ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 516 เจ็บปวด (2)
บทที่ 516 เจ็บปวด (2)
ฟู่ว…
โรดี้พ่นควันสีขาวออกมาช้าๆ พร้อมกับเงยหน้ามองร้านค้าเก่าแก่สีเหลืองอ่อนด้านหน้า มือกุมแขนขวาขณะค่อยๆ เดินเข้าไป
ในร้านมืดมนไร้แสง มีชามใส่เส้นที่เหลือแค่น้ำซุปวางอยู่บนโต๊ะยาว ตะเกียบถูกโยนไว้ด้านข้าง ทิ้งคราบน้ำสองสายไว้บนโต๊ะ
นาฬิกาแขวนบนผนังส่งเสียงดังติ๊กต่อก เข็มสั้นถูกโลหะเสียดสีจนส่งเสียงเป็นระยะ
“ครั้งนี้รบกวนเจ้าอีกแล้วมาร์ต” โรดี้เอ่ยเบาๆ
ร่างกายของเขาที่เดิมทีกำยำสูงใหญ่ เวลานี้ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เคราบนแก้มไม่ได้ตัดมานานแล้ว เบ้าตาจมลึก แสดงให้เห็นว่าอิดโรยอย่างยิ่ง
ชายวัยกลางคนที่ดวงตาเป็นประกายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังโต๊ะยาวช้าๆ ชายคนนี้ดูเหมือนจะผอมยิ่งกว่าโรดี้ในตอนนี้เสียอีก
“ไม่เป็นไร…กฎเดิม ราคาเดิม แต่เจ้าใกล้จะเจอแดนมรณะแล้วสินะ” เสียงของเขาแหลมเหมือนกับเป็ด
“อือ ใกล้แล้ว…” โรดี้พยักหน้า
“ผ่านมาหลายปี…ถ้าหากเจ้าตายไปอีกคน ข้าคงเหลือสหายไม่กี่คนแล้ว” อีกฝ่ายเอ่ยอย่างเสียดาย “ดังนั้น ห้ามตายล่ะ”
โรดี้เค้นยิ้มเหยเก “ข้า…จะพยายาม”
…
หนึ่งเดือนให้หลัง…
ปุดๆๆ…
หม้อใหญ่ใบหนึ่งกำลังต้มของเหลวสีเขียวอ่อนปริมาณมากที่มีความเหนียวถึงขีดสุด ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านข้าง ใช้พายไม้คนเพื่อปรับความร้อนอย่างต่อเนื่อง
‘นี่เป็นหม้อสุดท้ายแล้ว…น่าจะเพียงพอไปได้สักระยะ’
หลังจากกลับมา เขาก็จ่ายเงินจ้างคนให้ปรุงยาปริมาณมหาศาล พร้อมกับซื้อวัตถุดิบที่หาซื้อได้จากบริเวณรอบๆ จนครบ
สูตรยาบนรายการนั้นมีทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบห้าชนิด
เขาต้มยาแต่ละชนิดเป็นปริมาณอย่างน้อยให้คนหนึ่งร้อยคนพอกินไปห้าสิบปี แถมความเข้มข้นยังสูงจนน่ากลัวด้วย
ไม่นานนัก หลังจากที่ของเหลวในหม้อข้นขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่ลู่เซิ่งคำนวณไว้ก็มาถึงแล้ว
ในอากาศเริ่มมีกลิ่นเหม็นที่ให้ความรู้สึกเหนียวเนื้อเหนียวตัวแผ่กระจาย
‘เรียบร้อย’ เขาโยนพายไม้ทิ้ง ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งยกหม้อใหญ่ขึ้น แล้วเงยหน้ากระดกดื่มลงไปโดยไม่สนใจเลยว่ามันกำลังเดือดอยู่
อึกๆๆๆๆ…
ดีที่รอบๆ ไม่มีคน ไม่อย่างนั้นหากเห็นภาพนี้เข้า เกรงว่าจะต้องตกใจจนเป็นลมแน่ คนที่ยกยาที่เพิ่งต้มเดือดขึ้นกรอกใส่ปากไม่อาจนับเป็นมนุษย์ได้อีกแล้ว
‘ดีปบลู!’
