ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 527 สอดมือ (1)
บทที่ 527 สอดมือ (1)
โถงใหญ่ของวังมารเป็นสีแดงก่ำ พื้นปูพรมสีแดงผืนหนาไว้ชั้นหนึ่ง สามารถเห็นเปลวไฟที่ลุกโหมอยู่ข้างใต้พื้นได้ผ่านขอบพรม
ข้างใต้วังใหญ่อบถ่านไม้ไว้ตลอดเวลาสำหรับเพิ่มความอบอุ่น เพื่อรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมให้แก่วังใหญ่
ลู่เซิ่งนั่งบนบัลลังก์สีดำด้านบนสุด กวาดตามองระดับสูงของสำนักมารกำเนิดที่มารวมตัวกันเบื้องล่าง
ผู้เฒ่าสือ ราชามารเผ่ามารที่ถูกขุดออกมาจากตราประทับศิลาผู้นี้ ตอนนี้กลายเป็นแม่ทัพสำนักมารกำเนิดที่มีชื่อสมกับความจริง เขายืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางพินอบพิเทา ไม่ทราบว่าเปลี่ยนรูปลักษณ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่หลังค่อมอีกต่อไป ดูจากลักษณะภายนอก ไม่ต่างอะไรกับวณิพกผมขาวที่อ่านหนังสือในเหลาสุราเท่าไหร่
ได้ยินมาว่าช่วงนี้เขาปลอมแปลงสถานะเพื่อไปอ่านหนังสือร้องเพลงในเหลาสุราจริงๆ เช่นกัน
ลู่เซิ่งยากจะจินตนาการนิดหน่อยว่า ด้วยความโมโหร้ายของคนผู้นี้ ถึงกับข่มนิสัยเพื่ออ่านหนังสือให้คนฟังได้จริงๆ หรือ
คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของเฒ่าสือคือราชาเงามืด คนผู้นี้มีผมสีทองตาสีเขียว ดูไม่ต่างจากชาวตะวันตกในโลกใบเดิมเท่าไหร่ พอสัมผัสได้ว่าลู่เซิ่งกำลังมองอยู่ สวี่เฝ่ยลาก็ยิ้มให้แก่เขา
ลู่เซิ่งพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ราชาเงามืดมีคุณูปการสูงสุดต่อสำนักมารกำเนิด โดยเฉพาะการทำศึกไปทั่วทิศในช่วงขยับขยาย คนผู้นี้สร้างผลงานขึ้นไม่น้อย
ถัดจากนั้นคือตวนมู่หว่านรวมถึงผู้ถืออาวุธอีกหลายคนที่เข้าร่วมในภายหลัง แต่ว่าคนที่ลู่เซิ่งให้ความสนใจมีแค่สามคนนี้ เนื่องจากเขาไม่ได้เชื่อมั่นในตัวผู้ถืออาวุธที่เหลือ มีแค่สามคนนี้เท่านั้นที่กายเนื้ออยู่ในการควบคุมของเขาตลอดเวลา เพราะติดตั้งวิชาลับไว้ ดังนั้นเรื่องส่วนตัวมากมายจึงมอบให้พวกเขาจัดการได้
“เอาล่ะ ในเมื่อมากันครบแล้ว อย่างนั้นก็เริ่มประชุมกันเลย” ลู่เซิ่งเว้นเล็กน้อย “นโยบายอื่นให้คงไว้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ทางอินตูเป็นอย่างไรบ้าง”
สายตาทั้งหมดของต้าอินในตอนนี้จับจ้องอยู่ที่สองด้าน หนึ่งคืออินตู สองคือประตูเลือดเนื้อที่ใหญ่ที่สุดซึ่งพิภพมารเปิดขึ้น
สองสถานที่นี้เป็นจุดสำคัญที่ส่งผลต่อสถานการณ์ใหญ่ทั้งหมดได้
“ทางด้านอินตูอยู่ในความรับผิดชอบของข้าน้อยมาโดยตลอด ช่วงนี้หยวนกวงย่วนแห่งตระกูลหยวนกวงเสนอเงื่อนไข โดยต้องการให้พวกเราสนับสนุนองครักษ์คุ้มครองอีกครั้ง อาศัยแค่คุณหนูอิงอิงก็เหมือนไม้ท่อนเดียวยากค้ำยัน การต่อสู้ภายในตระกูลหยวนกวงมีความรุนแรงอยู่บ้าง” ราชาเงามืดสวี่เฝ่ยลาเอ่ย
