ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 505 กลียุค (3)
บทที่ 505 กลียุค (3)
หลังปรึกษากับเฮยจินเรียบร้อยแล้ว ลู่เซิ่งก็เผยแผนการในอนาคตที่วางไว้กับสือจื้อซิงเล็กน้อย แผนการที่สมบูรณ์แบบสองแผนการนี้ ไม่ว่าจะเป็นสำหรับเขาหรือเฮยจิน ล้วนเป็นวิธีการที่ไม่เลวทั้งสิ้น
พอกลับไปถึงต้าอิน ลู่เซิ่งก็เริ่มศึกษาแผ่นหินกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งได้มาทันที
แผ่นหินบันทึกร่องรอยพิเศษที่ดูเหมือนเรียบง่าย แต่ความจริงมีความล้ำลึกมากเอาไว้ส่วนหนึ่ง ระดับความรู้ของลู่เซิ่งในปัจจุบันไม่ใช่ระดับที่ไม่เข้าใจค่ายกลอักขระเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว หลังจากผ่านการศึกษาอย่างละเอียด และการสั่งสมเป็นเวลาหลายปีในโลกสองใบ ตอนนี้นอกจากเขาจะวิจัยอักขระค่ายกลในด้านการส่งตัวจุติแล้ว ก็ยังทำความเข้าใจอักขระที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่เขา และมีคุณสมบัติสังหารไม่น้อยเช่นกัน
ร่องรอยบนแผ่นหินซ่อนเร้นอยู่ลึกถึงขีดสุด หลังจากลู่เซิ่งประทับลวดลายลงบนกระดาษแล้ว ก็ทดลองใช้วิธีการแก้รหัสที่แตกต่างกันสิบสามชนิด เพื่อหาสิ่งของที่มีประโยชน์ด้านในผ่านการประมวลผลย้อนกลับ
ทว่าวิธีคำนวณสิบสามชนิดล้วนล้มเหลว เขาจึงเริ่มลองประสานกับระบบในด้านการการเขียนโปรแกรมบนโลกเดิมดู เพื่อเจาะความลับที่อยู่ด้านใน
ความจริงแล้วแก่นสารของลำดับในเครื่องคำนวณคือการเปลี่ยนแปลงยืดขยายอย่างไร้สิ้นสุดที่ประกอบขึ้นจากเลขศูนย์และเลขหนึ่ง ความจริงเลขศูนย์และเลขหนึ่งก็คือตัวแทนของหยินและหยาง รวมถึงความไม่มีและความมีในคัมภีร์อี้จิง
ในทางทฤษฎี เครื่องคำนวณคือการแสดงผลในสมัยใหม่ของคัมภีร์อี้จิงหลังจากได้รับการพัฒนาถึงขีดจำกัดสูงสุด
ที่วิชาไร้จำกัดของลู่เซิ่งในเวลานี้ใช้หยินหยางเป็นฐาน อาจจะเป็นพราะร่างหลักของเขาเป็นยอดฝีมือด้านโปรแกรมอยู่แล้วก็ได้
เพียงแต่แผ่นหินกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่จะทำความเข้าใจได้อย่างง่ายๆ ทางด้านนี้ดีปบลูก็จนปัญญาเช่นกัน ถึงอย่างไรหากคิดจะเรียนรู้และฝึกฝน ก็ต้องมีเงื่อนไขระดับเบื้องต้นที่จับต้องได้เสียก่อน ตอนนี้อาศัยแค่แผ่นหินแผ่นเดียวที่ไม่มีอะไรสักอย่าง ก็ไร้ความหมายโดยสมบูรณ์
หลังจากศึกษาแผ่นหินชั่วระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดลู่เซิ่งก็ได้รับข้อความจากซูหนิงเฟยผู้เป็นอาจารย์ นางต้องการให้เขามุ่งหน้าไปยังผาดวงดาวเพื่อพาศิษย์น้องเล็กซูย่วนย่วนกลับมา
…
ท้องฟ้ามืดครึ้ม
