ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 524 เบาะแส (2)
บทที่ 524 เบาะแส (2)
แต่ไม่นานทุกคนก็ค้นพบว่า จุดที่สัตว์ประหลาดกำลังมอง ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างพวกเขา หากเป็นตำแหน่งหนึ่งที่อยู่บนพื้นของตัวเมือง
“ใช่แล้ว ถ้าพวกมันจะสู้กับพวกเรา คงไม่ต้องใช้ทัพใหญ่ขนาดนี้หรอก…” เมราสีหน้าเปลี่ยนแปลง คล้ายนึกอะไรได้ พลันเบือนสายตาไป
ดวงตาของโรดี้ที่แดงก่ำมองไปยังตำแหน่งเดียวกันอย่างคาดหวังรอคอย
“หรือว่า…!?”
เอสเซียงโลกับฟรานต่างก็หยุดถอยหลัง แล้วมองไปยังตำแหน่งที่ทั้งสองมองไป
พื้นดินเริ่มสั่นไหวน้อยๆ
ครืน…
สัตว์ประหลาดเขาแพะสีดำก้มตัวลง ตาข้างเดียวที่มีสีแดงฉานขนาดมหึมาเบิกโพลงอย่างโกรธแค้น
โฮก!
มันคำรามใส่พื้นดินตรงหน้า
แต่สิ่งที่มันเผชิญกลับเป็นแสงสีเงินเล็กละเอียดสายหนึ่ง แสงนั้นมีขนาดแค่เท่าฝ่ามือในตอนที่สว่างขึ้น เดี๋ยวสูญหายเดี๋ยวปรากฏในดงสัตว์ประหลาด
ถัดจากนั้น
ฟ้าว!
ชั่วพริบตานั้นประกายดาบสีเงินเชื่อมฟ้าเชื่อมดินก็กลายเป็นเงาสายหนึ่ง แล้วพุ่งทะลวงออกมาจากกลางฝูงสัตว์ประหลาด จากนั้นก็วาดผ่านสัตว์ประหลาดเขาแพะ วาดผ่านเด็กชายที่ยืนอยู่บนศีรษะของมัน วาดผ่านสิ่งก่อสร้างของเมืองหลายสิบแห่งที่ยังนับว่าอยู่ในสภาพดีด้านหลัง
ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัดในชั่วพริบตา
การเคลื่อนไหวของพวกสัตว์ประหลาดหยุดชะงัก เหมือนกับเครื่องบันทึกเสียงที่ถูกกดปุ่มหยุด สัตว์ประหลาดสีดำนับไม่ถ้วน รวมถึงสัตว์ประหลาดเขาแพะที่สูงที่สุดแข็งทื่อในพริบตา
รอยแตกที่เห็นได้ชัดค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนตัวสัตว์ประหลาดกับเด็กผู้ชาย
ตูม!
