ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 499 ความปั่นป่วน (1)
บทที่ 499 ความปั่นป่วน (1)
ไม่ทราบว่าจอมมรรคาวิถีธรรมะกลับคืนสู่สภาพผ่อนคลายสงบนิ่งตั้งแต่ตอนไหน ถึงแม้ว่าร่างจะอาบเลือด แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ อิริยาบถในตอนนี้ของเขากลับปลอดโปร่งเป็นธรรมชาติไม่ต่างจากที่พวกจอมสัจจะทุกคนได้เห็นในยามปกติ คล้ายกับอาการบาดเจ็บบนร่างเขาไม่ใช่ของเขาก็ไม่ปาน
“ฟ้าดินเป็นธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนมีหลักการ ดูเหมือนเจ้าสำนักจะตัดสินใจแล้ว…” จอมมรรคาส่งเสียงช้าๆ
ลู่เซิ่งหัวเราะเหอะๆ สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือ เขารู้สึกได้ว่าความแค้นในใจตนที่เป็นของมู่อวิ๋นค่อยๆ หายไปแล้ว ทว่า จอมมรรคาวิถีธรรมะจงใจสู้กับเขาเช่นนี้ก่อนตาย สุดท้ายยังมาเล่นไม้นี้อีก คิดว่าทำท่าน่าสงสารแล้วจะแทนที่สมบัติทรัพยากรมากมายได้หรือ
“ช่างเถอะๆ ตาเฒ่าอย่างเจ้าใกล้ตายอยู่แล้ว ครั้งนี้ขอแค่เจ้าทำตามเงื่อนไขสองสามข้อของข้าได้ ข้าจะไม่เอาเรื่องก็ได้”
“เงื่อนไขสองสามข้อหรือ ก็ได้ ขอขอบคุณเจ้าสำนักด้วย” จอมมรรคาวิถีธรรมะประสานมือให้ลู่เซิ่ง ถึงขั้นไม่ถามว่าลู่เซิ่งมีเงื่อนไขอะไร
ลู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ปัจจุบันวิถีธรรมะถูกเขาบีบคั้นจนปรากฏสภาพเดิม จอมมรรคาถึงกับยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บ สถานการณ์ที่งดงามดุจบุปผาดั่งผ้าแพรถึงกับเป็นภาพลวงตาเท่านั้น
หลังจากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ผลลัพธ์ที่ตามมาจะต้องอันตรายอย่างแน่นอน
นี่เป็นสาเหตุที่จอมมรรคาวิถีธรรมะร้องขอคำยกโทษให้จากลู่เซิ่งด้วยตัวเอง เป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด
เนื่องจากว่าถ้าหากวิถีธรรมะในตอนนี้ไม่มีเขาคอยสนับสนุน ก็จะรับมือตัวตนระดับสุดยอดที่แข็งแกร่งอย่างเจ้าสำนักสี่สมุทรไม่ได้อีก ยิ่งอย่าว่าแต่ยังมีตำหนักราชาปฐพีของฝ่ายมารที่จงเกลียดจงชังพวกเขาเข้ากระดูกดำอยู่ด้วย
ทั้งสองคนฉวยโอกาสที่คลื่นปราณยังไม่หายไปและอาณาเขตรอบๆ ยังถูกกั้นเอาไว้ คุยการจัดการหลายอย่างต่อจากนี้ ยังมีเนื้อหาในเงื่อนไขที่ลู่เซิ่งต้องการ ทรัพยากร สมบัติ และเคล็ดวิชาจำนวนมากได้รับการตอบรับ ต่อให้ตอนนี้จอมมรรคาวิถีธรรมะจะเปิดใจแล้ว แต่ก็ยังโกรธลู่เซิ่งจนหน้าเปลี่ยนสีอยู่ดี แต่ไม่ว่าอย่างไร สถานการณ์ก็ได้รับการกำหนดโดยสมบูรณ์แล้ว
