ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 517 รวมตัว (1)
บทที่ 517 รวมตัว (1)
“ทำยังไงดี พวกเราต้องทำอย่างไรถึงจะหลีกเลี่ยงการตายด้านในนี้ได้”
กลางหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองเล็กราวสามกิโลเมตร เงาคนที่มีไอความตายคละคลุ้งกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันที่นี่
ชายฉกรรจ์หัวล้านคนหนึ่งในนี้กุมศีรษะพลางกล่าวเบาๆ “สัตว์ประหลาดพวกนั้น…ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสู้ได้…ข้าไม่ควรมาที่นี่เพราะเชื่อพวกเจ้าเลย..บางทีถ้าหนีไปยังสุดขอบโลกอาจจะยังมีทางรอดก็ได้…”
ไม่มีใครตอบเขา
คนที่เหลือบ้างก็เป็นชายชราผมขาว บ้างก็เป็นเด็กไร้เดียงสา บ้างก็เป็นแม่บ้าน บ้างก็เป็นพ่อค้าสวมเสื้อผ้าไหม ทุกคนมาที่นี่เพื่อรับมือกับแดนมรณะ
โรดี้ก็อยู่ในนี้เช่นกัน
เขามองทุกคนที่อยู่รอบๆ อย่างเงียบขรึม
“ดูเหมือนครั้งนี้ข้าจะมีประสบการณ์มากที่สุด” เขาฝืนยิ้ม “ให้ข้านำกลุ่มดีไหม บางทีทุกคนอาจจะมีความหวังเพิ่มก็ได้”
ความจริงคนทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ทราบว่า พวกเขาแค่กำลังดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น
หากไม่อยากดิ้นรนคงไม่มา เพียงรอความตาย เพลิดเพลินเป็นครั้งสุดท้ายก็พอ แถมยังได้อยู่ในบ้านของตัวเอง คนที่ต้องการค้นหาความหวังอย่างแท้จริง ความจริงมีแต่พวกเขาซึ่งมีจำนวนไม่ถึงยี่สิบคนเท่านั้น
“ตามบันทึกในเอกสาร ตั้งแต่โบราณกาลถึงตอนนี้ ในประวัติศาสตร์มีคนมากมายทนทุกข์กับการโจมตีและการทรมานจากสถานที่แห่งนั้น มนุษย์เฝ้าตามหาวิธีการที่จะสลัดหลุดจากมันมาโดยตลอด แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้ายังไม่เห็นคนที่โค่นมันได้สักคนเดียว” ชายชราผมขาวท่าทางเหมือนนักวิชาการคนหนึ่งเอ่ยเบาๆ “คนที่ทำสำเร็จมีแต่พวกผู้หลบหนี ดังนั้นพวกเราควรพยายามทางด้านนี้ ไม่ใช่เอาแต่ดูแม่ทัพอูรุสเรียกคนมาระเบิดมันทิ้ง”
“พูดแบบนี้ก็ไม่ผิดเหมือนกัน แต่ก่อนหน้านี้ความรุนแรงยังไม่พอ ทว่าตอนนี้ต่างออกไปแล้ว ยุคสมัยกำลังก้าวหน้า” หญิงสาวผมทองคนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น
“ข้ามาที่นี่เพื่อชมดูสถานที่ชั่วร้ายที่ไม่อาจหลีกหนีได้ในเรื่องเล่า” นางตบมีดสั้นสองเล่มที่มัดติดกับขาอ่อนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
โรดี้มองคนทุกคน ที่นี่มีคนอยู่ทุกประเภท แต่ต่างมารวมตัวกันเพราะเหตุผลข้อหนึ่ง
