ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 514 ยกระดับ (2)
บทที่ 514 ยกระดับ (2)
‘ชักช้าไม่ได้ ออกเดินทางพรุ่งนี้เลย จะได้ดูด้วยว่าโลกใบนี้มีสถานการณ์แบบไหนกันแน่’ ลู่เซิ่งตกลงใจ
เย็นวันนั้นเขากำชับให้ข้ารับใช้เตรียมอาหารระหว่างเดินทางให้แก่เขา จากนั้นก็จัดเก็บสัมภาระ และเข้านอนแต่หัววัน
เช้าวันต่อมา เจอลีนมาเยี่ยม หลังทราบว่าลู่เซิ่งคิดออกเดินทาง นางก็อยากจะติดตามไปด้วย
ช่วงนี้ลู่เซิ่งฝึกฝนกายเนื้อ เนื่องจากอยู่ใกล้ เจอลีนจึงมักมาช่วยดูแลเขาเสมอ ในคฤหาสน์มีภารกิจและสิ่งของมากมายที่นางเป็นคนจัดการดูแล ถือว่าจัดระเบียบได้อย่างเรียบร้อย
สถานที่แรกที่ลู่เซิ่งจะไปเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีชื่อว่าเมืองเวตาสในเขตอาทิตย์อัสดง
จดหมายของโรดี้บอกไว้ว่า ที่นั่นมีผู้ชายคนหนึ่งชื่อว่าเวรอน เป็นยอดฝีมือที่ร่ำเรียนมาจากสำนักการต่อสู้อิสระอินดี้ แม้ว่าจดหมายจะพูดถึงแค่ไม่กี่ประโยค แต่ลู่เซิ่งกลับจดจำไว้ในใจ
เป็นเพราะว่ากันว่าสำนักของเวรอนผู้นี้เป็นสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงเทียบได้กับสำนักวิชาดาบเจอเรลโล
คงจะมีตัวยาคล้ายๆ กันอยู่
ตัวยาชนิดอื่นๆ เป็นเป้าหมายของเขาในครั้งนี้
ตามคำพูดของโรดี้ คนที่ฝึกฝนวิชาดาบมีช่วงทดลองประสิทธิผลของตัวยาที่แตกต่างกันกับตัวเอง ถ้าหากว่าเขาไม่ถูกกับยาเข็มดำ บังเกิดผลไม่มากนัก อย่างนั้นก็ลองใช้ยาหนามแดงในมือเวรอนได้
เขาเคยช่วยเหลือเวรอนมาครั้งหนึ่ง จึงให้ข้อเสนอที่ไม่มีทางถูกปฏิเสธกับอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
ร่างกายของลู่เซิ่งปรับตัวเข้ากับการกระตุ้นจากเข็มดำได้พอดี การเปลี่ยนไปใช้ตัวยาอีกชนิดอาจจะทำให้เกิดการยกระดับขึ้นก็ได้
…
เมืองเวตาส
ดวงอาทิตย์ร้อนแรงปลดปล่อยแสงและความร้อนอย่างแรงกล้ากลางท้องฟ้าสีครามที่ไร้เมฆ
อากาศภายในเมืองเหมือนกำลังบิดเบี้ยว ไอร้อนพร่ามัวระเหยขึ้นจากพื้น ลมพัดใส่ตา หู จมูก ปากจนเกิดความรู้สึกแห้งผากแสบร้อน
ลู่เซิ่งกับเจอลีนพันผ้าสีขาวไว้ทั่วร่างเพื่อใช้สะท้อนแสง
มีข้ารับใช้ติดตามอยู่ด้านหลังคนทั้งสอง หลังจากเข้าเมืองมา พวกเขาก็คอยเฝ้าดูเมืองพิเศษแห่งนี้มาโดยตลอด