ด้านในเทือกเขาไพศาล ป่าเขาสีเขียวอมเทาทอดยาวหลายหมื่นลี้ ลำธารที่ไหลคดเคี้ยวสายหนึ่งระหว่างแนวเขาตัดทะลุเทือกเขา เป็นแม่น้ำสีเขียวมรกตที่ไหลอย่างสุขสงบ
เรือทรงอาคารสีแดงสองชั้นที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กกำลังแล่นไปตามแม่น้ำอย่างช้าๆ
บุรุษหล่อเหล่าที่มีบุคลิกไม่ธรรมดาสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันบนบนดาดฟ้าเรือ พวกเขาสวมใส่อาภรณ์ยาวสีเขียว กำลังอุ่นน้ำชาอย่างช้าๆ
ไอร้อนสีขาวลอยออกมาจากปากกาชงชาสีม่วง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา
“นึกไม่ถึงว่าในเทือกเขาไพศาลจะมีสถานที่ที่สุขสงบขนาดนี้อยู่ด้วย สหายชิงเปลืองความคิดแล้ว” บุรุษผมยาวที่อยู่ทางซ้ายดูสุภาพมีมารยาท น้ำเสียงกระจ่างใส ไม่ติดเหน่อแม้แต่น้อย ทั้งยังมีความก้องกังวานน้อยๆ แทรกอยู่ ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นคนที่เด็ดขาดอย่างแน่นอน
คนที่อยู่อีกด้านยิ้มเฉิดฉัน
“สหายเหวินชมกันเกินไป ข้าก็แค่อยู่ว่างไร้เรื่องราวจึงออกท่องเที่ยวไปทั่วเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอสถานที่ที่สงบแบบนี้ในกลียุค”
บุรุษผมยาวส่ายหน้าน้อยๆ อดหัวเราะไม่ได้ ไม่พูดถึงหัวข้อนี้อีกต่อไป เขาขมวดคิ้วกระบี่เล็กน้อยขณะมองไปยังส่วนลึกของเทือกเขาไพศาล เหมือนกับเห็นทิวทัศน์ที่อยู่ลึกที่สุดผ่านเขาสีเทาที่อำพรางไว้หลายชั้นได้
“แต่เดิมทีสหายชิงมีนิสัยรักสงบ ตอนนี้เหตุใดจึงได้สร้างความขัดแย้งกับสำนักพันอาทิตย์เล่า ถ้าหากบอกว่าเพื่ออาวุธเทพหมื่นแปรผัน สหายชิงอย่าพูดถึงข่าวลือเรื่องซุบซิบเหล่านี้ดีกว่า”
บุรุษที่ถูกเรียกว่าสหายชิงคือชิงไป๋อู่ เจ้าพันมังกรทอง บรรพบุรุษแห่งถ้ำมังกรทองในปัจจุบัน ผู้บำเพ็ญสายหลักที่ครอบครองสายเลือดโลหิตมังกรในตอนนี้
ชิงไป๋อู่ได้ยินดังนั้น พลันทราบว่าสหายเก่าตั้งใจจะมาเกลี้ยกล่อมตนเองเช่นกัน เขาจึงหัวเราะเบาๆ
“แม้สำนักพันอาทิตย์จะแข็งแกร่ง แต่นั่นเป็นก่อนที่ผู้อาวุโสประกายขั้วโลกจะได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้เขากำลังสะกดทะเลบูรพา ในสำนักไร้คนดูแล มีแต่ความวุ่นวาย ข้าชิงไป๋อู่ไม่เคยแย่งชิงกับใคร แต่คนในสำนักพันอาทิตย์กลับมาหาเรื่อง ข้าจงลงมือสั่งสอน ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
“สหายชิงรู้จักความเหมาะสมก็ดีแล้ว” บุรุษผมยาวคนนั้นพยักหน้า “เพียงแต่ กลัวว่าข่าวจะหลุดออกไปแล้วมีพวกที่มีจุดประสงค์ไม่ดีมาหาโอกาส…”
ชิงไป๋อู่ส่ายหน้าน้อยๆ “สหายเหวินชาง ขอแค่ไม่ใช่ลิ่วตี้ ตระกูลขุนนางหรือตระกูลใหญ่ๆ ที่เหลือ พวกเรายังมีอะไรต้องกลัวอีก”