หลังจากรออยู่ราวๆ หนึ่งชั่วก้านธูป พลังปราณที่กั้นอยู่ก็ค่อยๆ จางหายไป จอมสัจจะวิถีธรรมะจึงค่อยเข้ามาล้อมรอบๆ จอมมรรคาอย่างรวดเร็ว
หลิ่วเอ๋อร์ก็เข้ามาคุ้มกันลู่เซิ่งอย่างรวดเร็วเช่นกัน ขณะกำลังจะประคองเขาขึ้น ลู่เซิ่งก็ยกมือห้ามไว้
“ยังขยับได้อยู่อีกหรือ” จอมมรรคาเห็นแต่ไกล สายตาหยุดอยู่บนบาดแผลบนร่างลู่เซิ่ง
“ได้สิแปลก” ลู่เซิ่งหัวเราะหลายครั้ง ก่อนจะกระอักกระไอเพราะไปกระตุ้นอาการบาดเจ็บเข้า
ถ้าไม่ใช่เพราะจอมมรรคาวิถีธรรมะยอมถอยให้ตอนฟาดฟันกันครั้งสุดท้าย อาการบาดเจ็บของเขาคงไม่เบาขนาดนี้ เกรงว่ากายเนื้อนี้จะอยู่ในสภาพใกล้ตายจริงๆ แล้ว
นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลู่เซิ่งยินดีประนีประนอมกับจอมมรรคา
จอมมรรคาวิถีธรรมะสามารถพาเขาไปตายด้วยกันได้ แต่สุดท้ายก็ยั้งมือไว้
พวกจอมสัจจะคิดจะฉวยโอกาสลงมือกับพวกลู่เซิ่ง แต่จอมมรรคากลับส่งเสียงห้ามไว้ สองฝ่ายบรรลุข้อตกลงลับๆ อย่างอธิบายไม่ถูก
หลิ่วเอ๋อร์เริ่มตรวจสอบอาการบาดเจ็บให้แก่ลู่เซิ่งอย่างละเอียด หยิบขี้ผึ้งล้ำค่ามาจากในถุงย่ามข้างเอวออกมาพอกให้
จอมมรรคาวิถีธรรมะที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็มีจอมสัจจะคอยป้อนโอสถและพันแผลให้เช่นกัน
“ฮ่าๆๆ!” ในเวลานี้พลันมีเสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งกว่าเดิมดังมาจากที่ไกล
เมฆดำกลุ่มหนึ่งเคลื่อนมาถึงจากขอบฟ้าไกล โอบล้อมบุรุษร่างสูงใหญ่ที่สวมเกราะอ่อนสีดำสนิทเอาไว้ เป็นอวิ๋นเหย่นั่นเอง!
“นึกไม่ถึง! นึกไม่ถึงเลย! ฮ่าๆๆๆ!” อวิ๋นเหย่บินมาด้วยความเร็วสูง ท่วงท่าเย่อหยิ่ง “จอมมรรคาวิถีธรรมะ ด้วยพลังของเจ้ายังถูกคนเล่นงานจนไม่อาจต่อสู้ได้อีก คราวนี้เป็นทีของข้าแล้ว!”
“อวิ๋นเหย่!” พวกหลิวซือเฉิงสีหน้าเปลี่ยนแปลง อวิ๋นเหย่ในตอนนี้ดูแค่ความน่าเกรงขามรอบๆ ตัวเขา ก็เหนือกว่าผู้บำเพ็ญสูงส่งแล้ว
ยังไม่เอ่ยถึงก่อนหน้านี้เขายังมีผลการรบอันน่าสยดสยองที่สังหารอริยะสงฆ์สี่รูปและเจ้าสำนักกระบี่เทวะด้วย
“ไม่เป็นไร ข้าจัดการเอง มันในตอนนี้ยังสร้างความปั่นป่วนให้ใต้หล้าไม่ได้หรอก”
หลิวซือเฉิงที่เป็นผู้บำเพ็ญสูงส่งลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะเหาะขึ้นไปหาอวิ๋นเหย่
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกลับมาตอนนี้ เลือกโอกาสได้ดีจริงๆ” เขาหยิบรูปสลักนกยูงหยกขนาดเท่ากำปั้นออกมา
“ตอนที่จอมมรรคาต่อสู้กันก่อนหน้านี้ ข้าไม่มีปัญญาสอดมือ แต่ตอนนี้ ถึงรอบข้าลงมือแล้ว”
ครืน!