“ต้องสนับสนุนอีกหรือ นางจะเอาอะไรมาแลก” เฒ่าสือถามกลับ
“นางกำลังจะได้รับตำแหน่งรองผู้รับใช้ประจำโลกด้านนอกของอินตูแห่งตระกูลหยวนกวง รอตำแหน่งนางมั่นคงแล้ว จะมีอิทธิพลไปถึงทรัพยากรในโลกด้านนอกทั้งหมดเป็นจำนวนหนึ่งในสามส่วนของตระกูลหยวนกวง หยวนกวงย่วนให้คำมั่นว่ารอหลังจากนางได้นั่งตำแหน่งแล้ว จะอนุญาตให้พวกเราสำนักมารกำเนิดเข้าออกหรือพักอาศัยในโลกด้านนอกทั้งหมดที่นางดูแล นอกจากนี้ยังจะแบ่งทรัพยากรที่นางดูแลมาครึ่งหนึ่ง เพื่อให้สำนักมารกำเนิดเข้าร่วมการเก็บเกี่ยวด้วย” สวี่เฝ่ยลาอธิบาย
การเข้าร่วมเก็บเกี่ยวทรัพยากรอุดมสมบูรณ์จริงๆ แต่ละปีตระกูลหยวนกวงค้นพบโลกด้านนอกเท่าไหร่ การเก็บเกี่ยวแร่ที่พวกเขามอบให้มีความคุ้มค่ามากกว่าดินแดนทั่วไปในต้าอินเสียอีก
“ขุมกำลังทั้งหมดข้างกายหยวนกวงย่วนในตอนนี้ล้วนเป็นพวกเราจัดหาให้ พวกเราไม่กลัวนางจะสำนึกเสียใจ…ทว่า จะลงทุนกับนางคนเดียวไม่ได้” เฒ่าสือกล่าวเสริม
“ต้วนมู่หว่านเจ้ารับผิดชอบเรื่องนี้ สวี่เฝ่ยลา เจ้าให้ความสนใจกับสถานการณ์ทัพมารรอบๆ เป็นหลัก นอกจากนี้การวบรวมข้อมูลของอาวุธเทพเป็นอย่างไรบ้าง” ลู่เซิ่งถามต่อ
“พอมีเค้าโครงแล้วขอรับ อาวุธเทพที่ปรากฏในช่วงนี้ ใกล้ๆ สำนักเรากับในเขตมีทั้งหมดสี่ชิ้น ได้จัดวางมือดีเอาไว้แล้ว เกิดว่าเผยร่องรอยเมื่อใด ข้าจะออกเดินทางด้วยตัวเองทันที จะต้องกำจัดอุปสรรคและจับตัวไว้ได้แน่นอน” สวี่เฝ่ยลาตอบ
ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะถามสถานการณ์แต่ละด้านของสามสำนักต่อ อย่างไรสำนักมารกำเนิดก็เป็นเพียงขุมกำลังชายขอบ สภาวะและอำนาจยังสู้สามสำนักกับสามตระกูลใหญ่ที่เป็นพวกมีประสบการณ์ไม่ได้ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของสามสำนักล้วนส่งผลต่อกระทบต่อสำนักมารกำเนิดทั้งนั้น
ขณะประชุมอยู่ในวังใหญ่ ไม่นานคนที่ส่งไปคฤหาสน์ลู่ก็กลับมา
ลู่เซิ่งเน้นย้ำมาตรการการรักษากิจการที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ และถามถึงสถานการณ์การพัฒนาของแต่ละภารกิจ หนึ่งชั่วยามกว่าๆ ให้หลังจึงค่อยให้คนแยกย้าย หลังจากการประชุมจบลง ตวนมู่หว่านก็รั้งอยู่โดยที่ไม่ต้องบอก
“เจ้าสำนัก พาลู่หลันมาแล้วเจ้าค่ะ” ตวนมู่หว่านเข้ามาส่งกระแสเสียงเบาๆ
ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย
“พานางมา”
