ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 519 เมือง (1)
บทที่ 519 เมือง (1)
กร๊อบ
กิ่งไม้เล็กบางถูกเหยียบหัก รองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้มค่อยๆ เหยียบย่ำลงด้านหน้าแอ่งเลือดที่ใกล้จะแห้ง
จากนั้นก็หยุดนิ่ง
เมืองในม่านหมอกยังคงเงียบสงัด เมราเงยหน้ามองท้องฟ้า
“ควรกลับได้แล้วนะท่านพี่ ถ้าไม่ไปอีกจะไม่ทันการณ์แล้ว พวกเราเข้ามาใกล้เกินไป พรุ่งนี้ค่อยมาสังเกตการณ์ต่อเถอะ” ฟรานที่อยู่ด้านหลังเตือน
ผู้ชายอีกคนกำลังนำคนตรวจสอบศพของพวกทหารที่อูรุสพามา ดูว่าจะหาเบาะแสสำคัญๆ เจอหรือไม่
“รู้แล้ว” เมราตอบ แต่สายตากลับยังคงมองไปยังเมืองที่อยู่ไม่ไกล
“โรดี้ ขอให้เจ้าโชคดี…” นางถอนใจ ก่อนจะหมุนตัวเร่งฝีเท้าเดินไปหาฟราน
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังตูมตามดังมาจากเส้นขอบฟ้าไกลออกไป
“เสียงอะไรกัน” เมราชะงัก แล้วหันไปมองต้นเสียง
“น้ำ! น้ำเยอะมาก!” มีสมาชิกเหยี่ยวขาวตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัวและเสียงสั่นเครือ
ทันใดนั้นห้วงสมองของเมรานึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งออกมาเหมือนสายฟ้าแลบ
“หรือว่า…” นางสีหน้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พร้อมกับพุ่งเข้าหาฟราน
หลังจากวิ่งออกไปเป็นระยะทางหนึ่ง หมอกก็จางลงเล็กน้อย นางเห็นสายน้ำอันไร้สิ้นสุดนับไม่ถ้วนใต้แสงจันทร์ไกลออกไป กำลังม้วนพัดกิ่งไม้ ดินโคลน ก้อนหินมาทางด้านนี้ โดยที่ท่วมกลบเนินเขา พื้นราบและป่าไม้จนหมด
เมรารีบกวาดตามองแม่น้ำด้วยความตื่นตระหนก นางเห็นแค่น้ำไร้สิ้นสุดในทัศนวิสัยเท่านั้น
“บ้าเอ๊ย! ทำนบ! ” ไอ้จอมตอแหลอูรุสระเบิดทำลายทำนบเหยี่ยวหิมะตรงต้นน้ำทิ้งแล้ว!
เมราต่อยหมัดใส่ต้นไม้ด้านข้าง
“ต้องหลบขึ้นที่สูง…” ฟรานพูดเสียงดัง
“ไม่มีประโยชน์ ใกล้ๆ นี้ไม่มีที่สูงที่ใช้หลบน้ำได้!” ชายผอมแห้งขยับเข้ามา พาสมาชิกเหยี่ยวขาวมาด้วยห้าคน
“น้ำของนำนบแห่งนี้ขอแค่ต้านระลอกแรกได้ แรงกระแทกต่อจากนั้นจะลดลง พวกเราต้องคิดหาวิธี ไม่อย่างนั้นได้ตายแน่!” เมราพูดเสียงเฉียบขาด
“วิธีอะไรล่ะ พระเจ้า ไอ้ชั่วอูรุสเอ๊ย! พวกเราเจอปัญหาแบบนี้ได้ยังไงกัน! พระเจ้าช่วย!” ฟรานกุมหัวกรีดร้อง “ข้าอุตส่าห์รอดจากสัตว์ประหลาด แต่ต้องมาจมน้ำตายทั้งเป็นเนี่ยนะ!”
สมาชิกที่เหลือมีสีหน้าเหยเกเช่นกัน แต่เพราะความเคยชินที่คุ้นเคยมานานเลยทำให้พวกเขาไม่ร้องแรกแหกกระเชอ หากมองไปยังเมราที่เป็นผู้บัญชาการแทน
ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์จนตรอกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เมราก็พาพวกเขาทะลวงมาด้วยกัน นี่เป็นกุญแจสำคัญที่เหยี่ยวขาวรวมตัวกันได้
“วิธีการเพียงวิธีเดียวในตอนนี้…” เมรามองไปยังตัวเมือง
“เป้าหมายของอูรุสคือการทำลายเมือง แต่พลังของเมืองนั่นไม่มีทางถูกทำลายได้ง่ายๆ แบบนี้ พวกเรา…”
ตูม!
