ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 503 กลียุค (1)
บทที่ 503 กลียุค (1)
ลู่เซิ่งเดินออกมาจากวังมารของสำนักมารกำเนิดแล้วไปยังตำหนักวิจัย เพื่อใช้รหัสลับที่ตัวเองคิดขึ้นบันทึกเคล็ดวิชาล้ำค่าที่ได้จากการจุติในครั้งนี้
รหัสลับนี้เป็นการเปลี่ยนตัวอักษรแต่ละตัวให้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันโดยสมบูรณ์ แม้จะเป็นวิถีเข้ารหัสที่ง่ายที่สุด แต่เพื่อความมั่นใจ ลู่เซิ่งได้ทำให้ลำดับของเคล็ดวิชาที่บันทึกวุ่นวายตามแบบแผนอันแน่นอนที่ตนทราบหลังจากการเข้ารหัส
เมื่อเป็นแบบนี้ ในเงื่อนไขที่ไม่ทราบว่าจะเรียงลำดับใหม่อย่างไร ต่อให้มีความรู้เกินคน หรือเป็นสุดยอดอัจฉริยะ ก็ไม่มีทางอ่านรู้เรื่องว่าสิ่งที่ตนจดบันทึกไว้คืออะไรกันแน่
ใช้เวลาไปสามวัน ลู่เซิ่งจึงค่อยบันทึกเคล็ดวิชาที่ตนคิดว่ามีค่าทั้งหมดเสร็จ ความทรงจำนั้นเชื่อถือไม่ได้เด็ดขาด มันจะค่อยๆ จางหายและบิดเบี้ยวไปตามกาลเวลา ต่อให้เก่งกาจขนาดไหน ถ้าหากไม่ทบทวนเป็นประจำ ก็รังแต่จะลืมเลือนเนื้อหาบางส่วนเมื่อเวลาผ่านไป
สิ่งที่ลู่เซิ่งต้องการกลับเป็นความทรงจำถาวร
หลังจากบันทึกเรียบร้อย เขาก็เรียกเฒ่าสือและสวี่เฝ่ยลาราชาเงามืดแห่งสำนักมารกำเนิดมา หลังจากเขาจากไป การปฏิบัติการขนาดใหญ่ของสำนักมารกำเนิด ก็มีระดับสูงสุดเหล่านี้เป็นผู้รับผิดชอบควบคุม
หลังจากทราบสถานการณ์ล่าสุดจากปากราชามารในสังกัด ลู่เซิ่งก็ทราบอย่างแจ่มแจ้งทันทีว่า การจุติในครั้งนี้ของตนกินเวลาไปสองปี
ดีที่สองปีนี้ต้าอินไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ราชสำนักกับแต่ละเขตแคว้นยังคงต่อสู้กับพิภพมาร ราชวงศ์เกิดความปั่นป่วนภายใน ยังไม่ได้รับการจัดการ
สามตระกูลใหญ่ยังคงอยู่ในสภาพเดิม หลังจากบรรพบุรุษเจ้าแห่งอาวุธสามคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็กักตนรักษาตัวมาโดยตลอด ตอนนี้สามตระกูลใหญ่อยู่ในสภาพเหมือนปล่อยแกะ ให้สุดยอดอาวุธเทพที่ตระกูลบูชารักษาอิทธิพลและคงแผนการเดิมเอาไว้
สามสำนักเกิดความเสียหายอย่างหนักในการต่อสู้กับพิภพมารเหมือนกัน บรรพบุรุษเจ้าแห่งอาวุธสองคนกักตนรักษาอาการบาดเจ็บเช่นเดียวกัน
ในฐานะเจ้าแห่งอาวุธเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าเจ้าแห่งอาวุธสองคนของสามสามสำนักซึ่งรวมถึงเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกล้วนด้อยกว่าเจ้าแห่งอาวุธของสามตระกูลใหญ่
ในสองปีมานี้ เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกสะกดประตูมายาบนทะเลบูรพาไม่เคยจากไปไหน สำนักพันอาทิตย์สงบนิ่งไม่เกิดเรื่องอะไร