พอดื่มจนหมด หนังท้องของลู่เซิ่งก็นูนสูงขึ้น
เขาเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมาทันที ก่อนจะเพ่งมองกรอบ
“วิชาดาบเจอเรลโล!”
ซู่ว…
กรอบพลันพร่ามัว
ผิวหนังทั่วร่างลู่เซิ่งกลายเป็นสีแดงและพองขยายด้วยความเร็วสูง ขนาดร่างกายที่ตอนแรกสูงเพียงหนึ่งจุดแปดเมตรค่อยๆ เริ่มสูงใหญ่ขึ้นอีก
นี่เป็นการขยายใหญ่ที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติหลังจากร่างกายแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง
โครงกระดูกได้รับการเสริมความแข็งแกร่งจนหนาและแข็งขึ้น กล้ามเนื้อใหญ่โตและยืดหยุ่นขึ้นกว่าเดิม พละกำลังเพิ่มขึ้น ความเร็วสูงขึ้น ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องรวบรวมพลังงานปริมาณมาก
ในกรณีที่ไม่มีวิธีการบีบอัดพลังงานชนิดพิเศษ การที่กายเนื้อขยายใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับกล้ามเนื้อที่เพิ่มมามากกว่าเดิมเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
หลายวินาทีต่อมา กรอบก็ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง
[วิชาดาบเจอเรลโล: ปรมาจารย์ (ผลพิเศษ: วิชาดาบสมบูรณ์ พละกำลังเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยสามระดับ คุณสมบัติร่างกายยกระดับขึ้นหนึ่งร้อยสามระดับ ความเร็วยกระดับขึ้นหนึ่งร้อยสามระดับ)]
‘ยกระดับขึ้นหนึ่งขั้น พอใช้ได้’ ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย “เพียงแต่แบบนี้ก็ยังช้าเกินไปอยู่ดี…” เขาขมวดคิ้ว
‘นอกจากนี้เรายังหาทักษะฝึกฝนกายเนื้อที่ใช้กันแพร่หลายในโลกใบนี้ส่วนหนึ่งเจอจากสิ่งที่ได้เรียนรู้ก่อนหน้าด้วย พลังอาวรณ์ยกระดับมาตั้งมากมายแต่กลับเสียไปนิดเดียว น่าจะมีเหลือใช้ในภายหลัง’
เขาวางหม้อใหญ่ลง ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องครัว แล้วเข้าไปในคลังเก็บของ
บนชั้นเหล็กหลายแถวในคลังเก็บของจัดวางขวดโหลใส่ยาหลากหลายชนิดไว้จนเต็มไปหมด ขวดโหลทุกขวดคือยาความเข้มข้นสูงที่พอให้คนมากกว่าร้อยคนกินเป็นเวลาห้าสิบปี พวกมันล้วนเป็นไขมันที่ใกล้จะแข็งตัวเต็มที
‘ความแข็งแกร่งของร่างกายในตอนนี้สามารถต้านทานการกระตุ้นจากยาพิษได้แล้ว อย่างนั้น ถ้าหากเราผสมยาพิษแต่ละชนิดเข้าด้วยกันล่ะ’ ลู่เซิ่งพลันเกิดความคิดพิสดาร