ต่อให้อากาศจะร้อน แต่บนถนนหนทางสองฟากฝั่งยังมีคนเดินทางมาๆ ไปๆ ไม่น้อย ผิวถนนตรงกลางเต็มไปด้วยมูลของม้าเทียมรถและวัวเทียมรถที่ผ่านทาง พอถูกดวงอาทิตย์สาดแสงใส่ กลิ่นเหม็นก็ลอยคละคลุ้ง
เจอลีนตัวเล็ก แต่หน้าอกหน้าใจกลับใหญ่โต กระเด้งกระดอนยามเดิน ดึงดูดสายตาถึงขีดสุด ชายจำนวนไม่น้อยที่ดูเหมือนจะเป็นทหาร อดที่จะกวาดสายตาอย่างคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจผ่านตัวนางไม่ได้
มีคนคิดจะเข้ามาเกี้ยวพา แต่หลังจากเห็นลู่เซิ่งที่ร่างสูงใหญ่กำยำอยู่ด้านข้าง ก็พากันถอยกลับไปเอง
“ข้าไม่เคยเห็นสถานที่ที่น่าสนุกแบบนี้มาก่อนเลย” เจอลีนลืมตาโตพลางมองไปทั่วอย่างใคร่รู้
ลู่เซิ่งเดินอยู่ด้านหลังนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ความจริงมีพื้นที่กว้างนิดหน่อย คนก็เยอะเล็กน้อย มีบ้านมากกว่าบางส่วน ไม่ได้แตกต่างอะไรมากนัก”
“ต่างกันตั้งเยอะ ยังจะมาบอกว่าไม่ต่างอะไรมากนักอีก” เจอลีนกล่าวอย่างหมดคำพูด พอเห็นว่ามีร้านขายเครื่องประดับทำจากเงินและทอง ก็รีบเข้าไปเลือก
ทั้งสองเป็นคนจากคฤหาสน์ จึงไม่ขัดสนเงินทอง เจ้าของคฤหาสน์ที่ลงหลักปักฐานในสถานที่แบบนี้ได้ไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน
โดยเฉพาะโรดี้ยังเป็นนักรบห้าวหาญที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้วด้วย
ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ ในขณะที่เจอลีนกำลังเลือกเครื่องประดับ เขาพาเจอลีนมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว หลังจากจัดการเรื่องที่พักเสร็จ เขาก็พาคนไปตามหาชายคนที่ชื่อเวรอนคนนั้นทันที
เขาจำได้ว่าคนผู้นั้นเปิดร้านในถนนเขตนี้
“หลีกไป!”
“อย่าขวางทาง!”
“หลีกทางซะ! เจ้าพวกหมูผิวขาวน่าขยะแขยง!”
อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงสบถด่าดังมาไกลๆ ชายฉกรรจ์ผิวเหลืองสวมเสื้อสีขาวและกางเกงสีเหลืองเข้มกลุ่มหนึ่งผลักฝูงชนเดินมาทางนี้พร้อมกับตะโกนด่า
“เป็นไอ้พวกผิวเหลืองตัวเตี้ยจากทางตะวันออก!”
“รีบไปไกลๆ เถอะ! อย่าไปถูกตัวพวกมัน!”
“น่ารำคาญจริง! ไม่มีใครไปจัดการพวกมันเลยหรือ?!”