กลับเป็นราชโอรสฉยงซังผู้เป็นสหายสนิทของหลี่ซุ่นซีที่ลู่เซิ่งเคยลงมือช่วยเหลือ ตอนนี้ถูกตามล่าติดต่อกันจนหายสาบสูญเนื่องจากพกพาอาวุธเทพหมื่นแปรผัน อาวุธเทพหมื่นแปรผันสูญหายไปโดยสมบูรณ์ไม่มีใครหาเจอ
ลู่เซิ่งทำความเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันคร่าวๆ ทั้งยังถ่ายทอดวิชาควบคุมจิตใจที่ตนเองสร้างขึ้นใหม่ให้แก่ระดับสูงของสำนักมารกำเนิดอย่างตั้งใจ จากนั้นจึงค่อยประกาศออกจากการกักตน กลับตระกูลลู่ในเขตจันทราสารท
…
เทศกาลเชิญคีตา
เสียงประทัดดังตูมๆๆ เศษประทัดสีแดงสีขาวจำนวนมากกระจายเวียนว่อน
กลางเขตจันทราสารท ด้านในลานกว้างสี่เหลี่ยม ตอนนี้อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ล้อมรอบตรงกลางเอาไว้
ด้านในเขตเล็กๆ ตรงกลางมีคนผูกวัวไว้สี่ตัว สุกรสิบตัว กวางเจ็ดตัว ให้คนต่อแถวจ่ายเงินซื้อ มีคนถือมีดคอยเฉือนเนื้อเพื่อขายไปทีละชิ้นๆ
คนซื้อเนื้อมาไม่ขาดสาย แม้ขบวนเหมือนไม่ยาว แต่ว่าพอหายไปสักสองสามคน ก็จะมีคนอีกหลายคนมาเติมอย่างรวดเร็ว แถวจึงไม่สั้นลงแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งกับลู่หนิงนั่งอยู่หน้าแผงร้านขายหยกศิลาริมถนน สองคนหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กชมดูภาพการขายเนื้อบนลานกว้างตรงกลางอันครึกครื้นอยู่เงียบๆ
เจ้าของร้านและผู้ร่วมงานในร้านด้านหลังทำงานอย่างหวั่นเกรง พยายามทำท่าไม่รู้จักสองคนตรงหน้าเท่าที่จะทำได้
“ท่านพ่อ นี่คืออะไรหรือ” ลู่หนิงมีสายเลือดพิเศษ สองขวบก็พูดจาได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว ตอนนี้เขาที่อายุหกขวบนั่งอยู่ด้านข้างลู่เซิ่ง อ้วนจนเหมือนกับลูกหนัง เห็นได้แค่เส้นสามเส้นกับรูสองรูบนใบหน้าเล็กๆ ขาวผ่องเท่านั้น…นั่นคือตา ปาก และรูจมูก แม้ตัวจะสูงแค่หนึ่งหมี่กว่าๆ แต่ลู่หนิงกลับโตในแนวขวางเกือบหนึ่งหมี่แล้ว
“พวกนี้คือสัตว์ที่เลี้ยงไว้กิน เพียงแต่ไม่ใช่สัตว์ธรรมดาๆ” ลู่เซิ่งอธิบายด้วยรอยยิ้ม
การจุติครั้งนี้กินเวลาสองปี นี่ยังเป็นเพราะมีความแตกต่างด้านเวลา ไม่อย่างนั้น เกรงว่าลู่หนิงในตอนนี้คงจะอายุเจ็ดแปดขวบแล้ว
เนื่องจากไม่อยากห่างเหินจนเกินไป เขาจึงพาลู่หนิงน้อยออกมาเที่ยวในเขตจันทราสารท
เผอิญที่ในเขตจัดเทศกาลพอดี จึงคึกคักเป็นพิเศษ ไม่เพียงคนในท้องที่ออกบ้านมาเที่ยวเท่านั้น ถึงขั้นที่นอกเขตก็มีคนจากนครเขตแห่งอื่นจำนวนไม่น้อยเดินทางไกลมาเพื่อเข้าร่วมเทศกาลเช่นกัน
“ไม่ใช่สัตว์ธรรมดาหรือ แล้วเป็นเนื้ออะไรกันล่ะ” ลู่เซิ่งไม่เข้าใจ