ถึงอย่างไรเขาก็มีดีปบลูอยู่ จึงไม่สนใจว่าจะเป็นยาพิษชนิดไหน เพียงใช้พลังอาวรณ์เรียนรู้ ก็จะสร้างวิธีการฝึกฝนที่สามารถขจัดยาพิษได้ทันที จึงเปลี่ยนฤทธิ์ยาที่มีความเป็นพิษรุนแรงให้กลายเป็นความแข็งแกร่งขึ้นได้โดยตรง
‘แต่ก่อนหน้านั้น ต้องเรียนรู้สภาพหยินโชติช่วงให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นเกิดแข็งแกร่งขึ้นจนกลายเป็นสภาพประหลาด แล้วโดนโรดี้เข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์ประหลาดคงจะแย่แน่…’ ลู่เซิ่งยังจำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวของตัวเองได้ หนังหน้าจึงกระตุกเล็กน้อย
เขาหยิบโหลยาที่ยากลายเป็นไขอยู่ข้างในโหลหนึ่งขึ้นมาเปิดออกแล้วเทยาใส่ปาก จากนั้นก็กินพลางกลับห้องนอนไปพลาง เพื่อเตรียมจะพักผ่อน
“นาย…นายท่าน…มีแขกมาขอพบขอรับ…” อยู่ๆ ด้านนอกประตูเรือนก็มีเสียงสั่นเครือดังมา เป็นข้ารับใช้ในคฤหาสน์นั่นเอง
นับตั้งแต่ลู่เซิ่งบีบข้ารับใช้ที่อู้งานแอบลดวัสดุในตอนไปซื้อยาเมื่อก่อนหน้าตายคามือไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ไม่มีใครกล้าคุยกับเขาซึ่งหน้าอีก
เรื่องแบบนี้เห็นได้บ่อยมากในสถานที่ที่อยู่ใกล้ชายแดน กฎหมายมาไม่ถึงที่นี่ จึงไม่มีใครรักษากฎตรงนี้
หลังจากลู่เซิ่งฆ่าคนที่มาหาเพื่อต้องการหลอกเอาเงินติดต่อกัน ก็ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้กับเขาต่อหน้าอีก
“มีคนมาหรือ หาใคร ข้าหรือ” ลู่เซิ่งถามเสียงทุ้ม
“ขอรับ…” ข้ารับใช้ตอบเสียงสั่น
“อือ…ให้เขารอครู่หนึ่ง” ลู่เซิ่งหมุนตัวเดินไปหาตู้เสื้อผ้า เตรียมจะหาชุดที่ใส่ได้
…
บนสะพานหินที่โค้งเล็กน้อยข้างโรงโม่ในคฤหาสน์ คนสวมชุดสีดำที่ใส่เสื้อคลุมทับไว้กำลังยืนรอคอยอย่างสงบอยู่หน้าประตูใหญ่ของตัวเรือน
ข้างใต้เสื้อคลุมคือใบหน้าที่เย็นชาไม่มีสีเลือดโดยสิ้นเชิง
เขามีชื่อว่าโซโลมอน มาเพื่อมอบคำพูดที่โรดี้ฝากส่งให้โรแซงผู้เป็นลูกชาย
เขากับโรดี้เป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปี สามารถตายแทนกันได้ ตอนนี้พวกโรดี้มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งนั้นเพื่อเผชิญกับการมาถึงของแดนมรณะแล้ว
แต่เขากลับได้รับคำไหว้วานให้นำคำโหกที่แต่งไว้แล้วมาหลอกให้โรแซงไปจากที่นี่ ไปยังอีกสถานที่หนึ่งเพื่อรับสืบทอดทรัพย์สมบัติมหาศาล