สัตว์ประหลาดทุกตัวระเบิดแทบจะพร้อมกัน ก่อนกลายเป็นน้ำสีดำกระเซ็นซ่านไปทั่ว ร่างกายมหึมาของสัตว์ประหลาดเขาแพะตาเดียวถูกแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง
สิ่งที่ถูกผ่าเปิดออกพร้อมกันยังมีพื้นของเมืองที่ใหญ่ถึงหลายร้อยเมตรด้านหลังด้วย
เมืองทั้งเมืองถูกดาบแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง ถูกฟันทำลายไป
ซู่…
ไอความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงหลายกลุ่มลอยขึ้นจากพื้น ลู่เซิ่งถือดาบด้วยมือข้างเดียว กล้ามเนื้อบนร่างไม่ใช่กล้ามเนื้อธรรมดาอีกต่อไป หากเหมือนกับเกราะอ่อนมากกว่า
สิ่งที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ ตอนนี้ด้านหลังเขามีท่อที่เหมือนกับท่ออ่อนเพิ่มมา ดาบกระดูกสีขาวที่คมกริบสองเล่มงอกขึ้นมาด้านหลัง
“ปลดปล่อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์” จนกระทั่งถึงตอนนี้ เสียงของลู่เซิ่งจึงค่อยๆ ทะลุม่านวิกาลและลอยเข้าหูของคนทุกคน
เสียงของเขาซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไป หากชั่วร้ายและเย็นเยียบเป็นพิเศษ
รอยแตกลึกรอยหนึ่งปรากฏด้านหน้าลู่เซิ่งโดยอยู่ห่างไปด้านหน้าหลายเมตร ทั้งยังแผ่ขยายไปจนถึงปลายสุดของเมือง ผ่าเมืองทั้งเมืองออกเป็นสองส่วน
“โรแซง…” โรดี้มองลูกชายอย่างงงงวย เขามองเห็นร่องรอยของสำนักดาบเจอเรลโลที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากร่างสูงใหญ่เกือบห้าเมตรกว่าๆ ร่างนั้นได้ คนที่ร่างกายแข็งแกร่งยิ่งขึ้นหลังจากกินยาจะมีเส้นสายเล็กๆ ที่คนธรรมดาแยกแยะไม่ออกปรากฏบนร่าง
คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นร่องรอยนี้ได้ แต่คนในสำนักกลับเห็นได้อย่างชัดเจน
ตอนแรกโรดี้นึกว่าลูกชายถูกสัตว์ประหลาดฝังร่างปรสิต ถึงอย่างไรอันตรายอะไรก็ปรากฏขึ้นในเมืองนี้ได้ทั้งนั้น แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ หลังจากเห็นร่องรอยของยาในสำนักที่แข็งแกร่งขึ้นบนร่างของลูกชาย โรดี้จึงค่อยกระจ่างแจ้งว่า
โรแซงไม่ได้ถูกสัตว์ประหลาดฝังร่างปรสิต!
เป็นเพราะว่าร่องรอยยาบนร่างโรแซงกระจายไปทั่วร่างอย่างแน่นขนัด มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน มากกว่าพัน มากกว่าหมื่น หรือมากกว่าแสนมากกว่าล้าน
ร่องรอยยาสายหนึ่งหมายถึงเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นสำเร็จครั้งหนึ่ง นี่เป็นร่องรอยที่จะเหลืออยู่หลังเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อ ตอนนี้ร่องรอยยาบนร่างโรแซงกลับมีเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว…
“นั่นคือ…รอยยาหรือ…!?” เอสเซียงโลเบิกตาจนหางตาแทบฉีก
“ยาเข็มทมิฬ…หนามแดง…แสงขาว…” เขาพูดชื่อตัวยาแต่ละชื่อออกมา
“สัตว์…สัตว์ประหลาด!” ฟรานตัวสั่นอย่างมิอาจควบคุม
“ไม่! เขาไม่ใช่สัตว์ประหลาด!” เมราตัดบทนาง สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งเพื่อข่มหัวใจที่เต้นเร็วให้ช้าลง
“ถ้าหากข้าทายไม่ผิด โรแซง…เขาคือสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดของสำนักทั้งหลายตั้งแต่ประวัติศาสตร์เคยมีมา เป็นอัจฉริยะที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตัวยาทั้งหมดจนถึงระดับสูงสุด!”
“พูดได้ว่า เขาในตอนนี้เป็นตัวแทนจุดสูงสุดที่สำนักต่อสู้ของพวกเราจะไปถึงได้”
…
“นี่…คือปาฏิหาริย์!”