เหวินชางส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างหนักใจ ผู้คนเรียกเขาว่าเจ้าลัทธิสำนักแสงสว่าง มีสาวกหลายสิบหมื่น ยอดฝีมือมากมายดุจหมู่เมฆ เป็นพันธมิตรกับถ้ำมังกรทอง จึงมีสิทธิ์กล่าววาจาแบบนี้
เพียงแต่เขาไม่ชอบโอ้อวด เพียงรู้สึกว่าสถานการณ์ในปัจจุบันแสดงแสนยานุภาพมากเกินไป จึงมาเตือน
“สหายเหวินไม่ต้องพูดมากแล้ว คนพวกนั้นข้าให้บทเรียนเล็กน้อยก็จะปล่อยไป ส่วนคนอื่นๆ…ขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเองแล้ว” ชิงไป๋อู่ยิ้ม
“ท่านดู มีคนมาแล้ว” เขาชี้นิ้ว อยู่ๆ ป่าเขาทางขวาของทั้งสองก็แยกออก เผยให้เห็นเมฆพิสดารสีขาวอมเหลืองกลุ่มหนึ่ง
เมฆค่อยๆ สลายไป กลิ่นกำมะถันอันเข้มข้นโชยออกมา จากนั้นก็มีคนสวมอาภรณ์ประหลาดกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
“บรรพบุรุษมังกรทอง อาวุธเทพหมื่นแปรผันไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะฮุบไว้คนเดียวได้” พอชายชราอาภรณ์ขาวไม่มีฟันหน้า ปล่อยผมยาวสยายคนหนึ่งในคนกลุ่มนี้ปรากฏตัว ก็ตวาดเสียงดังทันที “พวกเราสหายร่วมเส้นทางจากสิบสองถ้ำฟ้าร่วมมือกันมาก็เพื่อปรึกษาเรื่องนี้กับบรรพบุรุษ”
“ส่งฉยงซังออกมาเสียเถอะชิงไป๋อู่ ถ้ำมังกรทองไม่สามารถรักษาอาวุธเทพหมื่นแปรผันไว้ได้หรอก” อีกด้านหนึ่งมีเสียงสตรีที่เป็นมิตรและทอดยาวดังขึ้น
โฉมสะคราญกลุ่มหนึ่งซึ่งสวมกระโปรงสีชมพูพัดพลิ้ว และอิริยาบถชดช้อยพากันทิ้งตัวลงจากท้องฟ้า มีเมฆสีขาววนเวียนอยู่รอบตัว
คนที่โดดเด่นที่สุดในสตรีกลุ่มนี้คือโฉมสะคราญร่างสูงชะลูดที่สวมกระโปรงตัวยาวขนห่าน และมีไอสีขาวเย็นเยียบหลายสายวนเวียนอยู่ใต้เท้า
“สามสำนักเพิ่งอ่อนแอลง พวกชั่วๆ ก็โผล่มาทันที” นางกวาดตามองคนจากสิบสองถ้ำฟ้ากลางป่าเขาอย่างรังเกียจ พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เหตุใดแม่นางเยว่กล่าวเช่นนี้ อาวุธเทพหมื่นแปรผันเป็นอาวุธเทพที่ก้าวข้ามระดับเทวปัญญา ถ้าหากได้มา สามารถเดินทางได้หมื่นลี้ ทั้งยังใช้ซ่อนตัวได้ ต่อให้เจ้าแห่งอาวุธลงมือด้วยตัวเอง ยังจะทำอะไรข้าได้ สมัยนี้นี่นะ คนที่ฝึกถึงขั้นนี้ได้ล้วนน่าตกตะลึงทุกคนอยู่แล้ว” ชายชราผมยุ่งคนนั้นแทนที่จะโกรธ กลับหัวเราะเหอะๆ
“วาจานี้มีเหตุผล” ชิงไป๋อู่ที่อยู่บนเรือกลับพยักหน้าเห็นด้วยอย่างหาได้ยาก “เพียงแต่คิดจะแย่งอาวุธเทพหมื่นแปรผันไป คนแค่นี้ยังไม่พอ”
คนสามกลุ่มที่อยู่รอบๆ ไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน ในเมื่อทราบว่าเบื้องหลังซูย่วนย่วนคือสำนักพันอาทิตย์ เบื้องหลังหลี่ซุ่นซีคือสำนักไตรอริยะ แต่ยังกล้าลงมือ ย่อมมีมือมืดคอยสนับสนุนอยู่หลังฉากแน่นอน
ทั้งสามฝ่ายทราบคร่าวๆ ว่าเบื้องหลังอีกฝ่ายคือใคร ตอนนี้คุมเชิงกันอยู่ ไม่มีใครคิดลงมือก่อน