“นั่นเป็นสัตว์ชนิดพิเศษที่พ่อของเจ้าใช้เลือดเนื้อของมารเลี้ยง หลังจากผ่านการกำจัดปราณมารโดยสำนักมารกำเนิด ก็จะกลายเป็นสุดยอดเนื้อ หากกินมากๆ จะเสริมปราณกำเนิดได้ คนธรรมดาซื้อไม่ไหวหรอก ความจริงคนส่วนใหญ่เพียงมาชมความครึกครื้นเท่านั้น” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เขามีดีปบลูอยู่ในมือ การใช้พลังอาวรณ์จุดหนึ่งเพื่อเรียนรู้วิชากำจัดปราณมารเป็นเรื่องที่ง่ายดายเพียงยกมือเท่านั้น จากนั้นค่อยถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่บริวารในสำนักมารกำเนิด โดยให้พวกเขากำจัดปราณมารบนตัวสัตว์ที่กินเลือดเนื้อของมารตามกระบวนการ
ด้วยเหตุนี้จึงสร้างห่วงโซ่อุปทานที่หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำขึ้นสำเร็จ
นี่เป็นแค่เขตเล็กๆ ที่พัฒนาเข้าหาภายในอย่างมั่นคงหลังจากที่สำนักมารกำเนิดหยุดการขยับขยายเท่านั้น ยังมีกิจการที่คล้ายๆ กันอีกมากมาย
ศึกใหญ่ยังคงดำเนินต่อ สำนักมารกำเนิดเริ่มทำศึกแย่งชิงทรัพย์สมบัติอย่างเหิมเกริม และใช้ประโยชน์จากกำลังทรัพย์อันยิ่งใหญ่รวบรวมคนจากตระกูลขุนนางที่ถูกเผ่ามารทำลายบ้านกับยอดฝีมืออิสระ
“ศิษย์พี่ช่างมีอารมณ์สุนทรีย์จริงเชียว ปลอมเป็นคนธรรมดามาชมความครึกครื้นแบบนี้” ลู่เซิ่งกำลังอธิบายความแตกต่างของสัตว์เลี้ยงให้ลู่หนิงฟังอย่างละเอียด กลับนึกไม่ถึงว่าจะมีคนมัดผ้าโพกหัวสีขาวคนหนึ่งเดินมาถึงด้านหน้าเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ศิษย์น้องจู้หรือ” ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าเกียจคร้าน ก่อนจะปล่อยให้ลู่หนิงไปเล่นสนุกในฝูงชน ส่วนเขาชี้ให้ผู้มาใหม่เพื่อให้เขาหาเก้าอี้นั่งลงเอง
“เหตุใดจึงมีเวลามาเที่ยวเล่นที่นี่เล่า” ลู่เซิ่งประหลาดใจเล็กน้อย
คนตรงหน้าไม่ได้สนิทกับเขามากนัก แต่เนื่องจากเพราะเป็นศิษย์ที่เชียนตู้ซูหนิงเฟยรับไว้เหมือนกัน จึงไม่นับว่าห่างเหินนัก
บุรุษที่ยืนอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่งมีร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหยาบกร้าน ผมยุ่งสีแดงกระจายหงิกงอ ดูน่าเกรงขามเหมือนกับสิงโตขนแดง
คนผู้นี้มีชื่อว่าจู้เสอจวิ้น เป็นศิษย์ที่ซูหนิงเฟยเพิ่งรับไว้เมื่อไม่นานมานี้ แต่เขาแตกต่างกับลู่เซิ่งตรงที่เป็นศิษย์ที่ได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์อย่างแท้จริง
เพียงแต่ถึงแม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นศิษย์ที่ได้รับการสืบทอดโดยตรง แต่เนื่องจากซูหนิงเฟยมีนิสัยประหลาด จึงโดนหลอกลวงมากมายไม่ต่างจากลู่เซิ่ง ปัจจุบันแม้จะยกระดับถึงขอบเขตผู้ถืออาวุธด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์แล้ว แต่ความทุกข์ทรมานที่ประสบมากลับเรียกได้ว่าเหนือกว่าลู่เซิ่ง หนึ่งคำพูดยากจะบรรยายได้หมด
จู้เสอจวิ้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างตัวลู่เซิ่งอย่างผ่าเผยพร้อมกับแสดงสีหน้าจนใจ