อูรุสลืมตาโต ตื่นเต้นจนตัวสั่น เขา โยย่าและทหารใกล้ชิดสามคนสุดท้าย คือพยานสุดท้ายในความวุ่นวายครั้งนี้
ทหารทุกคนที่พามา เหลือแค่สามคนสุดท้ายนี้แล้ว
สัตว์ประหลาดถูกทำลายล้างในชั่วพริบตา ทำให้พวกอูรุสที่อยู่ในสภาพตึงเครียดมาโดยตลอดผ่อนคลายลง ถ้าไม่ใช่ว่ามีปณิธานแรงกล้าคอยประคับประคอง เกรงว่าพวกเขาจะหมดสติไปแล้ว
“คนคนนั้น…” อูรุสทรุดนั่งลงกับพื้น ดวงตายังคงจับจ้องเงาคนยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่กลางน้ำสีดำเขม็ง
“คนคนนั้น…ไม่อาจเรียกว่ามนุษย์ได้อีกแล้ว…”
โยย่าสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับจับแขนของผู้เป็นพ่อไว้แน่น ปากที่เม้มอยู่กับสองขาที่สั่นเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่า ความรู้สึกของนางในตอนนี้ไม่ได้น้อยกว่าคนอื่นๆ เลย
“พวกเรา…ต่อจากนี้จะทำอย่างไรดี” นางถามเบาๆ
“ยืนยันก่อนว่าเขาเป็นมนุษย์หรือว่าเป็นสัตว์ประหลาด…” อูรุสกำหมัดแน่น
…
เปรี้ยง
กล้ามเนื้อที่นูนขึ้นบนแก้มของลู่เซิ่งป้องกันส่วนใบหน้าไว้ทั้งหมดเหมือนกับเกราะอ่อน รอบๆ สองขาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดและเส้นเอ็นที่ดูน่ากลัว ตอนนี้กลับเดินเข้าหาเด็กชายกับศพของสัตว์ประหลาดที่กำลังถล่มลงทีละก้าวๆ
เปรี้ยง
พื้นดินสั่นไหวท่ามกลางเสียงฝีเท้า แต่ตอนนี้วินาทีนี้กลับไม่มีใครหยุดเขาได้อีกแล้ว
สัตว์ประหลาดทั้งหมดกลายเป็นน้ำสีดำด้วยดาบเมื่อครู่ ดาบของลู่เซิ่งที่ปลดปล่อยพลังยี่สิบเปอร์เซ็นต์ใช้ทักษะของสำนักทำการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
แค่กระแสอากาศคมกล้าที่ปล่อยออกไปในพริบตาตอนที่ฟัน ก็แยกเมืองจากหนึ่งเป็นสองได้แล้ว ยิ่งอย่าว่าแต่เด็กชายที่เจอการโจมตีเป็นคนแรก
“การฟันดาบไม่อาจทำให้ข้าสะใจได้อีกแล้ว” ลู่เซิ่งโยนดาบยาวที่มีแต่รูพรุนในมือทิ้ง แล้วไปหยุดอยู่ยืนด้านหน้าศีรษะของเด็กชาย
“ออกมาซะ ข้ารู้สึกได้ถึงการดำรงอยู่ของเจ้า” เขาพลิกมือชักกระดูกท่อนหนึ่งออกมาจากด้านหลัง
แคว่ก ชิ้นส่วนแตกละเอียดสีม่วงอ่อนก้อนหนึ่งที่มีลวดลายดวงตาอันแปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้นกลางศพของเด็กชาย
ชิ้นส่วนนี้คล้ายกับเป็นชิ้นส่วนที่ตกลงมาจากแจกันที่แตก ลวดลายสีขาวเหมือนกับกำลังส่งของเหลวอะไรสักอย่าง เพื่อทำให้จุดแสงสีขาวไหลเวียนด้วยความเร็วสูงอยู่
“หากครอบครองข้า เจ้าจะมีพลังสูงสุด…”