“ไร้ความหมายสิ้นดี” โซโลมอนพึมพำเบาๆ เขาเคยพบโรแซงมาก่อน เด็กน้อยที่ขี้ขลาดคนนั้นไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเขาด้วยซ้ำ
ในขณะที่กำลังรอให้ประตูเปิดเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำตามคำขอของเพื่อนสนิท หากตัดสินใจบอกความจริงกับโรแซง
แล้วให้อีกฝ่ายตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไร
“นี่ถึงค่อยเป็นตัวเลือกที่ยุติธรรม” โซโลมอนถอนใจเบาๆ
แอ๊ด
ประตูใหญ่เปิดออก เรือนด้านในคฤหาสน์เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่ใช้ฝึกฝนดาบ
ประตูเพิ่งจะเปิดออก โซโลมอนก็สำลักเพราะควันหนาที่ทะลักออกมาจากด้านในทันที แถมสองตายังพร่ามัวจนมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง
“โรแซงอยู่ไหม” เขายังคงยืนนิ่งโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“ท่านคือ?” เสียงที่ฟังดูกระจ่างใสมากดังมาจากด้านในควันหนา
“ข้าคือโซโลมอน มาเพื่อบอกข่าวร้ายกับเจ้า” โซโลมอนไม่ถนัดการพูดคุย เลยตัดสินใจบอกตรงๆ
“พ่อเจ้ากำลังจะตายแล้ว”
“…”
เกิดความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วนขึ้น
“…ขอโทษ เมื่อครู่นี้ท่านว่าอะไรนะ พูดอีกรอบที” หมอกค่อยๆ สลายไป โซโลมอนค่อยเห็นเงาคนที่ยืนอยู่ด้านหลังประตูได้อย่างชัดเจน
นั่นเป็นชายร่างยักษ์ที่สูงกว่าเขาช่วงตัวหนึ่ง แขนของอีกฝ่ายสามารถยกม้าขึ้นได้ทั้งตัว ทรวงอกแข็งแกร่งเหมือนกับศิลาและเหล็กกล้า กล้ามเนื้อทั่วร่างนูนเหมือนกับเขาลูกย่อมๆ กำลังยืนก้มมองเขาอยู่ตรงปากประตูใหญ่
โซโลมอนจึงค่อยพบว่า หมอกหนาเมื่อครู่เป็นลมหายใจที่ชายร่างยักษ์ผู้นี้พ่นออกมา…
แม่เจ้า
เขาตกตะลึง นึกกับตัวเองว่าใช่มาผิดที่หรือไม่
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนตัดสินใจจะทวนอีกรอบ
“ข้าบอกว่า…พ่อของเจ้ากำลังจะตายแล้ว”
พอเสียงขาดลง โซโลมอนก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าชายร่างยักษ์ตรงหน้าแข็งทื่อ
ตูม!
พริบตานั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองได้เห็นเทพเจ้า ร่างกายซึ่งห่อหุ้มด้วยหมอกลอยไปยังสถานที่สักแห่งไกลออกไปด้านหลัง แรงกระแทกอันมหาศาลทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเครื่องจักรที่ชิ้นส่วนกำลังหลุดออกจากกัน
กระดูกร้องระงม ศีรษะกำลังกลิ้ง ส่วนกระเพาะเหมือนกับถูกมือยักษ์กระชากออกไปอย่างแรง
ซ่า!