“นอกจากคำสั่งของอาจารย์แล้ว ยังมีใครลากข้าที่กำลังกักตนเพื่อเลื่อนระดับออกมาได้อีกเล่า แค้นที่ข้าอุตส่าห์เพิ่งสร้างกระดูกมารชิ้นที่สามเสร็จ ใช้อัคคีธรรมอีกไม่กี่กลุ่มก็จะข้ามอุปสรรคได้…”
ลู่เซิ่งพลันแสดงสีหน้าเห็นใจ
วิชาจริงแท้ที่จู้เสอจวิ้นฝึกฝนเป็นการฝึกฝนร่วมกับอาวุธเทพในตระกูลที่เขาครอบครองเพียงผู้เดียว โดยสร้างกระดูกมารสำหรับยกระดับพลังฝึกปรือ แต่ละชิ้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี แต่คำสั่งที่ซูหนิงเฟยส่งมาได้ทำลายความสำเร็จตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาของเขา เรียกได้ว่าเอาแต่ใจสุดแสน
แต่ทั้งสองล้วนทราบว่า ซูหนิงเฟยไมได้สนใจศิษย์ของตัวเองอยู่แล้ว ผู้ที่นางใส่ใจอย่างแท้จริงมีแค่ซูย่วนย่วนบุตรีที่ไม่ทราบหายตัวไปไหนอีกแล้วผู้นั้น
“หนีอีกแล้วหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างประหลาดใจ
“อือ…” จู้เสอจวิ้นพยักหน้าอย่างจนปัญญา “ไม่เพียงแค่หนีไปเท่านั้น ยังก่อปัญหาขึ้นด้วย ศิษย์น้องเล็กได้ขโมยอัสนีเทพพฤกษาศิลาแปลงอาทิตย์ชิ้นสุดท้ายของอาจารย์ไป เพื่อช่วยเหลือราชโอรสฉยงซังเจ้าของอาวุธเทพหมื่นแปรผัน กับหลี่ซุ่นซีศิษย์ของสำนักไตรอริยะ”
“อัสนีเทพวิปริตที่แค่โยนออกไปชิ้นเดียวก็เปลี่ยนแปลงอาณาเขตสามพันลี้ให้กลายเป็นหินได้นั่นน่ะหรือ” ลู่เซิ่งพลันแสดงสีหน้าเคร่งเครียด
เขารู้จักของชิ้นนี้ เป็นหนึ่งในไพ่ตายอันเหี้ยมหาญที่ซูหนิงเฟยพยายามสร้างขึ้นมาเพื่อใช้รับมือกับศัตรูคู่แค้นของตัวเอง
อัสนีเทพนี้ อริยะเจ้าทั่วไปไม่อาจใช้ได้ พวกอริยะเจ้าทั่วไปอย่างมากสุดได้แต่สร้างอัสนีปัญจธาตุธรรมดาๆ หรือไม่ก็ก้อนสายฟ้าแก่นสารกายเท่านั้น สิ่งที่ได้รับการขนานนามเป็นอัสนีเทพคืออาวุธสังหารอันน่าสะพรึงที่มีพลังทำลายล้างระดับสุดยอด
“เป็นเช่นที่ท่านว่า…” จู้เสอจวิ้นส่ายหน้าอย่างระอาอีกครั้ง “ตอนนี้ศิษย์น้องถูกเจ้าพันมังกรทองคำใช้ค่ายกลขังไว้ในถ้ำพันมังกรบนเขาหวงซานมานานสามวันแล้ว หลังจากอาจารย์ทราบ ก็ได้ส่งข้ามาขอให้ศิษย์พี่ลงมือช่วยเหลือ”
ลู่เซิ่งพลันกระจ่างแจ้ง
อัสนีเทพศิลาแปลงที่ซูหนิงเฟยสร้างขึ้นมีอานุภาพไม่ด้อยไปกว่าการโจมตีด้วยพลังครึ่งหนึ่งของนาง หากว่าศิษย์น้องเล็กซูย่วนย่วนถูกกดดันให้ใช้ เกรงว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะจัดการได้ยากถึงขีดสุด โดยเฉพาะตอนนี้สภาพการณ์ใหญ่มั่นคง โลกมนุษย์กับพิภพมารรบกันมานาน เจ้าแห่งอาวุธทุกคนไม่มีทางอนุญาตให้เกิดความวุ่นวายขนาดนี้ในแผ่นดินแน่นอน
ต่อให้ได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องกักตน ก็ยังมีเจ้าแห่งอาวุธสองคนของสามสำนักควบคุมสถานการณ์ใหญ่อยู่ดี แม้เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกจะมีนิสัยอ่อนโยนใจกว้าง ก็ไม่มีทางยอมให้น้องสาวของตนสร้างปัญหาแบบนี้