ลู่เซิ่งได้ยินคนรอบๆ กระซิบกระซาบ
ลู่เซิ่งมองไปยังคนกลุ่มนั้น คนเหล่านี้มีร่างกายแข็งแกร่ง แต่ตัวเตี้ยเล็กน้อย ผิวเป็นสีเหลืองอ่อน ใบหน้าเหมือนชาวตะวันออก สะพายดาบสั้นหลายเล่มไว้ด้านหลัง
พอเห็นคนที่มีสีผิวเหมือนกับร่างหลักของตัวเอง ลู่เซิ่งก็เกิดความรู้สึกใกล้ชิดเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าคนกลุ่มนี้วางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่มีใครบนถนนกล้าหาเรื่อง เขาก็รู้สึกจนใจอย่างอดไม่ได้
“โรแซง…” เจอลีนเหมือนจะตกใจ จึงกลับมาที่ข้างกายเขาพร้อมกับจับมือเขาเบาๆ
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว” ลู่เซิ่งเอ่ยเบาๆ แล้วลากนางเดินไปยังร้านแกะสลักไม้ร้านหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
คนสวมชุดสีขาวซึ่งมีผิวสีเหลืองกลุ่มนั้นผ่านหน้าร้านไปอย่างรวดเร็ว โดยเดินไปพลางด่าไปพลาง
หลังจากพวกลู่เซิ่งเข้าไปในร้านแล้ว ก็พบเจ้าของร้านที่นั่งสัปหงกอยู่ตรงปากประตูทันที
“เจ้าคือ…โรแซงหรือ” เจ้าของร้านเป็นชายคนหนึ่ง ร่างกายนับว่าล่ำสันสมส่วน ให้ความรู้สึกทรงพลังแบบเพรียวลม
แต่ว่าก็ยังตัวเล็กกว่าลู่เซิ่งอยู่ดี
เจ้าของร้านตื่นขึ้นมา แล้วยืนขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
“มองแวบแรกก็จำเจ้าได้ทันที เจ้าเหมือนกับพ่อเจ้าสมัยหนุ่มๆ ไม่มีผิด! เจ้าคนกล้ามโตเอ๊ย!” เขาตบแขนลู่เซิ่งอย่างแรง
“ลุงเวรอนหรือขอรับ” ลู่เซิ่งถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว ข้าเองเวรอน พ่อเจ้าบอกกับข้าไว้แล้ว เจ้ามาลองยาใช่ไหม ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าแล้วล่ะ” เวรอนหัวเราะลั่น “ตามข้ามาสิ!”
เขาไม่แสดงความห่างเหินแม้แต่น้อย จัดให้ข้ารับใช้กับเจอลีนพักผ่อนในร้านก่อน จากนั้นก็พาลู่ซิ่งออกไปทางหลังร้าน แล้วพามาถึงคลังเก็บสินค้าที่เต็มไปด้วยรูปแกะสลักไม้
“ดูเหมือนเจ้าเลือกที่จะไม่หนีสินะ” เวรอนมองลู่เซิ่งพลางกล่าวอย่างสะท้อนใจ
“การหนีไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ใช่แล้ว เหมือนกับข้า…ตอนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเจ้า…” เวรอนส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก
เขาผลักถังกลมที่ทำจากไม้ใบหนึ่งออกมา ก่อนจะเปิดฝาถัง แล้วหยิบขวดสีดำขวดหนึ่งออกมาจากด้านใน
ขวดใหญ่เท่าปากชาม เขาเปิดฝาให้ลู่เซิ่งดู สิ่งที่บรรจุอยู่ด้านในเป็นของเหลวเหนียวๆ สีดำสนิท ซึ่งส่งกลิ่นเหม็นเหมือนถ้วยพลาสติกไหม้
“นี่เป็นส่วนที่ข้าทำขึ้นมาเมื่อก่อนหน้าแต่ไม่ได้ใช้ เจ้าเอาไปให้หมดเลย พอให้คนสิบกว่าคนใช้เป็นเวลาสิบกว่าปี…ตอนนั้นข้าเตรียมไว้เพื่อใช้เปิดสำนักรับศิษย์ น่าเสียดาย…” เวรอนแสดงสีหน้าจนปัญญา
“นี่คือหนามแดงนี่เอง…” ลู่เซิ่งรับขวดยามาเขย่า สัมผัสได้ถึงความหนักอึ้งด้านใน