“ปกครองโลก สะกดดวงดาว อำนาจ ความร่ำรวย วิชาเทพ วิชาลับ ขอแค่เจ้าต้องการ ล้วนมีได้ทุกอย่าง สมบัติ? วิชาลับ? ทรัพย์สิน? หญิงงาม? ทุกสิ่งที่เจ้าเคยเสียดาย เจ้าจะครอบครองได้ทุกสิ่ง…มาเถอะ…มาเถอะ…แค่ป้ายเลือดหยดเดียว…ลงบนผิวของข้า…”
กร๊วม
ลู่เซิ่งหยิบชิ้นส่วนที่กัดแตกออกมาจากปาก
“ทำไมแข็งจัง” เขาชูมันขึ้นอย่างสงสัย ก่อนจะเตรียมเปลี่ยนฟันเพื่อกัดอีกครั้ง
“ไม่! เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้!” เสียงแหลมนั้นกำลังอ่อนแรงด้วยความเร็วสูง คล้ายกำลังจากที่นี่ไปไกล
“ไม่!” ผ่านไปสักพัก ชิ้นส่วนก็เงียบลง
ลู่เซิ่งเขย่าดู ในชิ้นส่วนกลับไม่มีเสียงแล้ว
“พังไปแล้วเหรอ” ลู่เซิ่งงุนงง
ในตอนนี้เอง เขาก็สังเกตเห็นว่า สิ่งก่อสร้างทั้งหมดในเมืองกำลังเริ่มหลอมละลายกลายเป็นน้ำสีดำปริมาณมากอย่างช้าๆ
รั้ว บ้าน โบสถ์ อิฐ ทุกสิ่งทุกอย่างละลายกลายเป็นน้ำสีดำ
ดีที่หลังจากสู้ศึกตะลุมบอนกันเป็นเวลานาน ท้องฟ้าด้านนอกก็สว่างเหมือนท้องปลาแล้ว
กระแสน้ำเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ปริมาณน้ำหายไปเป็นจำนวนมาก แทบจะเห็นพื้นของเนินที่สูงหน่อยได้แล้ว
เวลานี้ลู่เซิ่งค่อยๆ กลับคืนร่างเดิม ความผิดปกติบนร่างค่อยๆ หายไปใต้ผิว
ลู่เซิ่งถอดชุดของทหารที่อยู่ด้านข้างออกมาสวม ก่อนจะจัดเข็มขัดหนัง จากนั้นก็เห็นพวกโรดี้วิ่งมาหา
“โรแซง!”
โรดี้กอดเขาไว้ ไม่ทราบว่าควรพูดอะไรอยู่ชั่วขณะ
“ไม่เป็นไร ท่านพ่อ จะไม่มีที่นี่อีกต่อไปแล้ว” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม
โรดี้ปล่อยเขา ค่อยสังเกตเห็นสภาพผิดปกติของสิ่งก่อสร้างรอบๆ สีหน้าพลันซับซ้อนขึ้นมา
เขารู้ว่าลูกชายแข็งแกร่งมาก แต่ไม่นึกว่าจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้
“เจ้า…ต่อจากนี้มีแผนการอย่างไร”
“ไม่รู้สิ แต่ข้ารู้สึกได้ว่า มีสถานที่บางแห่งกำลังเรียกข้าอยู่” ลู่เซิ่งเริ่มแต่งคำโหก เขาเตรียมจะทิ้งตำนานขึ้นสู่สวรรค์ไว้ในโลกไปนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้จะสามารถอธิบายเหตุผลที่เขาจากไปอย่างกะทันหันได้อย่างสมบูรณ์
“เรียกหรือ” โรดี้งงงวย
เวลานี้พวกเมรา ฟราน กับเอสเซียงโลพากันมารวมตัวกันตรงนี้แล้วเช่นกัน
หลังจากน้ำสีดำบนพื้นสลายไปแล้ว ในที่สุดก็เผยให้เห็นพื้นสีดำอมเทาด้านล่าง ทุกคนมองดูลู่เซิ่งอย่างระมัดระวัง ไม่ทราบควรพูดอะไรอยู่ชั่วขณะ
กลับเป็นลู่เซิ่งที่ทราบดีว่า ความจริงเรื่องนี้ยังไม่จบ ชิ้นส่วนในมือเป็นแค่ส่วนหนึ่งของบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น