เขาตกลงไปในแม่น้ำสายน้อยเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่ แล้วกระแทกใส่ก้นแม่น้ำ ก่อนจะกระเด้งขึ้นมา
พรวด
เขากระอักเลือดออกมาอย่างไม่อาจควบคุม ขณะนอนลอยคออยู่บนผิวน้ำ
“ยังรอดอยู่…ดีจริง…” เขาเห็นแสงอาทิตย์งดงามสว่างไสวส่องผิวของตัวเอง พยายามสงบจิตใจอย่างเต็มที่
“ไอ้หนู…” แต่ทันใดนั้นก็มีมือยักษ์ข้างหนึ่งบดบังสายตาของเขา แล้วยื่นลงมาจับศีรษะของเขาชนิดบดบังฟ้าดิน
เสียงน้ำกระเพื่อมดังซ่าๆ
ลู่เซิ่งยกโซโลมอนขึ้นมาไว้กลางอากาศด้านหน้าตัวเอง
“เจ้าควรรู้ว่า คำพูดบางคำจะพูดส่งเดชไม่ได้”
“ข้า…” โซโลมอนยังคิดจะพูดบางอย่าง แต่ก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เขารู้สึกว่าตัวเองใกล้ตายแล้ว แต่ไม่ใช่ตายเพราะสถานที่ผีสางนั่น หากตายด้วยมือของชายร่างยักษผู้แปลกประหลาด
เขารู้สึกบรรยายไม่ถูกเล็กน้อย
“ว่ามา ตอนนี้โรดี้พ่อข้าเป็นอย่างไร ใครส่งเจ้ามา อย่าให้ข้าเห็นคำโกหกในดวงตาของเจ้าล่ะ ความอดทนข้ามีจำกัด” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง
โซโลมอนเงียบงันสักพัก หลังรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นเล็กน้อย ก็ผ่อนลมหายใจ ก่อนจะค่อยๆ เอ่ย
“เจ้า…คือโรแซงเหรอ ข้าคือโซโลมอน ข้าเคยเห็นเจ้าตอนยังเด็ก พ่อเจ้าใช้ข้ามาส่งคำพูดให้เจ้า”
“แน่ใจหรือ” ลู่เซิ่งจ้องมองสองตาของเขา
“แน่ใจ”
“ไม่ใช่ว่ามาหลอกข้าหรอกนะ”
“ไม่มีทาง!” โซโลมอนรู้สึกว่าตัวเองได้รับความอยุติธรรมเกินไปแล้ว…เขาขึ้นชื่อเรื่องความตรงไปตรงมาและปากร้ายมาโดยตลอด แต่วินาทีนี้ เขาไม่เคยเสียใจกับความตรงไปตรงมาและความปากร้ายของตัวเองเท่าตอนนี้มาก่อน
“ไม่มีใครหลอกข้าได้ เพราะคนที่หลอกข้าตายไปหมดแล้ว” ลู่เซิ่งต่อยใส่พื้น
ตูม!
พื้นดินสั่นสะเทือน ก่อนจะระเบิดเป็นหลุมดินขนาดเท่าอ่างอาบน้ำ
ดินโคลนจำนวนมากกระเด็นใส่เต็มหน้าโซโลมอน
“เหอะ…เหอะๆ…ข้าดูออกแล้ว…” โซโลมอนเค้นยิ้ม
…
สิบนาทีต่อมา…
ลู่เซิ่งกับโซโลมอนนั่งหันหน้าเข้าหากัน
บนโต๊ะไม้ระหว่างคนทั้งสองจัดวางกับข้าว เหล้า และผลไม้เอาไว้อย่างอุดมสมบูรณ์
“ข้าเข้าใจท่านผิดไป แถมยังทำร้ายท่านโดยไม่รู้จักหนักเบาด้วย ขออภัยจริงๆ” ลู่เซิ่งก้มหน้ายอมรับผิดกับโซโลมอนอย่างจริงจัง
“ถ้าหากการด่าข้าตบตีข้าทำให้ท่านรู้สีกดีขึ้น ท่านทำได้ตามใจชอบเลย” เขากล่าวอย่างจริงจัง การแก้ไขเมื่อผิดพลั้งเป็นคุณธรรมของเขามาโดยตลอด เขาไม่ใช่คนประเภทที่เป็นตายก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เขาเพียงแค่ยึดถือแนวทางในใจเท่านั้น ไม่ยึดถือแนวทางกับคุณธรรมที่โลกภายนอกมีร่วมกัน
“เอ่อ…” โซโลมอนไม่ทราบว่าควรพูดอะไรดี
ตอนนี้มีข้ารับใช้สองคนที่อยู่ด้านข้างยกกระบองเหล็กและไม้พลองหนาเท่าแขนหลายท่อนมาให้อย่างคล่องแคล่วแล้ว
“ไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องเกรงใจ” ลู่เซิ่งหยิบท่อนเหล็กหนาเท่าแขนเด็กออกมาท่อนหนึ่ง “เช่นแบบนี้”
เปรี้ยง!
