขาใคร่ครวญทำความคุ้นเคยกับพลังอาคมใหม่ที่เพิ่มขึ้นในร่าง ก่อนจะใช้พลังจิตกับกาน้ำชาบนโต๊ะ
ซู่…
น้ำชาสายหนึ่งลอยออกมาจากปากของกาน้ำชาโดยอัตโนมัติ แล้วหยุดอยู่กลางอากาศด้านหน้าลู่เซิ่ง ก่อนจะรวมตัวกันเป็นก้อนน้ำกลุ่มหนึ่ง
ลู่เซิ่งทราบวิธีการใช้เทวลักษณ์โดยอัตโนมัติ เขาเพียงแค่ใส่พลังแห่งจิตวิญญาณเข้าไปเท่านั้น
‘มีน้ำไม่พอ’เทวลักษณ์พลันฉายภาพเงาภาพหนึ่ง เหมือนกับภาชนะบรรจุน้ำอย่างหนึ่ง จำเป็นต้องบรรจุน้ำให้มากพอเสียก่อนถึงจะใช้ประโยชน์จากภาชนะได้
ลู่เซิ่งมองออกทันทีว่าเทวลักษณ์ยังมีน้ำไม่พอ ทั้งยังเป็นน้ำปริมาณมหาศาลด้วย
เขาไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะชี้ไปที่อากาศด้านหน้า
เทวลักษณ์บนหลังมือพลันเปล่งแสงสีน้ำเงิน
ชั่วขณะนั้นน้ำทะเลสีฟ้าปริมาณมากทะลักออกมาจากด้านหลังลู่เซิ่ง กลายเป็นสายน้ำสี่สาย แล้วรวมตัวในก้อนน้ำกลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง
ไม่มีภาชนะใดๆ ไม่มีเคล็ดอาคมและความสามารถใดๆ
ลู่เซิ่งเพียงใช้งานเทวลักษณ์เท่านั้น จากนั้นก็มองดูก้อนน้ำตรงหน้าดูดซับน้ำปริมาณมากด้วยความเร็วสูง โดยที่พื้นที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
‘นี่คือ…!’ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นปรากฏการณ์พิสดารนี้ ปรากฏการณ์ที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้โดยสมบูรณ์
‘มิน่าดีปบลูถึงได้ใช้เวลาเรียนรู้นานนัก…’ ความรู้สึกของลู่เซิ่งในตอนนี้ประหลาดมาก เขาเห็นคลื่นจากขั้นตอนและกระบวนการทุกๆ วินาทีที่เทวลักษณ์ปล่อยออกมาตอนทำงานได้อย่างชัดเจน แต่ว่าคลื่นของขั้นตอนเหล่านี้มีเยอะและซับซ้อนเกินไป หากแยกกัน เขายังพอมองเข้าใจ แต่พอรวมกันเมื่อไหร่ เขาก็งุนงงทันที
อลังการเหมือนกับใช้ความรู้ระดับประถมทำความเข้าใจว่าเรือบรรทุกเครื่องบินมีโครงสร้างอย่างไร…
เขาพลันรู้สึกได้ว่าระดับความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของดีปบลูคงจะห่างชั้นจากตนไปหลายปีแสงแล้ว…
ซู่…ซู่…
น้ำทะเลทะลักออกมาจากไข่มุกกลืนสมุทร แล้วไหลเข้าไปในก้อนน้ำตรงหน้าลู่เซิ่งไม่หยุด
ก้อนน้ำยังคงมีขนาดเท่ากำปั้นเหมือนเดิม สีกลับเริ่มค่อยๆ คล้ำขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนจากสีน้ำเงินในตอนแรกเป็นสีดำ
อาจจะมีน้ำทะเลสิบตัน ยี่สิบตัน มากกว่าร้อยตัน หรือมากกว่าพันตันทะลักไหลเข้าไปในก้อนน้ำ สีของก้อนน้ำเข้มมากขึ้น แรงดึงดูดอันพิสดารค่อยๆ กระจายออกมาจากผิวของก้อนน้ำ
สายตาของลู่เซิ่งเริ่มถูกก้อนทรงกลมตรงหน้าดึงดูดอย่างไม่รู้ตัว เขาเพ่งมองรอยกระเพื่อมเล็กๆ ด้านในก้อนน้ำอย่างละเอียด ลวดลายเหล่านั้นเหมือนกับกับกำลังรวมตัว เกี่ยวประสาน และตวัดวาดเป็นอะไรบางอย่าง
‘นี่คือ…’ ลู่เซิ่งเข้าใกล้เล็กน้อยเพราะต้องการมองผ่านสีน้ำเงินที่พร่ามัวให้ชัดขึ้นอีกหน่อยโดยไม่รู้ตัว
เส้นสายสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนเลื้อยไหลอยู่ในก้อนน้ำอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกับจิตรกรจำนวนนับไม่ถ้วนที่บิดหมุนตัวเพื่อตวัดพู่กัน และเหมือนกับสิ่งตกตะกอนจากน้ำทะเลจำนวนมาก พวกมันรวมตัวและแยกตัวตลอดเวลา แต่ยังคงว่ายวนไปมาเหมือนกับสิ่งมีชีวิต
‘นี่มัน!?’ อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็รู้สึกผิดปกติ
ความถี่ในการรวมตัวของเส้นสายสีดำทั้งหมดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ภาพที่เกิดขึ้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ซู่ๆๆ…
ก้อนน้ำเริ่มสั่นไหวน้อยๆ ส่งเสียงเหมือนมีบางอย่างแหวกอากาศ
ทันใดนั้นลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่านิ้วของตนเหมือนสัมผัสสิ่งที่เย็นเยียบและมีความพิเศษบางอย่าง เขากำลังจะก้มหน้ามองดู กลับพบอย่างกะทันหันว่าก้อนน้ำตรงหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ครืนๆ…
สายน้ำทั้งหมดรวมตัวและบีบอัดเข้าหากันอย่างคลุ้มคลั่ง สายสีดำนับไม่ถ้วนรวมตัวกันที่จุดหนึ่งในความมืดมัวสีดำอมน้ำเงินด้านในก้อนน้ำ
ด้านในจุดวงกลมสีดำสนิท ดวงเนตรงดงามสีน้ำเงินเข้มข้างหนึ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วมองลู่เซิ่งผ่านก้อนน้ำนั้น
……………………………………….