นอกจากนั้น เหตุใดวิธีการนี้ถึงเหมือนกับการที่พวกยอดฝีมือในต้าอินและโลกแห่งความเจ็บปวดทิ้งอาวุธเทพไว้ในโลกมนุษย์ เพื่อให้มันได้รับการหลอมสร้างกันนะ
ชิ้นส่วนในมือเขาจะต้องดึงดูดทูตที่อยู่เบื้องหลังมาแน่ นอกจากนี้สาเหตุที่เขาเก็บชิ้นส่วนนี้ไว้ชั่วคราว เป็นเพราะว่าเขาอยากจะได้ข้อมูลจากปากของมันมากกว่านี้
เห็นได้อย่างชัดเจนมากว่าของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีสติปัญญา แต่ไม่รู้ว่าตนทำพังไปแล้วหรือยัง
“ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว พวกเรากลับไปก่อนเถอะ ท่านจะไปด้วยกันไหมท่านพ่อ” ลู่เซิ่งถามโรดี้
ถึงแม้อยากจะกลับไปถามลู่เซิ่งมากว่าฝึกฝนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องจัดการ คือต้องยืนยันให้แน่ใจว่าเมืองหายไปโดยสมบูรณ์จริงๆ หรือไม่ สภาพเลวร้ายในวันนี้คือวิธีการทดลองที่ดีที่สุด
ความสนใจของลู่เซิ่งอยู่ที่ชิ้นส่วนในมือ เขาสนใจในตัวชิ้นส่วนนี้มาก สาเหตุส่วนหนึ่งก็คือของสิ่งนี้มีพลังอาวรณ์อยู่มากมาย
“ข้าจะอยู่ที่นี่สักพัก รอตรวจสอบให้แน่ใจแล้วค่อยจากไปก็ยังไม่สาย ข้าต้องรู้ถึงต้นสายปลายเหตุทั้งหมดให้ได้ จากนั้นค่อยเก็บงานช่วงสุดท้ายให้หมด”
“จริงสิ โรแซง ขอถามหน่อยได้ไหมว่าเจ้าแข็งแกร่งถึงขนาดไหน” ฟรานเข้ามาถามอย่างสงสัย
“ไม่รู้สิ…” ลู่เซิ่งยิ้ม
เมราที่อยู่ด้านข้างมองลู่เซิ่งอย่างอิจฉา นางพยายามฝึกฝนมาชั่วชีวิต แต่ยังสู้คนที่ฝึกมาสองสามเดือนไม่ได้ นางได้ทราบสถานการณ์จากทางโรดี้แล้ว
“ถ้าหากทำได้ ท่านโรแซง ช่วยมาร่วมมือกับพวกเราเพื่อทำการตรวจสอบที่สถานศึกษาการ์เดี้ยนได้ไหม” เอสเซียงโลสนใจมากว่าลู่เซิ่งทนพิษมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร
ดังนั้นแม้จะยังเกรงๆ ลู่เซิ่งอยู่ แต่ตอนนี้จะมัวแต่กังวลไม่ได้แล้ว บอกกล่าวไว้ก่อนดีกว่า
“จะว่าไป ท่านเองก็สนใจในตราประทับลึกลับนี้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ” เอสเซียงโลพลันชี้แขนท่อนปลายของลู่เซิ่ง ตรงนั้นมีลวดลายเทวลักษณ์วารีลี้ลับติดอยู่
“ท่านเคยเห็นตราประทับแบบนี้มาก่อนหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างตื่นเต้น
“เคยเห็น นี่เป็นหนึ่งในอักขระเทวลักษณ์โบราณพื้นฐาน ปกติแล้วจะใช้ในสภาพแวดล้อมหรือเหตุการณ์พิเศษ” เอสเซียงโลอธิบาย
“เทวลักษณ์โบราณ…”
……………………………………….