“ยังเหลือวันพรุ่งนี้อีกวัน บางทีพวกเราอาจจะเข้าไปดูสถานการณ์ด้านในได้” เขาเสนอ “หวาดกลัวมาทั้งชีวิตแล้ว ความจริงเมื่อถึงเวลาพวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เราหวาดกลัวคืออะไร นี่มันน่าขำออกไม่ใช่หรือ”
ทุกคนต่างเงียบงันลง
โรดี้เป็นคนเก่าคนแก่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ผู้มีตราประทับเช่นพวกเขา ตอนนี้แม้แต่เขาก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะสู้กับเมืองแห่งนั้นอย่างไร คนอื่นๆ คง…
สักพักใหญ่ๆ นักวิชาการชราคนนั้นจึงค่อยออกปากสนับสนุน
“โรดี้พูดถูกแล้ว ต่อให้พวกเราต้องตาย ก็ต้องรู้ความจริงให้ได้”
“ใครเห็นด้วยก็ตามข้ามาก็แล้วกัน” โรดี้ถอนใจ ก่อนจะหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ แล้วใช้คบเพลิงจุดสูบ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปยังเมืองแห่งนั้น
แผนการตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ทัน อย่างไรเขาก็ไม่มีเวลากลับไปแล้ว ดีที่เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ ที่บ้านเป็นเพียงป้องกันไว้ส่วนหนึ่ง จุดสำคัญที่แท้จริงอยู่ด้านนอก ครั้งนี้ได้นำมาด้วยแล้ว
ความตาย เขาไม่กลัว สิ่งที่เขากลัวคือการตายอย่างไร้ความหมาย ตายโดยยังเหลือความเสียดายมากมาย
แต่ดีที่เขาได้ให้เพื่อนสนิทดูแลโรแซงลูกชายของตัวเองแล้ว อย่างไรในอนาคตก็ยังมีความหวังอยู่
เขาสูบบุหรี่และมองท้องฟ้าสีหม่น อดหัวเราะขึ้นไม่ได้
อ๊าก!
อยู่ๆ หุบเขาด้านหลังไกลออกไปก็มีเสียงโหยหวนดังมา
“มาแล้ว!”
“พวกนักล่า! พวกเราเข้ามาใกล้เกินไปหรือ?!
“อย่าลนลาน!”
ทุกคนแตกตื่นหวาดกลัว
ในนี้มีคนส่วนหนึ่งตรวจสอบอุปกรณ์ของตัวเองอย่างละเอียด เทียบกับเพชฌฆาตแล้ว นักล่ารับมือได้ง่ายกว่าเล็กน้อย
โรดี้พลิกมือชักหน้าไม้สั้นคันหนึ่งออกมาจากเอวด้านหลัง แล้วกระชากเสื้อตัวโคร่งออกจากด้านหลัง เผยให้เห็นซองใส่ลูกธนูที่สะพายไว้
ฮี่ๆ…
อยู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ลอยมาจากที่ไกล กลิ่นหอมโชยมาตามลม
“แย่แล้ว ไม่ใช่แค่นักล่าเท่านั้น! ยังมีนักฆ่ารัดคอด้วย!” โรดี้สีหน้าเปลี่ยนแปลง ก่อนจะหมอบลงและแนบหูกับพื้น
“นักล่าสองตัว นักฆ่ารัดคอมี…สามตัว…ไม่สิ ห้าตัว!”
สีหน้าเขาซีดขาวอย่างรวดเร็ว
นักล่าสองตัวก็รับมือยากเท่ากับเพชฌฆาตแล้ว ยิ่งอย่าว่าแต่ยังมีนักฆ่ารัดคออีกห้าตัว!
