ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 498 ใต้หล้า (6)
บทที่ 498 ใต้หล้า (6)
ลู่เซิ่งผุดสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน
“คำว่ากล่าวหรือ”
เขากำกระบี่ธารปฐพีแน่น แสงมหาสมุทรสีน้ำเงินด้านหลังเจิดจ้ากว่าเดิม ไข่มุกกลืนสมุทรค่อยๆ ลอยขึ้นจากด้านหลังของเขา
แสงสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนสั่นไหวอย่างรุนแรง ลู่เซิ่งจับกระบี่ด้วยสองมือ สองตาเปล่งแสงสีน้ำเงินเจิดจ้า
ตูม!
กระบี่ธารปฐพีพลันกลายเป็นเงาหลงเหลือ ชั่วพริบตานั้นเหมือนแบ่งเป็นเงากระบี่มากกว่าร้อยพันสาย วนเวียนรอบๆ ตัวลู่เซิ่ง สุดท้ายก็รวมตัวเป็นหนึ่งอย่างฉับพลัน ก่อนจะฟันไปยังด้านล่าง
“อานุภาพเทพ!”
ประกายกระบี่กลายเป็นสายฟ้าสีน้ำเงินแล้วฟาดลงไปด้านล่างอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
“นี่คือคำว่ากล่าว! ถ้ารับไม่ได้ก็ไปตายซะ!” ลู่เซิ่งหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์!”
จอมมรรคาวิถีธรรมะถือกระบี่ด้วยสองมือเช่นกัน สีหน้าเคร่งขรึม จันทร์เสี้ยวกลางหว่างคิ้วเปล่งแสงสีขาว แสงสีขาวที่เหมือนกับเส้นด้ายวนเวียนรอบกระบี่ที่อยู่ในมือ กิเลนสีขาวบริสุทธิ์ที่พร่ามัวไม่ชัดเจนค่อยๆ ปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา
“ธรรมะฟ้าดิน! จักรวาลหมุนวน!” เขาพลันวูบไหวร่าง แบ่งจากหนึ่งเป็นสองคน กระบี่ยาวสองเล่มทิ่มแทงไปด้านหน้าพร้อมกัน ปลายกระบี่ชนกันจนเกิดแสงสีทองจุดหนึ่งเบ่งบาน
แสงสีทองนั้นบริสุทธิ์ถึงขีดสุด สั่นไหวแต่ไม่ดับลงเหมือนกับไฟตะเกียงขนาดเท่าเม็ดถั่วกลางพายุ พร้อมกับปล่อยแสงสีทองกลุ่มหนึ่งออกมาคลุมรอบๆ
“ฟ้าดินมีความยุติธรรม ความยุติธรรมอยู่ที่ใจ ความยุติธรรมอยู่ที่ปณิธาน ความยุติธรรมอยู่ที่สมาธิ ความยุติธรรม…อยู่ยงคงกระพัน!” จอมมรรคาวิถีธรรมะพลันถลึงตา พลังอาคมทั่วร่างเดือดพล่านลุกไหม้ขึ้นมา
จันทร์เสี้ยวกลางหว่างคิ้วเขาค่อยๆ เปิดเป็นดวงตาสีทองราวกับตาที่สาม
ชิ้ง!
ดวงตายิงแสงสีทองออกมาใส่ไฟตะเกียงสีทองตรงหน้า
ชั่วขณะนั้นเหมือนกับสรรพสิ่งในฟ้าดินหยุดชะงักชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง
ตูม!
ไฟตะเกียงสีทองระเบิดลวดลายไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งออกมา
“ตัวข้าชิงหย่วนจุน ดูแลสำนักเต๋าหนึ่งพันสามร้อยหกสิบสองปี จากมีจนไม่มี ถามใจไร้ความละอาย!”
จอมมรรคาวิถีธรรมะถลึงตาจ้องลู่เซิ่ง ใส่สารกาย ปราณ จิตทั่วร่างเข้าไปในกระบี่นี้
เงากระบี่ขนาดใหญ่สายหนึ่งพลันแทงออกมาจากในแสงไฟสีทอง ดูศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ กลิ่นอายกับแสงสีทองแผ่ปกคลุมมหาสมุทรสีน้ำเงินเอาไว้ในชั่วพริบตา
“ฟ้าดินมีเหตุผล มหามรรคาเวียนวน ข้าขอแก้กรรมตามหลักฟ้า ผู้ใดขวางข้าเท่ากับขวางเส้นทางสำเร็จของข้า!”