ลู่เซิ่งนึกตรึกตรอง เกรงว่าการเดินทางของจู้เสอจวิ้นในครั้งนี้จะมีความตั้งใจของเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกของสำนักพันอาทิตย์อยู่ด้วย
“เจ้าสำนักทราบว่าศิษย์พี่กลับมาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บแท้ๆ แต่ก็ยังต้องรบกวนท่านอีก จึงเกรงอกเกรงใจมาก ดังนั้นเลยให้ศิษย์น้องเอาสิ่งนี้มาให้” จู้เสอจวิ้นพลิกมือหยิบแผ่นหินสีเหลืองอ่อนขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่งออกมาจากในมือ
“นี่คือ…” ลู่เซิ่งพลันหยีตา
“นี่คือแผ่นหินกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้บันทึกวิชาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจ ว่ากันว่ามันได้บันทึกวิชาที่แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจซึ่งหลอมสร้างกายเนื้อไปถึงจุดสูงสุดได้เอาไว้ แต่เป็นเพราะมีแค่ส่วนเดียว ตัววิชาเองก็บกพร่อง เผ่าปีศาจก็เลยแลกเปลี่ยนมันกับเคล็ดวิชาล้ำค่าจำนวนไม่น้อยของเผ่ามนุษย์” จู้เสอจวิ้นอธิบาย “นี่เป็นรางวัลให้แก่ศิษย์พี่ที่ออกไปสะกดสถานการณ์ในครั้งนี้”
“ก็ได้ ตอนนี้กลับมาพักผ่อนได้ระยะหนึ่งแล้ว สมควรขยับเนื้อขยับตัวสักที” ลู่เซิ่งตอบรับด้วยความยินดี
เขาสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า สิ่งที่แผ่นหินแผ่นนี้บันทึกไว้อาจจะมีส่วนช่วยเหลือต่อเขาอย่างใหญ่หลวง อย่างไรก็เป็นของที่แม้แต่ซูหนิงเฟยก็ยังทะนุถนอม
“ศิษย์พี่ตรงไปตรงมาดีแท้” จู้เสอจวิ้นสะบัดมือโยนแผ่นหินให้ลู่เซิ่ง “เอาล่ะ ข้ายังมีภารกิจ ขอตัวก่อน” เขาลุกขึ้นประสานมือ ก่อนจะหมุนตัวมุดหายเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งรับแผ่นหินมาพิจารณาร่องรอยสับสนด้านบนอย่างละเอียด
ร่องรอยเหล่านี้ดูเหมือนไม่มีแบบแผน แต่หากศึกษาอย่างละเอียด จะสัมผัสได้ว่าคล้ายมีความน่าอัศจรรย์บางอย่างซ่อนอยู่ด้านใน เหมือนกับดึงความสนใจของลู่เซิ่งเอาไว้จนไม่อาจถอนตัวได้
‘ดูเหมือนนี่จะเป็นต้นฉบับของแผ่นหินที่ซูหนิงเฟยเคยใช้หลอกเรา เจ้าสำนักคงจะรู้ถึงความขัดแย้งนี้ เลยเอาแผ่นหินนี้มาจากซูหนิงเฟยเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดในตอนแรก
เจ้าสำนักอย่างเขาช่างเหน็ดเหนื่อยจริงๆ…’ ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ รู้สึกได้ว่าเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกเหมือนกับพี่ชายผู้จนปัญญาที่คอยตามเก็บกวาดให้แก่ซูหนิงเฟยผู้เป็นน้องสาว
ตอนนี้ขนาดร่างกายได้รับบาดเจ็บหนัก ก็ยังไม่ลืมจัดการเรื่องส่วนตัวให้น้องสาวอีก
……………………………………….