สวีเฝ่ยลากับเฒ่าสือค่อยเดินออกจากประตูวัง พวกเขาย่อมได้ยินการส่งกระแสเสียงของทั้งสอง แต่นี่เป็นเรื่องในคฤหาสน์ลู่ พวกเขาไม่สะดวกถาม แต่ว่าทั้งสองให้ความสนใจในตัวลู่หลันเป็นอย่างมาก คนที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถตรวจสอบประวัติได้ จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ทั้งสองแลกเปลี่ยสายตากัน ไม่ได้หยุดอยู่ต่อ หากกระโจนร่างขึ้นเมฆดำ แล้วเหาะจากไป
บนตำหนักใหญ่ที่ว่างเปล่า ไม่นานศิษย์สำนักมารกำเนิดสามคนก็พาเด็กสาวงดงามตากระจ่างคิ้วสวย ท่าทางเงอะๆ งะๆ คนหนึ่งเดินมาบนพรม
ลู่เซิ่งเพ่งสมาธิพิจารณาเด็กสาวด้านล่าง เหมือนอย่างที่ตวนมู่หว่านว่าไว้จริงๆ สัมผัสอะไรจากตัวนางไม่ได้เลย เป็นสารกายของคนธรรมดาๆ คุณสมบัติร่างของคนธรรมดาๆ และจิตวิญญาณของคนธรรมดาๆ โดยสิ้นเชิง
“เจ้าคือลู่หลันหรือ” เขาถามเบาๆ
เด็กสาวกอดอกไว้ในลักษณะป้องกันตัว ก้มหน้าไม่มองลู่เซิ่ง พอได้ยินเสียง ปฏิกิริยาของนางช้าไปครึ่งจังหวะ ถึงค่อยได้สติกลับมาแล้วพยักหน้า
“…ข้าคือ…”
ในหมู่เด็กสาวที่ลู่เซิ่งเคยพบมา ลู่หลันไม่นับว่างามที่สุด แต่เป็นคนที่อ่อนแอที่สุดอย่างแน่นอน
“เหตุใดเจ้าจึงไปโผล่ในป่าที่ฮูหยินเฒ่าออกท่องเที่ยวได้” เขาถามตรงๆ
ลู่หลันเงียบงันเล็กน้อย
“…จำไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ…” นางมีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่เหมือนกับกำลังโกหก หากเหมือนกับจำไม่ได้จริงๆ มากกว่า
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว เขาไม่อาจสัมผัสได้ว่าเด็กสาวคนนี้มีปัญหาอะไร แต่นี่จึงเป็นปัญหาที่เห็นได้ชัดที่สุด
สิ่งที่เขาแสดงออกมาให้เห็นในตอนนี้เป็นแค่อริยะเจ้าแห่งสำนักพันอาทิตย์ซึ่งเพิ่งจะเลื่อนระดับขึ้นมาไม่นานเท่านั้น สำนักมารกำเนิดเป็นเพียงขุมกำลังอริยะเจ้าที่มีอายุน้อยถึงขีดสุด ขุมกำลังแบบนี้ไม่ได้มีเยอะนักในต้าอิน แต่ก็มีไม่น้อยเช่นกัน เบื้องหลังอริยะเจ้าทุกคนมีขุมกำลังแบบนี้อยู่ด้วยไม่มากก็น้อย
ลู่เซิ่งคิดว่าในสถานการณ์ที่ไม่เปิดเผยพลังที่แท้จริง เมื่อคนนอกมองเขาก็จะไม่ต่างอะไรจากอริยะเจ้าหรือศัสตราเทพคลั่งของสำนักพันอาทิตย์คนอื่นๆ
สภาพการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าจะมีใครวางแผนเล่นงานเขา
“ช่างเถอะ เจ้าไปก่อน จงตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินเฒ่าให้ดี ในเมื่อเข้าร่วมคฤหาสน์ลู่แล้ว ก็ถือเป็นคนของตระกูลลู่ จะต้องปฏิบัติตามกฎตระกูลด้วย” ลู่เซิ่งมองไม่เห็นปัญหา จึงได้แต่โบกมือให้นางถอยไป
ลู่หลันถูกคนพาออกจากตำหนักใหญ่อย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะถูกคนยัดแหวนผลึกแก้วสีดำที่วิจิตรงดงามวงหนึ่งให้ ถือเป็นของชดเชยที่เรียกตัวนางมาในครั้งนี้
มีคนพานางนั่งเรือที่บินได้ลำหนึ่งสำหรับกลับเขตจันทราสารท
พึ่บผั่บ
ใบเรือสามใบที่พองลมถูกลมตีจนเกิดเสียง