ลู่เซิ่งหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ใส่พลังอาคมทั้งหมดของตัวเองเข้าไปในกระบี่ธารปฐพีเช่นกัน แม้แต่แรงดึงดูดของไข่มุกกลืนสมุทรก็มอบให้ด้วย
“ผู้ขวางทางสำเร็จของข้า ไม่อาจกลับเป็นคนได้หมื่นชาติภพ! ไปตายเสียเถอะ!”
ชั่วพริบตานั้น ในที่สุดประกายกระบี่หนึ่งทองหนึ่งน้ำเงินก็ปะทะกันกลางอากาศ
ไม่มีเสียง ไม่มีการระเบิด
มีเพียงเกล็ดหิมะที่ดำสนิทเหมือนกับเถ้ากระดาษปลิวโปรยไปทั่ว
ไม่ว่าประกายกระบี่ผ่านไปที่ใด สีทองกับสีน้ำเงินก็ปะทะกันอย่างรุนแรง
แม้ประกายกระบี่สีทองจะมีคุณภาพแข็งแกร่งจนน่ากลัว หั่นเฉือนและพุ่งปะทะไปในประกายกระบี่สีน้ำเงินอย่างไม่เกรงกลัว แต่ประกายกระบี่สีน้ำเงินมีจำนวนมากเกินไป แม้เงากระบี่สีน้ำเงินทุกเล่มจะเปราะบางอ่อนแอ แต่ว่าการปะทะอย่างหนักหน่วงที่เกิดขึ้นในชั่วอึดใจกลับไปชนประกายกระบี่สีทองให้ดับมืดลงทีละจุดๆ
พลังงานสีทองและสีน้ำเงินสองชนิดทำลายกันเอง เศษซากที่หลงเหลืออยู่กลายเป็นเกล็ดหิมะสีดำสนิททั่วท้องฟ้า
ความบิดเบี้ยวของทรงกลมล่องหนห่อหุ้มอาณาเขตใจกลางการฆ่าฟันของทั้งสองเอาไว้ ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ รวมถึงหลิวซือเฉิงได้แต่รับชมอยู่ไกลๆ ไม่อาจทำอะไรได้
ศึกนี้จะตัดสินโชคชะตาของวิถีธรรมะในอีกหลายร้อยปีให้หลัง ไม่ว่าใครจะชนะ สถานการณ์ของจงหยวนและโพ้นทะเลในอนาคตจะได้รับผลกระทบอย่างมหาศาล
“จอมมรรคา…” หลิวซือเฉิงคับข้องใจเล็กน้อย หลังจากศึกสะกดมารโบราณในครั้งก่อน พลังฝึกปรือของจอมมรรคาเสียหาย ร่างกายรับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ยังไม่ฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ แถมตอนนี้ยังต้องเผชิญกับศัตรูน่ากลัวอย่างเจ้าสำนักสี่สมุทรอีก
เสียงคำรามสุดท้ายของจอมมรรคาเมื่อครู่ทำให้เขาใจไม่ดี แต่ก็ไม่กล้าคิดมากไปกว่านี้จริงๆ
“วางใจเถอะ จอมมรรคาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งจงหยวน สะกดฝ่ายมารมามากกว่าพันปีโดยไร้คู่ต่อกร จะต้องไม่เกิดเรื่องแน่” เจ้าขุนเขาที่สองซึ่งอยู่ด้านข้างปลอบเบาๆ
“มิผิด จอมมรรคาครอบครองวิชาหมื่นพันและเคล็ดวิชาอันสูงส่ง กอปรกับใช้กระบี่เทวะ จะต้องไม่มีปัญหาแน่นอน” เจ้าขุนเขาคนอื่นๆ พากันส่งเสียง เพียงแต่ในใจของทุกคนมีเสียงตอนที่จอมมรรคาคำรามขึ้นเมื่อครู่ดังขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ไม่มีผู้ใดคาดถึงเลยว่า ตอนนี้เจ้าสำนักสี่สมุทรที่ตอนแรกไม่มีใครสนใจ จะบีบคั้นให้วิถีธรรมะตกสู่สภาพน่ากระอักกระอ่วนอย่างในตอนนี้ได้