ยังพูดไม่ทันจบ ไกลออกไปก็มีเสียงกึกก้องดังมาอย่างฉับพลัน
มีเสียงระเบิดดังมาจากกระแสน้ำสีเทาหลายครั้ง ละอองน้ำมากมายกระเซ็นขึ้นสูง การระเบิดเกิดขึ้นหลังจากคลื่นน้ำผ่านไป เพิ่มแรงกระแทกกับความเร็วของคลื่นน้ำมากกว่าเดิม
“บ้าเอ๊ย! เป็นระเบิดตั้งเวลา!” เมราไม่อาจใจเย็นได้อีกต่อไป
เนินเขาที่ต่ำเตี้ยหลายแห่งถูกน้ำกระแทกถล่ม ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่นานน้ำจะพุ่งมาถึงด้านนี้แล้ว
“ไป! เข้าไปในเมือง!” เมราเอ่ยเสียงเฉียบขาด
“แต่ว่า!”
“ไม่มีแต่! ถ้าไม่เข้าไปพวกเราตายแน่ ถ้าเข้าไปยังมีโอกาสรอดชีวิต” เมรากล่าวอย่างแน่วแน่
“ท่านพี่พูดถูก ตายเป็นตาย!” ฟรานลุกขึ้นแล้วตามเมราไปยังเมืองแห่งนั้น
“พวกท่านบ้าไปแล้ว!” ชายผอมแห้งร้อนรน แต่พอมองดูน้ำที่กดดันเข้าใกล้เรื่อยๆ อีกที ก็ขนลุกขนพอง จึงได้แต่รีบติดตามไป
“ตามแบบแผนแล้ว หลังจากคลื่นลูกแรกกระแทกผ่านไป อย่างน้อยจะมีเวลาปลอดภัยสามชั่วโมง ดังนั้นพวกเราได้แต่อยู่ในเมืองนั่นสามชั่วโมง ต่อจากนั้นต้องออกมา ไม่ว่าด้านนอกจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” เมราเดินไปพลางอธิบายไปพลาง
“นอกจากนี้ พวกเราควรรวมตัวกับพวกโรดี้”
“ทำไมกัน!?” ฟรานไม่เข้าใจ
“เพราะสัตว์ประหลาดไม่สนว่าเจ้ามีคนเท่าไหร่ ถ้ามีคนเยอะก็จะมีโอกาสถ่วงเวลา ถึงอย่างไรต่างคนต่างก็มีความสามารถ แต่ถ้าพวกเราไม่กี่คนเจอสัตว์ประหลาดฝูงใหญ่เข้า…” เมรากล่าวอย่างใจเย็น “ถึงแม้จะเห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่ว่าคนที่จะพึ่งพาได้ในตอนนี้มีแค่พวกโรดี้เท่านั้น พวกเขาจะต้องเตรียมตัวไว้เยอะเพราะต้องรับมือแดนมรณะในวันพรุ่งนี้แน่”
พวกเขาพลันเข้าใจ จึงเร่งฝีเท้าอย่างไม่รู้ตัว คำพูดของเมราทำให้พวกเขาเห็นความหวังจริงๆ
…
ตูม!
“เสียงอะไรกัน!?”
พวกโรดี้กำลังเดินออกห่างจากเมือง พลันรู้สึกได้ว่าแผ่นดินสั่นสะเทือน จึงหยุดลงอย่างสงสัย
เอสเซียงโลที่เป็นนักวิชาการชราสวมแว่นตากำลังประคองขาวางลงบนแคร่ที่ใช้กิ่งไม้มัดไว้อย่างเรียบง่าย ตอนนี้เขามีสีหน้าเคร่งขรึม เริ่มฟังเสียงตูมตามที่ดังเบาๆ ตามมาอย่างตั้งใจ
“การลงมือของอูรุสเมื่อก่อนหน้านี้ปรากฏออกมาแล้ว เขาส่งคนไปยังทำนบใหญ่ตรงต้นน้ำ…เสียงเมื่อครู่ หากแยกแยะตามระยะห่าง น่าจะเป็นตำแหน่งเดียวกับทำนบ เกรงว่าสถานการณ์จะไม่ดีนัก…”
“แย่แล้ว…ไม่ใช่ไม่ดี…ดูนั่นสิ…” อยู่ๆ โรดี้ก็ชี้ไปยังที่ไกลทางซ้ายมือของเมืองแห่งนั้น