“เอาไปเถอะ เอาไปให้หมดเลย อย่างไรตอนนี้ข้าก็ไม่ได้ใช้แล้ว” เวรอนยิ้มอย่างโดดเดี่ยว
เขาก้มหน้าลงหยิบบุหรี่ออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ ไม่ได้จุดไฟ เพียงแต่คาบไว้ในปากแล้วสูดลมลึกๆ เฮือกหนึ่ง
“สุดท้ายนะโรแซง ในฐานะคนแก่ที่เกือบตายเพราะไม่ฟังคำเตือนของพ่อเจ้า ข้าขอพูดตรงๆ กับเจ้าสักเรื่อง”
“เชิญขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้าน้อยๆ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
เวรอนเงียบงันเล็กน้อย ก่อนที่จะสูดลมสูบบุหรี่ไปอีกหลายฟอด แล้วเอ่ยว่า
“อย่าไปสู้กับสัตว์ประหลาดตรงๆ เด็ดขาด อย่าได้หลงลำพองในพลังของตัวเอง เจ้าจงจำไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ก็ห้ามสู้กับสัตว์ประหลาดซึ่งหน้า ทักษะที่พวกเราฝึกฝนเอาไว้ใช้กับมนุษย์ สาเหตุที่สัตว์ประหลาดถูกเรียกว่าสัตว์ประหลาด เป็นเพราะพวกมันฆ่าไม่ตาย”
เขาดึงขาซ้ายของตัวเองขึ้นมาเบาๆ ตรงนั้นเป็นขาปลอม
“ดูซะ นี่เป็นราคาที่ข้าต้องจ่าย”
“ข้าจะจำไว้” ลู่เซิ่งพยักหน้าเหมือนมีความคิดใด
“นอกจากนี้ ถ้าหากเจ้าดูดซับยาได้ไม่เลว แล้วคิดจะทดลองยามากกว่านี้ สามารถไปยังสถานศึกษาแบมบาในเมืองชะมดต้นได้ เคอเค่ออันด้าที่เป็นศาสตราจารย์ด้านยาในสถานศึกษาช่วยเจ้าได้ เจ้าบอกเขาว่าข้าเป็นคนให้เจ้าไปก็พอ เขาเป็นเพื่อนสนิทของข้าเอง เขาจะต้องช่วยเจ้าแน่” เวรอนกล่าวเสริม
“ขอรับ ขอบคุณมาก คุณเวรอน” ลู่เซิ่งขอบคุณด้วยความจริงใจ
“เรียกลุงสิโว้ยไอ้เด็กบ้า” เวรอนด่าด้วยรอยยิ้ม
…
หลังจากออกมาจากร้านแกะสลักไม้ เวรอนยังได้จัดให้ผู้ร่วมงานคนหนึ่งมาดูแลพวกลู่เซิ่งด้วย
พวกเขาคิดจะเที่ยวเล่นในเมืองสักสองสามวัน สำหรับลู่เซิ่งแล้ว เขาจึงใช้เวลาสองสามวันนี้ทดลองโอกาสที่ยาหนามแดงจะเกิดผลกับตัวเองได้พอดี
เป็นเพราะอยู่ด้านนอกและมีเจอลีนอยู่ใกล้ๆ ลู่เซิ่งจึงกินยาจำนวนมากไม่ได้ ได้แต่ทดลองแค่เล็กน้อย
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ยาชนิดใหม่นี้มีผลจริงๆ
แต่ว่าเวรอนให้มาน้อยเกินไป แม้จะเพียงพอสำหรับคนธรรมดา แต่ยังขาดอีกมากสำหรับลู่เซิ่ง
ภายหลังลู่เซิ่งไปสอบถามอีกครั้ง เวรอนกลับมอบสูตรยาให้เขาอย่างไม่หวงของ
ความจริงแล้วตัวยาไม่ใช่สิ่งที่มีค่าที่สุด สิ่งที่มีค่าที่สุดคือวิธีการฝึกฝนที่ช่วยขจัดพิษต่างหาก หากกินยาโดยไม่มีวิธีการฝึกฝน นั่นก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายอย่างช้าๆ
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งซาบซึ้งก็คือ เวรอนได้ส่งวิธีการฝึกฝนที่เข้าชุดกันให้เขาด้วย
ในคำสั่งของเขาก็คือ ไม่ถ่ายทอดให้คนอื่นก็เป็นอันใช้ได้
ถึงอย่างไรพ่อของโรแซงก็คือโรดี้ เป็นคนในกลุ่มเดียวกันอยู่แล้ว จึงรู้ไส้พุงกันดี บวกกับโรดี้เคยช่วยชีวิตเขาไว้ด้วย