ทั้งสองฝ่ายใช้หัวหน้าสู้หัวหน้า เพียงพบหน้าก็ตกสู่สภาพยื้อยันของการตัดสินเป็นตายทันที คลื่นการต่อสู้อันรุนแรงทำให้จอมสัจจะหรือจอมเทวะเช่นพวกเขาไม่มีสิทธิ์สอดมือด้วยซ้ำ
เสียงดังสนั่นปานฟ้าร้องสะท้อนกลางอากาศไปมา
ลู่เซิ่งกับจอมมรรคาวิถีธรรมะอยู่ในก้อนแสงสองสีที่อยู่ตรงกลาง ไม่ทราบเข่นฆ่ากันไปกี่กระบวนท่าแล้ว
ตอนนี้ทั้งสองมีปราณทารกที่แทบไร้ขีดจำกัดคอยสนับสนุน แต่ละฝ่ายสูสีกินกันไม่ลง สิ่งที่สามารถเทียบได้เพียงอย่างเดียวคือความตั้งใจของสองฝ่าย
ชั่วขณะที่เลือนราง ลู่เซิ่งรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย ภายใต้กลิ่นอายอันเหี้ยมหาญที่แสดงออกมาภายนอกของจอมมรรคาวิถีธรรมะ คล้ายมีไอความตายที่อ่อนแอซุกซ่อนอยู่
เขาไม่รู้แล้วว่าฟันออกไปกี่กระบี่ ภายใต้การกระตุ้นของปราณทารกไข้ขีดจำกัด ปราณกำเนิดทั้งหมดในก้อนแสงสองสีถูกปราณทารกผลักออกไป จึงไม่เกิดปรากฏการณ์ทำลายธรรมชาติ มีแต่การปะทะใส่กันอย่างบ้าคลั่งของพลังอาคมของคนทั้งสองเท่านั้น
จอมมรรคาวิถีธรรมะฟาดฟันกระบี่อย่างคลุ้มคลั่งเช่นกัน ใช้กระบวนท่ากระบี่ออกมาโดยแทบไม่ต้องคิดเหมือนเป็นสัญชาตญาณ ทักษะวิชากระบี่ของเขาไปถึงขอบเขตมหาปรมาจารย์ มันถูกฝังลงในสัญชาตญาณ เหมือนเจียระไนหยกกลับคืนโฉมเดิมแล้ว
ด้านนี้เขาแกร่งกว่าลู่เซิ่งไม่น้อย ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ ลู่เซิ่งคงอาศัยความได้เปรียบของพลังอาคมผลาญพลังอีกฝ่ายจนชนะได้ตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่ใช่เหมือนอย่างตอนนี้
ฉึก!
ลู่เซิ่งจับกระบี่ที่แทงเข้ามาในอกขวา พร้อมกับฟันกระบี่ใส่บ่าซ้ายของจอมมรรคาด้วยรอยยิ้มดุร้าย
“เจ้าจะเสี่ยงชีวิตกับข้าหรือ” เขาเลียริมฝีปาก ดวงตาเย็นเยียบขึ้นมา
จอมมรรคาไม่พูดอะไรสักคำเดียว ร่างกายเหมือนกลายเป็นมนุษย์เลือด กายเนื้อของเขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าลู่เซิ่ง เลือดปริมาณมากถูกพลังอาคมบีบอัดให้ไหลออกมาจากรูขุมขนอย่างบ้าคลั่ง
สิ่งที่ระเหยหายไปพร้อมกับเลือดยังมีอายุขัยของเขา เขาใช้อำนาจของกระบี่เทวะกับพลังวิญญาณที่สั่งสมเป็นเวลาพันปีของบ่อควบคุมวิญญาณ จึงมีพลังอาคมปราณทารกยิ่งใหญ่เช่นในตอนนี้ แต่นี่ไม่ใช่ว่าไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน
“โง่เง่า!” ลู่เซิ่งสืบเท้าไปด้านหน้า ประกายกระบี่สีน้ำเงินกลายเป็นเส้นด้ายอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะฟันใส่ขมับของจอมมรรคาอย่างหนักหน่วง แต่ถูกกระบี่สีทองปัดออกเสียก่อน
เคร้ง!