ท่อนเหล็กฟาดใส่ศีรษะเขาอย่างแรง ก่อนจะโค้งงอตามรูปร่างศีรษะอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วก็แบบนี้”
ลู่เซิ่งเปลี่ยนเป็นไม้พลองแข็ง
เปรี้ยง!
ไม้พลองฟาดใส่ข้างลำคออย่างหนักหน่วง แล้วหักออกเป็นสองท่อน
เขาวางของทั้งสองอย่างลงโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นก็ชี้ไปที่กรอบไม้ที่อยู่ด้านข้างตัวเอง
“เชิญ”
โซโลมอนมองท่อนเหล็กบนพื้น ก่อนจะมองศีรษะกับคอที่ไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อยของลู่เซิ่งอีกรอบ
“ในเมื่อเป็นความเข้าใจผิด แถมข้ายังไม่ตาย พวกเรามาคุยเรื่องของพ่อเจ้าก่อนดีกว่า” เขาตัดสินใจให้อภัยเด็กน้อยที่เสียมารยาทตรงหน้า ถึงอย่างไรก็ไม่เจอกันมาหลายปีเลยจำกันไม่ได้เท่านั้น ใครๆ ก็มีสิทธิ์ทำผิดได้
“ข้าเข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ความจริงอาการบาดเจ็บของโซโลมอนไม่ได้หนักหนาอย่างที่เห็นภายนอก เพียงแค่กระดูกหักไปบางส่วนเท่านั้น ไม่อันตรายถึงชีวิต ลู่เซิ่งยังควบคุมแรงได้อย่างแม่นยำอยู่
จากนั้นโซโลมอนก็บอกเล่าเรื่องของโรดี้ให้ลู่เซิ่งฟังอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เวลาค่อยๆ ผ่านไป สีหน้าที่จริงจังในตอนแรกของลู่เซิ่งค่อยๆ ฉายแววเคร่งขรึมและหนักใจ แต่เขาไม่ได้เอ่ยแทรก เพียงรอให้โซโลมอนเล่าทุกอย่างจนจบเท่านั้น
หลังจากเล่าจบแล้ว ทั้งสองก็เงียบงันกันอยู่ชั่วขณะ
ผานไปประมาณสิบกว่านาที โซโลมอนก็ค่อยๆ กล่าวต่อว่า
“อย่างนั้น การตัดสินใจของเจ้าคืออะไร”
ลู่เซิ่งไม่ได้ตอบทันที หากลุกขึ้น “แดนมรณะยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่หรือขอรับ”
“หากคำนวณตามแบบแผน ยังเหลืออีกราวสิบวัน” โซโลมอนตอบ
“แล้วท่านยังจำเส้นทางไปที่นั้นได้อยู่ไหมขอรับ” ลู่เซิ่งถามอีก
“นั่นเป็นจุดหมายที่ข้ามาที่นี่” โซโลมอนได้ยินดังนั้นก็พลันยิ้ม “แต่เจ้าไม่กลัวตายหรือ”
“ตายเหรอ” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างแปลกประหลาด “ไม่มีทาง”
เขาขยับไหล่ ทั่วร่างส่งเสียงกระดูกหักติดต่อกันเหมือนเสียงประทัด
“ทุกสิ่งบนโลกนี้เปราะบางเกินไป ข้าขาดกระสอบทรายสองสามถุงอยู่พอดี”
“เจ้าแข็งแกร่งมาก” โซโลมอนเอ่ยอยางจริงจัง “แต่สัตว์ประหลาดพวกนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกมันเป็นอมตะ โรแซง เจ้าจะต้องระวังตัว…ในอดีตเคยมีปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งมากลองสู้กับพวกมันดูแล้ว น่าเสียดายที่พ่ายแพ้โดยไม่มีข้อยกเว้นเหมือนกัน ห้ามประมาทล่ะ”