“ผู้อาวุโสทุกท่านเคยคิดหรือไม่ว่า สถานการณ์ในตอนนี้อาจจะเป็นผลลัพธ์ที่สำนักพันอาทิตย์วาดหวังถึงก็ได้” มีเรือไม้ตอนเดียว (เรือแคนู) ค่อยๆ แล่นมาตามแม่น้ำคดเคี้ยวในตอนที่ทั้งสามฝ่ายกำลังคุมเชิงกันอยู่
บนเรือมีหญิงสาววัยแรกแย้มที่มีบุคลิกและรูปโฉมบริสุทธิ์คนหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ นางสะพายพิณยาวเอาไว้ด้านหลัง สวมกระโปรงยาวเนื้อผ้าบางสีเขียว ปักปิ่นระย้าหยกแดงสลักอักขระสีทองบนศีรษะ ให้ความรู้สึกผสมผสานระหว่างความสูงศักดิ์กับความเป็นเซียน
“บางทีทุกท่านอาจไม่สนใจก็ได้ อย่างไรพวกท่านก็มีพลังไม่ธรรมดา บ้างก็เป็นราชันผู้พิชิต บ้างก็เป็นวีรุบุรุษแห่งยุค ต่อให้เผชิญกับสำนักพันอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่เกรงกลัว เนื่องจากขุมกำลังที่พวกเขาส่งมาได้ในปัจจุบันมีจำนวนงอนิ้วนับได้” นางกล่าวอย่างฉะฉาน
“หอเสียงเสนาะก็คิดจะสอดมือเหมือนกันหรือ” หลังจากเห็นสตรีผู้นี้เผยโฉม ดวงตาของชิงไป๋อู่พลันแสดงเลศนัย
“ตรงกันข้าม หอเสียงเสนาะของพวกเราไม่มีความคิดจะสอดมือไปยุ่งเรื่องของอาวุธเทพหมื่นแปรผัน เพียงแต่นึกอยากรู้อยากเห็น ว่ากันว่าซูหนิงเฟยแห่งสำนักมารกำเนิดได้รับการขนานนามเป็นอริยะเจ้าอันดับหนึ่งในโลก เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากเจ้าแห่งอาวุธ ถ้าพวกท่านเจอ หรือคิดว่าจะหาผลประโยชน์ได้จากนางจริงๆ ดังนั้นข้าเลยมาดู” หญิงสาวกล่าวพลางยิ้มบาง
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ในเมื่อจะลงมือแล้ว ย่อมมีการเตรียมตัวที่เอาไว้ใช้รับมืออริยะเจ้าเชียนตู้” ชายชราผมยุ่งจากสิบสองถ้ำฟ้าหัวเราะเหอะๆ เสียงเย็น
“อย่างนั้นหรือ แต่นอกจากอริยะเจ้าเชียนตู้แล้ว สำนักพันอาทิตย์ไม่ใช่ไม่มีตัวเลือกอริยะเจ้าคนอื่นๆ ที่จะมาจัดการอีก” หญิงสาวจากหอเสียงเสนาะกล่าวต่อ “แม้จะต้องรับมือศึกใหญ่กับพิภพมาร และรับมือกับการรั่วไหลของวิญญาณชั่วร้าย แต่ด้วยศักยภาพของสำนักพันอาทิตย์ การส่งอริยะเจ้าหนึ่งหรือสองคนมารับมือ ยังคงเป็นสิ่งที่ทำได้ ทุกท่านย่อมไม่เกรงกลัวพวกเขา ที่ข้ามาที่นี่ หลักๆ ก็เพื่อเตือนพวกผู้อาวุโสประโยคหนึ่ง จงระวังอริยะเจ้าคนหนึ่งของสำนักพันอาทิตย์ที่เพิ่งเลื่อนระดับขึ้นใหม่”
“อ้อ?” ชิงไป๋อู่งุนงง จากนั้นก็คล้ายนึกอะไรออก “เจ้าหมายถึงลู่เซิ่งเจ้าสำนักมารกำเนิดหรือ”
อริยะเจ้าในต้าอินมีน้อยนิด ต่อให้รวมกับยอดฝีมือระดับเดียวกันในพิภพมารก็มีจำนวนไม่เกินยี่สิบคน กระจายกันอยู่ตามตระกูลใหญ่กับสำนักใหญ่ๆ และแม้กล่าวกันว่าสำนักพันอาทิตย์มีอริยะเจ้ามากที่สุด แต่ความจริงมีทั้งหมดเจ็ดคน