เกล็ดหิมะสีดำนับไม่ถ้วนโปรยปรายออกไปอีกครั้ง
จอมมรรคาวิถีธรรมะเงียบเสียงไม่พูดอะไร เปลวไฟสีทองลุกไหม้ขึ้นทั้งร่างขณะโถมตัวใส่ลู่เซิ่ง กระบี่เทวะในมือเขากลายเป็นประกายกระบี่หลายพันสายแทงออกไปอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ลู่เซิ่งใช้วิชาคร่าวิญญาณไร้จำกัด ประกายกระบี่สีน้ำเงินหลายพันสายหักล้างประกายกระบี่สีทองชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน
ทั้งสองไม่ถอยแม้แต่ครึ่งก้าว ในสถานการณ์แบบนี้ใครถอยคนนั้นต้องตาย! ปราณทารกพลังอาคมที่น่ากลัวและยิ่งใหญ่จนเหนือจินตนาการเกี่ยวกระหวัดกัน ทั้งสองฝืนใช้พลังถึงจุดสูงสุด เกิดว่าฝั่งใดคลายสภาวะลง ฝ่ายที่สภาวะอ่อนกว่าจะไม่เหลือแม้แต่ศพ ถูกกระแสพลังอาคมอันน่าสะพรึงทำลายล้างเหมือนกับทำนบแตกทันที
เกล็ดหิมะสีดำหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป
ศิษย์วิถีธรรมะแทบทุกคนถูกผู้บำเพ็ญระดับจอมสัจจะคนอื่นๆ พาออกไปจากเขาประกายทอง ในตอนที่น้ำทะเลถูกหยุดเอาไว้ นี่เป็นโอกาสล่าถอยที่ดีที่สุดแล้ว
จอมมรรคาวิถีธรรมะที่อยู่กลางอากาศใช้พลังทั้งหมดของตัวเองถ่วงเวลาลู่เซิ่งไว้ เพื่อไม่ให้เขาทำร้ายคนอื่นๆ และสร้างความเสียหายให้แก่รากฐานของวิถีธรรมะอย่างรุนแรง
หลิ่วเอ๋อร์ไม่นึกเหมือนกันว่าสภาพการณ์จะมาถึงขั้นนี้ เมื่อไม่มีลู่เซิ่งอยู่ข้างกาย นางที่เผชิญจอมสัจจะจำนวนมากของวิถีธรรมะตัวคนเดียวก็ไม่มีพลังขัดขืน ได้แต่รอผลลัพธ์การต่อสู้อยู่เงียบๆ เท่านั้น
ดวงอาทิตย์ตกทางทิศประจิม จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาอีกครั้ง ม่านวิกาลมาถึงก่อนจะหายไป
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสี่วันสี่คืน
เกล็ดหิมะสีดำกลางอากาศลดน้อยลงเรื่อยๆ
เขาประกายทองเหลือแต่เจ็ดเจ้าขุนเขากับหลิ่วเอ๋อร์ที่ยังรั้งอยู่ คนอื่นๆ ถูกอพยพไปยังสถานที่ปลอดภัยหมดแล้ว
ในที่สุด ตอนที่ท้องฟ้าใกล้เวลาสนธยานั้นเอง
ก้อนแสงกลางท้องฟ้าก็พังทลายโดยสิ้นเชิง
ฟุ่บๆ!
เงาคนสองสายตกลงมาพร้อมกับแสงเพลิงที่ลากตามหลังมาเหมือนกับดาวตก ถัดจากนั้นก็ชนกับพื้นอย่างรุนแรง
ตูม!
ฝุ่นกระจายว่อน ดินโคลนสาดกระเซ็น ไม่นานหลุมอุกกาบาตเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่าร้อยหมี่หลุมหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ตีนเขาเจ็ดขุนเขา
“จอมมรรคา!”
“เจ้าสำนัก!”