“หนี! แยกย้ายกัน!” เขาตะโกน จากนั้นตนเองก็วิ่งออกห่างจากเมืองแห่งนั้น
คนอื่นๆ วิ่งตามไปเหมือนกับผึ้งแตกรัง
แม้จะหวาดกลัว แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าประสบพบเจอเป็นครั้งแรก ผู้มีตราประทับแทบทุกคนเคยมีประสบการณ์หนีตายมาหลายครั้งแล้ว แต่ละคนจึงมีวิธีรับมือเป็นของตัวเอง
แม้จะร้อนรน แต่ไม่ปั่นป่วน
…
เวลาพลบค่ำ
ลู่เซิ่งกับโซโลมอนนั่งรถไฟ แล้วเปลี่ยนเป็นรถม้าระหว่างทาง จากนั้นก็โดยสารรถเทียมวัว ในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่พื้นที่ของเมืองเล็ก
“ใช้เวลาแค่สองวันเท่านั้น ยังทันอยู่” โซโลมอนกระแอมสองครั้ง “ข้าได้แต่ส่งเจ้าถึงที่นี่แล้ว ไปด้านหน้าอีกราวสองกิโลเมตรก็จะเป็นสถานที่แห่งนั้น จะจัดการอย่างไร ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้ว”
เขาหยุดไม่ไปต่อแล้ว
ลู่เซิ่งหันกลับไปมองเขา
“ขอบคุณมาก ท่านกลับไปเถอะ”
โซโลมอนพยักหน้า แล้วหมุนตัวจากไปอย่างไม่เสียดายแม้แต่น้อย
“จริงสิ” เขาหยุดอย่างกะทันหัน “โรดี้เป็นคนของเหยี่ยวขาว พวกเขาประกาศคำเชิญรวมพลในนามของเหยี่ยวขาว ข้าไม่รู้สถานที่ที่ชัดเจน แต่ว่า พวกเมรามาแล้ว เจ้าไปหาเมราที่จุดรวมพลของเหยี่ยวขาวดู บางทีนางอาจบอกเบาะแสกับเจ้าก็ได้ นางเป็นผู้นำของเหยี่ยวขาว”
“จุดรวมพลของเหยี่ยวขาวอยู่ไหน”
“ห่างจากเมืองนั่นไปทางเหนือห้าร้อยเมตรจะมีสถานที่ที่มีต้นโอ๊คขาวที่ใหญ่ที่สุดอยู่”
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งไม่ถามว่าทำไมเมราจึงมาในเวลานี้ การที่โซโลมอนพาเขามาที่นี่ ก็ถือว่าแสดงน้ำใจอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว
มองตามจนเงาร่างของโซโลมอนค่อยๆ ห่างออกไป จากนั้นเขาก็หมุนตัวไปมองเมืองเล็ก
ความจริงสิ่งที่เขาไม่ได้บอกโซโลมอนก็คือ โรแซงตามหาสถานที่ที่เมืองนั่นอยู่ได้จากความทรงจำ เพราะเมืองแห่งนั้นปรากฏในห้วงฝันของเขาทุกวินาที มันลึกลับ อึมครึม และเงียบสงัด
‘ขอดูหน่อยเถอะว่าแกเป็นอะไร…’ ดวงตาของลู่เซิ่งเคร่งขรึมลงขณะเขาสาวเท้าเดินไปยังเมืองเล็ก
…
ด้านในบ้านต้นไม้บนต้นโอ๊คพันปี
เมรากอดอกมองเมืองเล็กที่อยู่ไกลออกไป นางเห็นการเคลื่อนไหวของอูรุสแล้ว แต่ว่าไม่ได้คาดหวังอะไร
เคยมีคนทำแบบนี้เมื่อนานมาแล้ว คนที่นางเป็นห่วงคือโรดี้
“โรดี้กำลังจะตายแล้ว…รายต่อไป อาจจะเป็นข้า…” ดวงตาของเมราฉายแววจนปัญญาและเจ็บปวด ผ่านมาหลายปี เอาตัวรอดมาหลายปี แต่ก็ไม่เจอความหวังที่จะใช้สู้กับสถานที่แห่งนั้น
“ได้ยินว่าโซโลมอนไปหาลูกของโรดี้แล้วสินะ” ชายผอมแห้งที่อยู่ด้านข้างสวมเสื้อกันลมสีดำ ถามเบาๆ
“แต่สองสามวันก่อนโซโลมอนส่งจดหมายมาบอกว่า ลูกของโรดี้รู้ความจริงแล้ว กำลังตามหาพ่อของเขาอยู่”