“ข้าแตกต่าง…ท่านเพียงแค่ต้องพาข้าไปก็พอแล้ว” ลู่เซิ่งหัวเราะ
…
กลางเนินเขาที่ทอดยาวสูงต่ำ ใต้ท้องฟ้าอึมครึม ฝนตกปรอยๆ
เมืองเล็กๆ ที่เก่าแก่ทรุดโทรมแห่งหนึ่งซุกอยู่บนยอดเนินอย่างสงบนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นพื้นหรืออาคารบ้านเรือน ทุกที่ในเมืองเล็กนี้เต็มไปด้วยรอยเปื้อนสีขาวเทาประปราย
ทอดตามองไกล เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างก่อขึ้นจากหินก้อนเล็กๆ สีขาว
ครืน
สายฟ้าวาดผ่านท้องฟ้าส่องสว่างเมืองทั้งเมือง ขับเน้นให้เงามืดในมุมบางมุมชัดเจนขึ้นกว่าเดิม
อูรุสสวมชุดทหาร เหรียญรางวัลกับแถมติดเครื่องยศที่เขาภาคภูมิใจแขวนอยู่บนบ่ากับหน้าอกของเครื่องแบบ
ด้านหลังเขามีทหารหัวกะทิหน่วยพิเศษสองกลุ่มจำนวนยี่สิบกว่าคนติดตามอยู่
ไกลออกไปคือกองทหารปืนใหญ่ที่กระจายตัวกันอยู่ ครั้งนี้เขานำกองทหารปืนใหญ่มาห้ากองด้วยกัน ในกองหนึ่งวางปืนใหญ่ไว้ห้ากระบอก มีปืนใหญ่ทั้งหมดยี่สิบห้ากระบอก เขาไม่เชื่อว่าจะทำลายเมืองประหลาดแห่งนี้ไม่ได้!
“ท่านนายพล ทำแบบนี้ไปก็รังแต่จะเพิ่มการบาดเจ็บล้มตายโดยไม่ได้อะไรเปล่าๆ ทหารเหล่านี้เป็นผู้บริสุทธิ์” คนสวมเสื้อคลุมสีดำที่อยู่ด้านข้างเตือนอย่างจนปัญญา
“พวกเราเป็นคนที่กำลังจะเผชิญกับแดนมรณะ อย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้ว ยังกังวลเรื่องพวกนี้อีกหรือ ไม่แน่ว่าจะสำเร็จก็ได้นี่ สัตว์ประหลาดเป็นอมตะ แต่ไม่ได้หมายความว่าเมืองเมืองนี้จะเป็นอมตะด้วย” อูรุสยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม
“เรื่องที่ท่านทำไม่ใช่ว่าไม่มีใครเคยลอง…” คนสวมเสื้อคลุมเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ข้ารู้ ข้าเลยเตรียมของใหญ่ไว้ด้วย” ใบหน้าของอูรุสบิดเบี้ยวกว่าเดิม
“ท่าน…” คนสวมเสื้อคลุมคล้ายนึกอะไรออก จากนั้นก็หุบปากไม่พูดอะไรอีก เขานึกถึงภารกิจที่ภรรยาของนายพลผู้นี้แบกรับ บางที…บางทีแบบนั้นก็เป็นการทดลองอย่างหนึ่งก็ได้
…
ซ่า
ยาที่เป็นไขแล้วปริมาณมากถูกเทลงอ่างอาบน้ำ
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ด้านใน ใส่กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว ปล่อยให้ข้ารับใช้ที่อยู่รอบๆ เทยาลงอ่างอย่างต่อเนื่อง
เขาได้จัดให้โซโลมอนพักในเรือนอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในคฤหาสน์ไม่ไกลออกไปแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสิบวัน เขาจำเป็นต้องยกระดับกายเนื้อให้ถึงขีดจำกัดเท่าที่จะทำได้ในเวลาสิบวันนี้