พวกจอมสัจจะอย่างหลิวซือเฉิงกับหลิ่วเอ๋อร์พุ่งลงไปหาหลุมยักษ์
แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็ถูกพลังป้องกันไร้รูปร่างที่ร้อนลวกขวางเอาไว้ ทำให้เข้าใกล้ไม่ได้อีก
จอมมรรคาวิถีธรรมะเลือดอาบทั้งร่าง กึ่งนอนอยู่ตรงผนังหลุม ดวงตาจันทราบนหน้าผากปิดไปแล้ว ยังมีของเหลวสีทองหลายสายค่อยๆ ไหลออกมา แสดงให้เห็นว่าไม่เหลือพลังให้ใช้อีกแล้ว
แขนขา ลำตัว ศีรษะ ลำคอ ทุกที่เต็มไปด้วยรอยแผลที่ถูกกระบี่ฟันลึกจนเห็นกระดูก เขาพิกลพิการไม่เหลือเค้าเดิมเหมือนกับตุ๊กตาที่กำลังจะถูกฉีกกระจุย
สิ่งที่ทำให้คนแตกตื่นก็คือไอความตายที่ฉายออกมาจากในดวงตาของเขา นั่นเป็นไอความตายที่มีแต่ชายชราซึ่งใกล้จะเป็นตะเกียงสิ้นแสงเท่านั้นถึงจะมี
“จอมมรรคา!” หลิวซือเฉิงตะโกน เกิดความเจ็บปวดในใจอย่างมิอาจควบคุม
เจ้าขุนเขาคนอื่นๆ เงียบเสียง ดวงตาฉายแววปวดร้าวและไร้เรี่ยวแรง
“เจ้าสำนัก!” ตอนนี้หลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็อุทานเช่นกัน สองตาจับจ้องลู่เซิ่งที่อยู่อีกฝั่งอย่างตกตะลึง
ทรวงอกของลู่เซิ่งถูกเจาะเป็นรูเลือดขนาดเท่ากำปั้น ดวงตาข้างหนึ่งเหลือแค่รูเลือดไม่มีลูกตา แขนขวาไม่ทราบหายไปไหน ขาซ้ายขาดไปท่อนเล็กๆ หนังศีรษะมีรอยแยกขนาดเท่าฝ่ามือ ถึงขั้นเห็นไขสมองที่ขยับขยุกขยิกด้านในได้ผ่านรอยแยก
“ฮ่าๆๆๆ!” ลู่เซิ่งนั่งพิงพื้น ไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้นเช่นกัน
“ไม่ได้สู้อย่างสาแก่ใจแบบนี้มานานแล้ว! ตาเฒ่า ที่แท้ตอนแรกเจ้ากำลังจะตายอยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายยังเล่นงานข้าได้อีก สาแก่ใจดีจริงๆ!” เขาไม่สนใจอาการบาดเจ็บบนร่างของตัวเอง กลับนับถือเลื่อมใสจอมมรรคาวิถีธรรมะ
พอกล่าวคำพูดนี้ออกไป ทุกคนในวิถีธรรมะพลันโกรธจนถลึงตามองเขา แต่ติดที่พลังขัดขวางไร้รูปร่าง จึงเข้าไปไม่ได้
ดวงตาที่อบอวลด้วยไอความตายของจอมมรรคากลอกไปมาอย่างแข็งทื่อ เนื่องจากสารกาย ปราณ จิตทั้งหมดได้ใส่ไปในศึกเมื่อครู่จนหมด เขาจึงใกล้จะไม่ไหวแล้ว ที่ทนถึงตอนนี้ได้ ก็ถือว่าเป็นความพยายามสุดท้ายแล้ว
“ตอนแรกนึกว่าจะปูมหาวิถีให้แก่สำนักในเวลาสุดท้ายได้เสียอีก…” เขาส่ายหน้ายิ้มอย่างขื่นขม หันไปมองเจ็ดเจ้าขุนเขาที่รออยู่รอบนอก สายตาสงบและเยือกเย็น หลังจากใช้ดวงตาปลอบประโลมพวกเขาทีละคนแล้ว ก็หันไปมองลู่เซิ่งใหม่
“ขอถามเจ้าสำนัก ตอนนี้ผลกรรมระหว่างพวกเราถือว่าสะสางแล้วกระมัง”
รอยยิ้มบนใบหน้าลู่เซิ่งค่อยๆ หายไป จับจ้องจอมมรรคาวิถีธรรมะเขม็งเช่นกัน
“เจ้าเล่ห์นักนะตาเฒ่า”
……………………………………….