ชั่วพริบตานั้นกลางท้องฟ้ามีแสงสีขาวอ่อนโยนกลุ่มหนึ่งกระจายออกมาโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง นกยูงขาวพร่ามัวกึ่งโปร่งแสงตัวหนึ่งค่อยๆ บินออกมาจากด้านหลังเขา จากนั้นก็ตามมาด้วยตัวที่สอง ตัวทีสาม และตัวที่สี่…
นกยูงสีขาวหลายตัวเต้นระบำอยู่กลางอากาศ แสงสีขาวอ่อนโยนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“ภูผาหมื่นทัณฑ์!” หลิวซือเฉิงตวาด
ชั่วขณะนั้น นกยูงสีขาวจำนวนมากกระพือปีกบินเข้าไปในเมฆดำของอวิ๋นเหย่ สองฝ่ายพลันเข่นฆ่ากันซึ่งหน้า
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองการต่อสู้บนฟากฟ้า เขาไม่รู้จักผู้มา เพียงแต่เมฆดำนั้นทำให้เขาเกิดความรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย คล้ายเป็นปราณมาร แต่ต่างจากปราณมารของต้าอินโดยสิ้นเชิง
“ช่างเถอะ ครั้งนี้พอเพียงแค่นี้ การเจรจากับวิถีธรรมะจบลงแล้ว พวกเราไปเถอะ” เขาค่อยๆ ลุกขึ้น อาการบาดเจ็บบนร่างฟื้นฟูด้วยความเร็วที่ตาเนื้อมองเห็นได้
ร่างหลักส่งแก่นหยางให้อย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บทั้งหมดบนกายเนื้อนี้ด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง
หลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเตรียมจะพันแผลให้เขา ตอนนี้ต้องตกใจเพราะความเร็วการฟื้นฟูอันน่าสะพรึงกลัวนี้
“เจ้า…เจ้าสำนัก…” นางป้องปาก ทำหน้าตกใจอย่างยิ่ง
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งฉีกเสื้อนอกที่ขาดไปแล้ว ก่อนจะใช้ปราณทารกสีน้ำเงินปกปิดรอบๆ ตัวไว้ พร้อมกับลอยตัวขึ้น
“จอมมรรคาวิถีธรรมะ อย่าลืมข้อตกลงของพวกเราเล่า” เขามองจอมมรรคาที่แสดงอาการร่อแร่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“วางใจเถอะ” จอมมรรคายิ้มอย่างเป็นมิตร “ข้าจะจัดการให้” ความปรารถนาสุดท้ายได้รับการเติมเต็มแล้ว แม้จะสูญเสียทรัพยากรของล้ำค่าไปไม่น้อย แต่เทียบกับผลลัพธ์ที่จะได้ในอนาคต ไม่ถือว่าสำคัญอะไรนัก
เวลานี้จอมสัจจะคนอื่นๆ พบแล้วว่าอาการบาดเจ็บบนร่างลู่เซิ่งหายหมดแล้ว พลันทำท่าเหมือนเห็นผี
นี่เป็นอาการบาดเจ็บอันน่าสะพรึงในระดับเหนือกว่าผู้บำเพ็ญสูงส่ง เป็นอาการบาดเจ็บจากปราณทารกระดับสุดยอดที่อันตรายแทบถึงชีวิต
แม้แต่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอย่างจอมมรรคาก็ยังแน่นิ่งอยู่กับพื้น แต่เจ้าสำนักสี่สมุทรกลับลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขาใหม่ได้ในเวลาสั้นๆ พวกเขารู้แล้วว่าเหตุใดจอมมรรคาจึงเลือกประนีประนอมกับอีกฝ่าย
ทั้งหมดเป็นเพราะจอมมรรคาสัมผัสได้ว่า แม้ลู่เซิ่งจะดูเหมือนทัดเทียมกับตน แต่ความจริงยังเก็บไพ่ตายที่ดีที่สุดไว้ นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขายอมประนีประนอม
ลู่เซิ่งซึ่งไม่ได้สนใจอาการอ้าปากตาค้างของจอมสัจจะคนอื่น หากควบคุมน้ำทะเลทะยานร่างขึ้น แรงชักนำไร้รูปร่างแผ่ออกมาจากบนตัวเขาอย่างฉับพลัน ไข่มุกกลืนสมุทรปรากฏขึ้นด้านหลัง
ซ่า…
ฉับพลันนั้นน้ำทะเลทั่วฟ้าก็ถูกดึงดูดเข้าไปในไข่มุกกลืนสมุทร คล้ายกับสิ่งที่ดูดไม่ใช่น้ำทะเล แต่เป็นหมอกควันสีน้ำเงิน
ไม่นานนัก ท้องฟ้าเหนือเขาประกายทองก็ว่างเปล่า แสงอาทิตย์ปกคลุมเข้ามาโอบกอดซากปรักหักพังในอาณาเขตการส่องแสงของดวงอาทิตย์
อวิ๋นเหย่กับหลิวซือเฉิงกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดในกลุ่มเมฆมารกลางท้องฟ้า
อย่างไรหลิวซือเฉิงก็เป็นผู้บำเพ็ญสูงส่ง มีเทวลักษณ์ติดตัว แม้พลังจะสู้จอมมรรคาวิถีธรรมะไม่ได้ แต่ก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบมากเกินไปเมื่อเผชิญกับอวิ๋นเหย่ผู้เป็นมารโบราณที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ สองฝ่ายจึงสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
พออวิ๋นเหย่เห็นว่าวิถีธรรมะไมได้สูญเสียกำลังรบอะไรนัก ก็พลันเกิดความคิดล่าถอย
นอกจากนี้เมื่อเห็นพวกลู่เซิ่งทะยานร่างขึ้นเตรียมจากไป ก็ทราบในทันทีว่าเรื่องราวไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ แผนการถมหินลงบ่อเพื่อเอาเปรียบล้มเหลว จึงเกิดความคิดถอยหนี
“ช่างเถอะ วันนี้นับว่าพวกเจ้าโชคดี ข้ามีเรื่องต้องจัดการพอดี จะปล่อยพวกเจ้าไปก่อนก็แล้วกัน ต้องมีสักวันที่ได้ชำระบุญคุณความแค้นเมื่อก่อนหน้านี้!” อวิ๋นเหย่ตะโกน ก่อนจะหมุนตัวหนีไปด้วยสภาวะยิ่งใหญ่ กลุ่มเมฆมารพลิกตัวพร้อมกับป้องกันนกยูงขาวของหลิวซือเฉิงด้วยความเร็วสูง ไม่ทันไรเขาก็หายไปกลางอากาศในพริบตาเดียว
ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจคนผู้นี้ ทิศทางที่เขากลับไปอยู่ตรงกันข้ามกับทิศทางที่กลุ่มเมฆมารมา หลังจากเก็บน้ำทะเลเรียบร้อย เขาก็บังคับสายน้ำสีน้ำเงินให้ลอยขึ้นฟ้า แล้วเหาะออกจากเขาประกายทอง
ผลกรรมได้รับการสะสางพอประมาณแล้ว ต่อจากนี้หากจัดการเรื่องราวในอนาคตของโลกใบนี้เป็นครั้งสุดท้ายเสร็จ เขาก็จากไปได้สักที
เขาคาดหวังกับสิ่งอาจจะได้รับในครั้งนี้มาก เป็นเพราะเขาได้แก้ไขผลกรรมสองอย่างของมู่อวิ๋นอย่างสมบูรณ์แบบ เกรงว่าการเพิ่มพลังจิตวิญญาณที่จะได้รับในการกลับไปครั้งนี้คงจะแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนมาก
กลางท้องฟ้ายามสนธยา ลู่เซิ่งกับหลิ่วเอ๋อร์นั่งขัดสมาธิอยู่บนเมฆสีน้ำเงิน ก้อนเมฆลากหางยาวเหมือนกับดาวตก ขณะที่พุ่งไปยังโพ้นทะเลด้วยความเร็วสูง
“เจ้าสำนัก…ท่านไม่เป็นไรจริงๆ หรือ” หลิ่วเอ๋อร์ตาเป็นประกาย ถามไถ่อย่างคล้ายเป็นห่วง