ทุกคนพากันมองไปยังทิศทางนั้น ไม่นานก็เห็นผ่านหมอกว่า กลุ่มสีเทาผืนหนึ่งกำลังเข้าใกล้ที่นี่ด้วยความเร็วสูงเหมือนกับพายุกลืนกินผืนดิน
เนินเขา ป่า พื้นดิน แม่น้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสีเทาอันมหึมาปกคลุม
“พระเจ้า…”
“พระเจ้าช่วย…”
พวกเขารู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงตะลึงงัน
“น้ำ…กระแสน้ำที่สูงอย่างน้อยสิบสองเมตร…!” เอสเซียงโลหน้าซีด เสียงแฝงความสิ้นหวัง
“เนินเขาที่สูงที่สุดของที่นี่สูงแค่เจ็ดแปดเมตร พวกเราไม่มีทางหาสถานที่ที่ใช้หลบกระแสน้ำกลุ่มนี้ได้แน่ จบสิ้นแล้ว…พวกเราจบสิ้นแล้ว…”เอสเซียงโลตัวสั่น ร่างกายโยกไหวเหมือนกับกระชอน
โรดี้สีหน้าเยือกเย็นลงอย่างรวดเร็ว เขาเจอสภาพเป็นตายแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว พอเผชิญกับวิกฤติการณ์ สมองก็คิดหามาตรการที่เป็นไปได้ด้วยความเร็วสูง
แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร วิธีการเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้มีแค่วิธีเดียวเท่านั้น
เขามองไปยังเมืองที่อยู่ด้านหลังไม่ไกล
“ไป” เขานำกลุ่มคนพุ่งเข้าหาเมืองแห่งนั้น
ลู่เซิ่งไม่ลังเลแม้แต่น้อยเช่นกัน ใช้มือหนึ่งอุ้มเอสเซียงโลไว้บนบ่า ก่อนจะสาวเท้าตามไปติดๆ
สองคนที่เหลืองุนงง
“เข้าไปตอนนี้ก็มีแต่ตายนะโรดี้!” คนคนหนึ่งตะโกน
“จะต้องมีที่อื่นที่ใช้หลบได้แน่ พวกเราไปหาถ้ำได้นะ!” อีกคนตะโกนอย่างหวาดกลัว
พวกเขารู้แล้วว่าโรดี้คิดจะอาศัยพลังงานลึกลับของเมืองในการต้านทานน้ำ ถึงอย่างไรเป้าหมายของอูรุสก็คือการทำลายเมือง พวกเขาแค่โดนลูกหลงไปด้วยอย่างคาดไม่ถึงเท่านั้น
แต่รู้ส่วนรู้ พวกเขาไม่คิดจะเข้าไปในเมืองเร็วขนาดนี้
ก่อนหน้านี้พวกเขากำลังอ้อมอยู่รอบนอกเพื่อลองตรวจสอบภูมิประเทศและสถานการณ์ แต่ตอนนี้พวกเขาจะต้องเข้าไปยังใจกลางเมืองเพื่อหลบกระแสน้ำ
สำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็นการหาที่ตายชัดๆ!
โรดี้ไม่เหลือบแลพวกเขา เพียงโบกมือ แล้วเร่งฝีเท้าพุ่งไปยังเมือง
“โรแซง ตามมา!”
คลื่นน้ำขนาดยักษ์เหมือนกับผ้าม่านสีเทาผืนใหญ่ ค่อยๆ กลบกลืนผืนดิน และแผ่ขยายไปยังเมือง
มองไกลๆ พวกโรดี้เหมือนกับมดที่กำลังเข้าใกล้เมืองอย่างช้าๆ แต่ก็ยังช้ากว่าความเร็วของกระแสน้ำเล็กน้อย
“จำเป็นต้องเร่งความเร็ว” โรดี้สังเกตเห็นจุดนี้เช่นกัน
“ไม่เป็นไร ดูข้านี่” ลู่เซิ่งอยู่ห่างไปจากด้านหลังเขาเล็กน้อย ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มร่า พร้อมกับกระทืบเท้าไปด้านหลัง
เปรี้ยง!