เวรอนบอกว่าของแค่นี้เป็นแค่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของตนเท่านั้น ภายหลังหากต้องการอะไรอีก สามารถมาให้เขาช่วยได้ตลอดเวลา
หลังจากได้รับสูตรยาแล้ว ลู่เซิ่งยังไม่ได้กลับทันที หากมุ่งหน้าไปยังสถานศึกษาแบมบาที่เวรอนพูดถึง
เขาให้ข้ารับใช้ส่งเจอลีนกลับบ้าน ตนก็ขอติดตามไปกับกลุ่มพ่อค้าที่มุ่งหน้าไปยังเมืองชะมดต้นเพียงลำพัง
ในเมื่อต้องการตามหาแล้ว เช่นนั้นหาสูตรยาและตัวยาให้เยอะๆ ในทีเดียว แล้วก่อนค่อยว่ากันดีกว่า
…
ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจักรวรรดิอีสพีซ ป่าไอเออร์มา
ในป่ารกสีเขียวขี้เข้มซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา รอบๆ แอ่งที่ขึ้นเต็มไปด้วยหญ้าสีขาวแห่งหนึ่ง ทหารที่ถือหอกยาว ดาบสั้น และโล่กลุ่มหนึ่งกำลังกระจายตัวกันอยู่กลางป่าอย่างระมัดระวัง
ชายร่างสูงใหญ่สวมเกราะหนังของทหารประจำจักรวรรดิเดินไปหาเงาคนที่สวมเสื้อคลุมคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างแอ่ง
ตรงหางตาเขามีรอยกรีดที่น่ากลัว ลำคอที่เผยออกมามีรอยแผลเป็นสีแดงเข้มมากมาย
“ทางนั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว…พวกมันฆ่าคนของเหยี่ยวขาวไปสี่คน…” เขาตัวสั่นเล็กน้อย คล้ายกับตื่นเต้นและหวาดกลัวอยู่บ้าง เขาสังเกตเห็นว่าคนสวมเสื้อคลุมร่างสั่นสะท้านหลังจากได้ยินข่าวนี้ ดังนั้นจึงบอกต่อ
“มีคนบอกว่า เจ้าเคยรอดจากแดนมรณะหรือ”
ทั้งป่าเงียบลงทันที
ชายผู้มีรอยกรีด รอคอยคำตอบของอีกฝ่ายอย่างอดทน แต่ว่าหลังมือที่สั่นอย่างต่อเนื่องกลับเผยถึงอารมณ์ของเขาในเวลานี้
“ท่านแม่ทัพอูรุส ท่านกำลังจะเจอแดนมรณะแล้วหรือ” คนสวมเสื้อคลุมส่งเสียงที่แหบพร่าฟังยาก
ชายผู้มีรอยกรีดเม้มปากแน่น ไม่ได้ตอบกลับ
สักพักใหญ่ๆ คนสวมเสื้อคลุมก็ค่อยๆ เอ่ยปาก
“ครั้งนี้ คนที่ต้องเผชิญแดนมรณะมีไม่น้อย ด้วยพลังของพวกท่าน ไม่มีทางหาวิธีการสำคัญที่ใช้หลบเลี่ยงแดนมรณะเจอ ยิ่งอย่าว่าแต่ข้า ท่านฆ่าข้าไป ข้าก็ช่วยให้ท่านหลุดพ้นไม่ได้อยู่ดี… พลังของสถานที่แห่งนั้นไม่อาจต่อต้านได้…”
อูรุสข่มโทสะไว้
“แม้แต่หมอเอ็ดเวิร์ดผู้ได้ฉายาว่าแสงสว่างแห่งอีสพีซก็ตายไปแล้ว…หลายปีมานี้…หลายปีมานี้…ข้าระวังตัวอยู่ทุกวินาทีเพื่อป้องกันสัตว์ประหลาดที่อาจมาสังหารข้าได้ตลอดเวลา ต่อให้หลบรอดการไล่ล่าได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังอกสั่นขวัญแขวนตลอดเวลา แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน! นี่คือแดนมรณะ เป็นแดนมรณะเชียวนะ!”
คนสวมเสื้อคลุมเงียบงัน
“ตอนที่ข้ารอดจากแดนมรณะ เพียงแต่อาศัยโชคช่วยเท่านั้น สิ่งที่ข้าบอกท่านได้เพียงอย่างเดียวคือ จงอย่าหลบหนี”
“จงอย่าหลบหนี…หรือ” แม่ทัพอูรุสทวนคำหนึ่งรอบ
……………………………………….