ลู่เซิ่งกวาดตามองนางอย่างคล้ายยิ้มไม่คล้ายยิ้ม จอมสัจจะเหล่านี้เป็นบริวารที่ถูกเขาสะกดและโดนบังคับให้เข้าเป็นพวก ปกติแล้วหากเขาไม่เป็นไรยังพอว่า แต่เกิดเขารับบาดเจ็บหนักอย่างสภาพในตอนนี้ จำเป็นต้องป้องกันสตรีนางนี้ทรยศอย่างกะทันหันจริงๆ
“อาการบาดเจ็บบนร่างหายดีแล้ว แต่ทารกจิตเสียพลังมากไป แม้ว่าวิถีธรรมะจะชดเชยให้ในภายหลัง แต่น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้ ตอนนี้ข้าใช้ทารกจิตไม่ได้แล้ว อย่างมากสุดก็มีพลังฝึกปรือระดับสร้างโอกาสเท่านั้น จำเป็นต้องใช้เวลาฟื้นฟู” เขาบอกสภาพของตัวเองในตอนนี้ตามจริง
เนื่องจากไม่ได้มีกายเนื้อน่ากลัวเท่าร่างหลัก การที่กายเนื้อร่างนี้ไม่ตายก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว การเกิดผลลัพธ์เพียงแค่นี้หลังต่อสู้กับตัวประหลาดที่สูสีกับตัวเองจนถึงขั้นสุดท้าย ก็ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายแล้ว
ลู่เซิ่งไม่ได้โกหก ตอนนี้แม้แต่อาณาเขตที่จิตวิญญาณรับรู้ได้ของเขาเหลือแค่ยี่สิบหรือสามสิบหมี่รอบๆ ตัวเท่านั้น การฝืนสะกดกระบี่ธารปฐพีกับการควบคุมให้น้ำทะเลทั่วฟ้าทำลายค่ายกลวิถีธรรมะเมื่อครู่ได้สร้างภาระให้แก่จิตวิญญาณส่วนใหญ่ของเขา และการฟื้นฟูจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเช่นกัน
ดังนั้นตอนนี้เขาจึงตกอยู่ในสภาพที่เทียบเท่ากับระดับสร้างโอสถอย่างแท้จริง
หลิ่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นพลันเงียบเสียง ดวงตาเป็นประกายกว่าเดิม
“ทำไม คิดลงมือหรือ” ลู่เซิ่งจ้องนางอย่างเย็นชา
หลิ่วเอ๋อร์ยิ้ม “เจ้าสำนักดูแคลนหลิวเอ๋อร์เกินไปแล้ว”
“ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเจ้า” ลู่เซิ่งส่ายหน้า “ข้าไม่เคยดูแคลนผู้ใด” ในเมื่อหลิวเอ๋อร์ไม่คิดลงมือ เขาก็ไม่พูดมากเช่นกัน
“ข้าต้องใช้เวลารักษาตัว ต่อจากนี้ เจ้ามาควบคุมเมฆ พวกเราจะกลับสำนักสี่สมุทรทันที” เขาสั่ง
“รับทราบ!” หลิ่วเอ๋อร์พยักหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับละทิ้งความคิดเพ้อเจ้อ ประกายวิญญาณเบ่งบานบนมือ นางรับสิทธิ์ควบคุมก้อนเมฆมา
เมฆสีน้ำเงินพลันกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์
“สหายร่วมเส้นทางโปรดหยุดก่อน” หลิ่วเอ๋อร์เพิ่งรับสิทธิ์ควบคุมมา ทั้งสองก็ได้ยินเสียงบุรุษที่อ่อนโยนและทุ้มต่ำดังจากด้านหลังทันที
หลิ่วเอ๋อร์สีหน้าเปลี่ยนแปลง หันกลับไปมอง เป็นนักพรตผอมแห้งที่ภายนอกเหมือนกับยอดคนผู้บรรลุธรรม
เขาไล่ตามทันจากด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ คนผู้นี้สวมชุดนักพรตสีขาว ใบหน้าดุจกวนหยก สะพายกระบี่ลายสนเขียวไว้บนหลัง แต่งตัวอย่างผู้บรรลุธรรม มีความเร็วสูงล้ำจนน่าประหลาดใจ
เพียงแต่ส่วนลึกของดวงตากลับเป็นประกายด้วยความละโมบโลภมาก
……………………………………….