เกิดเสียงทึบหนัก ลู่เซิ่งใช้มือหนึ่งจับโรดี้ มือหนึ่งจับเอสเซียงโล ส่วนตัวเองอาศัยแรงสะท้อนของการระเบิดลอยขึ้นกลางอากาศ ออกห่างจากพื้นดินสิบกว่าเซนติเมตร
เพียงแค่วินาทีเดียว
พวกโรดี้รู้สึกว่าร่างตนทะยานขึ้น ด้านหน้าพร่ามัวแวบหนึ่ง แล้วมาถึงกลางถนนที่เปื้อนรอยสีขาวด้านในเมืองทันที
“เร็ว…เร็วมาก!” เอสเซี่ยงโลอ้าปากค้าง ผมถูกพัดจนตั้งเหมือนกับถูกไฟฟ้าช็อต
ความตกตะลึงในใจโรดี้ไม่ด้อยกว่าเอสเซียงโลเลย ดาบเจอเรลโลที่โรแซงฝึกฝนไปถึงขั้นที่ตัวเขาไม่อาจเข้าใจอีกแล้ว
ทั้งๆ ที่หากจัดเรียงกระบวนท่าเดี่ยวๆ แล้ว เขาต่างก็รู้จักทั้งนั้น แต่ยามโรแซงใช้ออกมา เขากลับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่…
“ถึงแล้ว” ลู่เซิ่งวางทั้งสองคนลงเบาๆ ก่อนจะกวาดตามองรอบข้าง “ที่นี่สภาพแวดล้อมไม่ได้ดูดีนัก”
“ตอนนี้พวกเราไม่ได้มีตัวเลือกอื่น” โรดี้ถอนใจพร้อมกับกล่าวอยางสงบนิ่ง
ในตอนนี้เอง เสียงดังกึกก้องที่ไม่อาจบรรยายได้ก็ดังมาจากรอบนอกกำแพงเมือง
พื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น บ้านเรือนรอบๆ เริ่มสั่นไหวตามไปด้วย คล้ายกับรับแรงกระแทกที่หนักอึ้งสุดขีด มิหนำซ้ำยังเป็นแรงกระแทกที่ต่อเนื่องเสียด้วย
“ดูนั่น!” เอสเซียงโลชี้ไปที่หลังคาบ้านที่ถูกลู่เซิ่งทำลายไปเมื่อก่อนหน้า ตรงนั้นกำลังกลับคืนสู่สภาพเดิมด้วยความเร็วสูง
ลู่เซิ่งกับโรดี้เห็นแล้วเช่นกัน โรดี้ไม่แสดงสีหน้า ลู่เซิ่งกลับรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย
“ตอนนี้จะทำยังไงดี” ลู่เซิ่งมองโรดี้ “ที่นี่ดูเหมือนไม่น่าเป็นมิตรเท่าไหร่”
“ไม่เป็นไร พวกเราเพียงแค่เข้ามาหลบภัยชั่วคราวเท่านั้น อีกประเดี๋ยวก็ไปแล้ว” โรดี้เค้นยิ้ม
“หาบ้านสักหลังดีไหมขอรับ เอาแต่อยู่ด้านนอกแบบนี้ก็ใช่เรื่องนะ” ลู่เซิ่งเสนอ
“ได้สิ หาที่ที่สูงหน่อยก็แล้วกัน” โรดี้คิดว่าเกิดว่าต้านน้ำไม่ไหวขึ้นมา บ้านที่อยู่สูงหน่อยอาจจะลอยบนกระแสน้ำได้
ทั้งสามคนเดินตามถนนเข้าไปด้านใน หาอยู่ในหมอกสักพัก ไม่นานก็เจอสถานที่คล้ายกับโรงเรียนที่มีสี่ชั้น
ลู่เซิ่งต่อยทำลายสลักประตู ก่อนจะผลักประตูเหล็กเดินเข้าไป
โรดี้ประคองเอสเซียงโลติดตามมาด้านหลัง
“ระวังหน่อยโรแซง เมืองนี้อันตรายมาก” เขามองลู่เซิ่งที่ทำหน้าไม่ยี่หระ ในใจเป็นกังวล จึงอดเตือนไม่ได้
“ขอรับ ไม่ต้องห่วง ข้าจะระวัง” ลู่เซิ่งเดินเข้าประตูใหญ่ของตึกเล็กอย่างผ่าเผย ทั้งสามคนตัดทะลุโถงใหญ่ผุพัง ขึ้นชั้นสอง ชั้นสาม ไปจนถึงชั้นสี่อย่างรวดเร็ว
สองฟากข้างของบันไดชั้นสี่เป็นระเบียงมืดทะมึน
“หาสักที่ตรงนี้เถอะ” ลู่เซิ่งเสนอ
“ได้…” โรดี้ระวังตัวแจขึ้นมา มือหนึ่งประคองเอสเซียงโล มือหนึ่งยกหน้าไม้สั้นของตัวเองขึ้น เตรียมพร้อมลงมือตลอดเวลา
“ที่นี่ก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งเจอห้องห้องหนึ่งอย่างรวดเร็ว “ที่นี่ติดหน้าต่าง วิวน่าจะไม่เลว”
เขาเปิดประตู
ฟ้าว!
หนวดสีดำสนิทหนาเท่าแขนข้างหนึ่งพุ่งออกมาใส่ใบหน้าเขาจากด้านหลังประตู
……………………………………….