ปัจจุบันสำนักพันอาทิตย์มีแค่หกคน ในหกคนนี้รวมเชียนตู้ซูหนิงเฟยเข้าไปแล้ว พวกเขาแยกกันสะกดการศึกของพิภพมารและประตูทางเข้าออกของวิญญาณร้าย รวมถึงควบุคมสถานการณ์ในสำนัก กล่าวได้ว่าไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น สามารถแบ่งสองคนมาลงมือช่วยเหลือ ก็ถือว่าหายากเป็นอย่างยิ่งแล้ว
นี่เป็นสาเหตุที่คนซึ่งอยู่รอบๆ รู้จักอริยะเจ้าของสำนักพันอาทิตย์เป็นอย่างดีเหมือนกับนับสมบัติในบ้าน เป็นเพราะสามสำนักมีเส้นสนกลในแค่นั้น ยอดฝีมือจึงโด่งดังไปทั่วใต้หล้ามานานแล้ว
และเนื่องจากอริยะเจ้ามีจำนวนน้อยนิดขนาดนี้ ตอนที่ตระกูลหยวนกวงเจอเข้ากับการปกป้องลูกของลู่เซิ่งในตอนนั้น จึงไม่กล้ากดดันมากเกินไป สำหรับสำนักพันอาทิตย์แล้ว อริยะเจ้าสักคน สุดที่พวกผู้อาวุโสหรือจอมอาวุธทั่วไปจะเทียบเคียงได้
“ถูกต้อง เป็นคนผู้นั้น” หญิงสาวจากหอเสียงเสนาะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สหายสนิทคนหนึ่งของข้าเคยบอกว่า ลู่เซิ่งเป็นพวกอารมณ์คุ้มดีคุ้มร้าย ชอบเอาแต่ใจ กระทำเรื่องใดล้วนตรงไปตรงมา ไม่เคยเหลือทางถอยให้ใคร แถมเขายังเป็นศิษย์ในนามของอริยะเจ้าเชียนตู้ ถ้าหากเขามาด้วยตัวเองล่ะก็…”
“เขาเพิ่งเลื่อนระดับมาไม่กี่ปี หากสู้กันซึ่งหน้า พวกเราต้องกลัวอะไร” ชิงไป๋อู่กล่าวอย่างเปิดเผย
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น สตรีกระโปรงยาวขนห่านที่อยู่ใกล้ๆ ก็กล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนเช่นกัน
“ลู่เซิ่งเกรี้ยวกราดไม่ยอมใคร แต่สิ่งใดแข็งเกินไปก็จะหักได้ง่ายเช่นกัน”
“ทุกท่านดูถูกคนผู้นี้เกินไปแล้ว…ขอให้ข้าได้อธิบายให้แก่ผู้อาวุโสทุกท่านฟังอย่างละเอียดเถอะ” หญิงสาวจากหอเสียงเสนาะยิ้ม ปากเล็กขยับเล็กน้อย เสียงหลายสายส่งเข้าหูของคนทั้งสามกลุ่มที่เหลือ
ตอนแรกทั้งสามกลุ่มไม่ได้คิดอะไร แต่ไปๆ มาๆ สีหน้ากลับค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นตามเนื้อหาจากการถ่ายทอดกระแสเสียง
ต้าอินมีอริยะเจ้าทั้งหมดไม่กี่คน เปลือกนอกพวกเขาสามกลุ่มไม่ใช่คนจากทางการ แต่ความจริงเบื้องหลังล้วนสังกัดสามตระกูลและสามสำนัก เพียงแต่เปลี่ยนสถานะยามอยู่ด้านนอกเท่านั้น
เบื้องหลังมีคนคอยสนับสนุน นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขามีความมั่นใจ แต่ตอนนี้พอได้ยินหญิงสาวจากหอเสียงเสนาะส่งกระแสเสียง ท่าทีไม่ยี่หระของทุกคนในตอนแรกก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดหอเสียงเสนาะถึงได้รู้จักลู่เซิ่งดีขนาดนี้ เบื้องหลังเรื่องนี้อดทำให้ทุกคนใคร่ครวญไม่ได้
……………………………………….