อาศัยแค่การกินอาหารไม่ทันอีกแล้ว เขาจึงตัดสินใจใช้วิธีการแช่ตัว เพื่อดูดซับสัดส่วนปริมาณมากในครั้งเดียว
ซ่า
ยาหลายถังถูกเทลงถังไม้อย่างต่อเนื่อง ไม่นานยาห้าสิบถังก็ถูกเทลงไปจนหมด
ยาท่วมถึงคางของลู่เซิ่งแล้ว
ฟู่ว…
“พวกเจ้าออกไปให้หมด” เขาสั่ง
“ขอรับ” ข้ารับใช้หลายคนค่อยๆ ถอยออกจากห้อง ก่อนจะปิดประตู
พอลู่เซิ่งเห็นคนออกไปหมดแล้ว ก็จุ่มศีรษะลงไปในยา
ยาปริมาณมากถูกเขาดูดซับเข้าไปในร่างกายอย่างบ้าคลั่ง โดยซึมผ่านรูขุมขุนบนผิวหนัง ในช่วงเวลานี้ เขาปรับพลังของร่างหลักได้ในระดับหนึ่งแล้ว และตอนนี้ก็ถึงเวลาใช้ร่างหลักเสียที
เพียงใช้ในปริมาณน้อยๆ ไม่มากเกินไป ก็ไม่มีปัญหาอะไร
ควันขาวหลายสายลอยออกมาจากศีรษะของเขาเป็นระยะ ยาในอ่างไม้สูญเสียสีสันไปอย่างรวดเร็ว ของเหลวที่เป็นน้ำใสกึ่งโปร่งแสงค่อยๆ ไหลซึมออกจากผิวของลู่เซิ่ง
จิตวิญญาณระดับอริยะเจ้าควบคุมให้ร่างกายดูดซับอยางประณีต ทำการกลืนกินสรรพคุณยาจำนวนมากอย่างคลุ้มคลั่ง
‘ดีปบลู’
อินเตอร์เฟซเครื่องมือปรับเปลี่ยนโผล่มาอีกครั้ง
‘เริ่มกันเลย…แบบนี้แค่พักเดียวก็ดูดซับได้หมดแล้ว’ ลู่เซิ่งเพ่งสมาธิกลั้นลมหายใจ สายตารวมอยู่บนกรอบล่างสุดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกดปุ่มปรับเปลี่ยนโดยรวม แล้วกดปุ่มเรียนรู้ตามลำดับ
อินเตอร์เฟซของดีปบลูพลันพร่ามัว
…
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
โซโลมอนทำตามข้อตกลงโดยการมายังเรือนที่ลู่เซิ่งพักอยู่ เพื่อเรียกเขาให้เตรียมตัวออกเดินทาง
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ ไม่เจอกันเจ็ดวัน ลักษณะของโรแซงในตอนนี้กลับผอมลงกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย
ในลานมีกลิ่นยาลอยกระจัดกระจายไปทั่วจนทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก
โรแซงสวมเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงดำ ร่างกายหดเล็กลงไม่น้อย เหมือนกับคนธรรมดายิ่งกว่าเดิม เขาห่อของเรียบง่ายส่วนหนึ่งไว้ในมือ ออกเดินทางโดยเอาของไปไม่กี่อย่าง
“ไปเถอะ ไปหาพวกท่านพ่อกัน”
โซโลมอนพิจารณาลู่เซิ่งอย่างค่อนข้างแปลกใจ
“เจ้า…สบายดีไหม”
“สบายดี ท่านไม่ต้องห่วงหรอก” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม “สิ่งเดียวที่ข้าเป็นห่วงในตอนนี้ก็คือ ไม่ทราบว่าเหลือแค่สามวัน จะตามทันไหม”
“สองวันก็ถมเถแล้ว ที่นั่น…พวกเราใช้ทางลัดไปได้” โซโลมอนกล่าวอย่างสงบ “เคยนั่งรถไฟไหม นั่นเป็นของที่ใช้ได้ทีเดียว”
……………………………………….