“แผนของโรดี้ไม่ใช่แบบนี้นี่” เมราขมวดคิ้ว “ต่อให้เจอแล้วจะทำอะไรได้ รังแต่จะสังเวยชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์เท่านั้น ข้าจำได้ว่าลูกของโรดี้ไม่ใช่ผู้มีตราประทับที่สมบูรณ์ แต่ถ้าหากเข้าใกล้เมืองนั่นมากเกินไป ก็จะกลายเป็นผู้มีตราประทับสมบูรณ์ แล้วตกสู่สภาพเดียวกับพวกเรา”
“แล้วจะอย่างไรล่ะ พวกกึ่งตราประทับก็ถูกไล่ล่าเหมือนกันนี่ ต่อให้รอดไปได้ เมื่อไม่มีโรดี้แล้ว เขาจะอยู่ได้นานขนาดไหนกันเชียว” ชายคนนั้นไม่เห็นด้วย
“หาก็หาไปเถอะ” ผู้หญิงที่สูงมากอีกคนใช้ดาบโค้งตัดเล็บของตัวเองอย่างระมัดระวัง “ข้าจำเจ้าหนูนั่นได้ ตอนที่ข้าจะขึ้นเตียงกับโรดี้ ยังตะโกนใส่ข้าอยู่เลย ไม่น่ารักแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นข้าซื้อลูกกวาดให้เขาบ่อยๆ แท้ๆ”
“ช่างเถอะ หลังกลับไปข้าจะดูแลเขาเอง” เมราเอ่ยอย่างสงบ “ข้าจำได้ว่าโรแซงป่วยอยู่ แถมยังขี้ขลาดอยู่บ้าง
กลับไปให้เขาหาเมียมีลูก ถ้าหากทำได้ การให้กำเนิดหลานสาวหลายชาย และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปชั่วชีวิตเพื่อโรดี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน”
“ท่านพี่น้ำใจงามจริงๆ นะ” ทุกคนเจอเรื่องแบบนี้มากมายเกินไป คนตายแล้ว ครอบครัวมาหา แต่ผลลัพธ์สุดท้ายจะทำอย่างไรได้
ไม่ว่าจะโกรธเคืองหรือเจ็บปวด เมื่อเผชิญกับสถานที่แห่งนั้น ก็ได้แต่ยอมแพ้อย่างสิ้นหวังเท่านั้น
“…มีแค่บางครั้ง…” เมรายิ้ม
อยู่ๆ ด้านนอกบ้านไม้ก็มีเสียงของสมาชิกดังมา
“ท่านพี่ มีคนที่เรียกตัวเองว่าโรแซงมาหา เขาบอกว่ากำลังตามหาท่านโรดี้อยู่!”
เสียงผู้หญิงที่ลังเลเล็กน้อยดังเข้ามา
เมรางุนงง ก่อนจะได้สติ
“ให้เขาเข้ามาเถอะ” นางตอบอย่างสงบ
“ค่ะ”
“พูดถึงก็มาเลย บังเอิญแท้” ผู้หญิงร่างสูงหัวเราะ “ตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่มืด พวกเราควรกลับไปได้แล้ว ถือโอกาสพาเขากลับไปด้วย”
นางก้าวสั้นๆ ไปถึงปากประตู แล้วจับหูจับประตูเบาๆ
“ไม่รู้ว่าเขากับพ่อเขาใครจะหล่อกว่ากัน! ข้าอาจจะได้ลิ้มลองหนุ่มบริสุทธิ์……ก็ได้…” ตอนนี้หญิงร่างสูงเปิดประตูแล้ว และกำลังเงยหน้ามองชายที่ร่างกำยำจนทำให้คนขนหัวลุกอย่างอึ้งงัน
“…นะ…” นางพูดคำสุดท้ายออกมาได้
“ขอโทษที พวกท่านมีใครรู้ไหมว่าโรดี้อยู่ไหน” ลู่เซิ่งกวาดตามองคนสามคนในบ้านไม้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ดวงตาของเขาฉายแววคุกคามอย่างรุนแรง ยามมองดูคนทั้งสามเหมือนกับมองกับข้าวสามอย่าง
นิโค ฟรานกะพริบตา เห็นเงาของเด็กชายน้ำมูกย้อยคนนั้นได้จากใบหน้าของชายตรงหน้า
“เจ้าคือ…โรแซงหรือ”
ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น พอเมรากับชายผอมแห้งอีกคนในบ้านไม้เห็นก็ตกตะลึงอยู่บ้างเช่นกัน
“สัตว์…สัตว์ประหลาด?!” ชายคนนั้นอ้าปากค้าง เขาเพิ่งเคยเห็นชายที่มีรูปร่างน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ท่านนี่เอง ฟรานใช่หรือไม่ ข้ามารับโรดี้กลับบ้าน” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม
นิโค ฟรานเงยหน้ามองร่างอันกำยำสูงใหญ่ของลู่เซิ่ง แก้มแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
“หุๆ…ล่ำสันจริงเชียว…ไม่รู้รสชาติจะเป็นยังไงบ้าง”
“พอแล้ว พี่ฟรานท่านหลีกทางหน่อย ข้ามาหาเมรา คนไหนคือเมราหรือ” ลู่เซิ่งจับไหล่ฟรานแล้วผลักนางไปด้านข้างเหมือนของเล่น
เมราค่อยได้สติกลับมาพิจารณาลู่เซิ่งอย่างละเอียด
ความแข็งแกร่งของโรแซงอยู่เหนือความคาดหมายของนาง ความรู้สึกถึงพลังที่แน่นหนา รูปร่างที่มีเค้าโครงล่ำสันใหญ่เท่ากับสัตว์ประหลาด
ทำให้นางรู้ว่านี่ไม่ใช่กล้ามเนื้อไร้ประโยชน์ที่พวกเพาะกายสร้างขึ้น แต่เป็นโครงสร้างอันแข็งแกร่งที่ทรงพลังและมีความเร็ว
แถมยังเหนือกว่าพละกำลังที่นางฝึกฝนมาหลายร้อยหลายพันครั้งหลายเท่าตัวแล้ว
“ข้าเอง ข้าคือเมรา ผู้นำเหยี่ยวขาว” นางเดินเข้าไปกล่าวด้วยความจริงจัง “ถ้าเจ้าต้องการตามหาโรดี้ เขาไปยังหุบเขารวมพลแล้ว ตอนนี้น่าจะรวมตัวกับคนอื่นๆ อยู่”
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
“บอกสถานที่กับข้าชัดๆ ได้ไหม”
“เจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” เมราส่ายหน้า “นอกจากนี้ เจ้ายังไม่ควรมา ข้าเห็นสองมือของเจ้า น่าจะฝึกวิชาดาบเจอเรลโลของพ่อเจ้าสินะ ทว่าแม้แต่ตัวโรดี้ก็ยังไม่มั่นใจ เจ้ามาก็รังแต่จะตายเปล่าเพิ่มอีกคน”
“ท่านบอกตำแหน่งกับข้าก็พอ” ลู่เซิ่งยกนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่งพร้อมกับกล่าวอย่างตั้งใจ
เมราเงียบงันครู่หนึ่ง สุดท้ายก็บอกสถานที่กับเขา
หลังจากลู่เซิ่งถามไถ่อย่างละเอียดแล้วว่าจะไปได้อย่างไร ก็ค่อยหมุนตัวเร่งฝีเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเขาไปแล้ว ในบ้านไม้ก็ยังเงียบงันอยู่นานสองนาน
“นั่นคือโรแซงหรือ…โรดี้มีลูกชายที่แข็งแกร่งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ชายผอมแห้งอดรำพึงไม่ได้
“พวกเราควรไปได้แล้ว หากรอจนมืดจะไปไม่ได้แล้ว” เมราเอ่ยเบาๆ
นางสังหรณ์ว่า การมาถึงของโรแซงที่เหมือนกับสัตว์ประหลาดอาจจะนำการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงมาส่วนหนึ่งก็ได้ ถึงแม้นางจะไม่แน่ใจว่าโรดี้จะรอดมาได้ แต่บางทีโรแซงอาจจะมีโอกาสรอดชีวิต
……………………………………….