ลู่หลันที่ยืนอยู่บนกราบเรือก้มหน้ามองผืนป่ารอบนอกสำนักมารกำเนิดอันรกร้างกว้างใหญ่ด้านล่าง ในดวงตาสีชมพูฉายแววเย็นชา แตกต่างจากบุคลิกเงอะๆ งะๆ เมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
‘พลังฝึกปรือถูกผนึกชั่วคราว นึกไม่ถึงว่าจะมาตกอยู่ในอาณาเขตของสำนักพันอาทิตย์โดยไม่ได้ตั้งใจ อริยะเจ้าที่ชื่อว่าลู่เซิ่งผู้นี้ดูท่าทางจะรอบคอบมาก’ ในห้วงสมองของนางมีเสียงอีกเสียงที่ต่างจากตัวลู่หลันดังขึ้นช้าๆ
‘ที่นี่ถูกสามสำนักและสามตระกูลจับตาน้อยมาก โลกด้านนอกวุ่นวายปั่นป่วน อินตูเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรง แต่สถานที่แห่งนี้กลับสงบสุข ด้วยสถานะของคุณหนูท่าน จะยังผ่อนคลายไม่ได้ ต้องระมัดระวังไว้’ เสียงบุรุษแก่ชราอีกเสียงดังขึ้นในหัวของนาง
‘ข้าย่อมรู้ น่าเสียดาย หากว่าอาสามยินดีสนับสนุนข้า…ข้ากับเจียจวิ้นคงไม่ตกต่ำถึงขั้นนี้’ เด็กสาวหลับตาลง เพื่อปกปิดคลื่นอารมณ์ในใจ
‘เรื่องราวมาถึงวันนี้ อย่าคิดมากไปเลย คุณหนูรีบหาองค์รัชทายาทให้เจอโดยเร็วเถอะ อาจจะยังพลิกสถานการณ์ใหญ่ได้ ไม่อย่างนั้นรอคนเหล่านั้นสืบเสาะมาถึง…’ เสียงบุรุษเสียงนั้นถอนใจอย่างจนปัญญา
คนในราชวงศ์โหดเหี้ยมไร้น้ำใจที่สุด แต่ท่านผู้นี้กลับให้ความสำคัญกับน้ำใจที่สุด ทั้งยังกล้ารักกล้าชังที่สุดด้วย
‘ข้ารู้’ ลู่หลันสีหน้าเย็นชา ‘กลั่นสารกายเสร็จแล้วหรือยัง ตามเวลาที่กำหนดไว้ อีกห้าวันข้าจะไปจากที่นี่’
‘ไม่ได้! สภาพของคุณหนูท่านในตอนนี้ไม่สามารถใช้เคลื่อนย้ายในพริบตาหลายครั้งติดต่อกันได้ ไม่อย่างนั้นจะก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจรักษาได้ขึ้นมาแทน!’ เสียงบุรุษพลันตกใจ
‘ข้าจะทำอะไรต้องให้เจ้าสอดปากหรือ’ นางกล่าวเสียงเย็นชา
‘แต่ว่า…’
‘จงทำเสีย’ นางตัดบทเขา
เสียงบุรุษพลันเงียบหาย คล้ายกับไม่กล้าพูดแล้ว
ลู่หลันลืมตาเพ่งมองทิวทัศน์ของผืนแผ่นดินที่พุ่งผ่านด้านล่างอย่างเย็นชา นางมีศักดิ์ฐานะสูงส่งมาตั้งแต่เกิด การตกต่ำถึงขั้นนี้ทำให้นางรู้สึกอัปยศถึงขีดสุดแล้ว
เวลานี้ถูกกดดันให้ปลอมแปลงสถานะ ขอพึ่งพาคฤหาสน์ลู่ แสร้งทำเป็นเสียความทรงจำ ใช้อาวุธเทพสมบัติลับที่มีความพิเศษถึงขีดสุดอำพรางกลิ่นอายและจิตวิญญาณ การกระทำเช่นนี้ถือเป็นความอับอายขั้นสูงสุดสำหรับนาง
ถึงแม้ว่าฮูหยินเฒ่าแห่งคฤหาสน์ลู่จะช่วยเหลือนางด้วยความบังเอิญ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะความบังเอิญหรือสาเหตุอื่น อย่างไรนางก็ได้รับบุญคุณจากคนอื่นแล้ว
ถ้าหากภายหลังต้องทำให้คนอื่นๆ ลำบากไปด้วย เช่นนั้นจะเป็นการทำคุณบูชาโทษ เรื่องแบบนี้ต่อให้เป็นนางก็รู้สึกรังเกียจเช่นกัน
ดังนั้นตอนที่ได้ยินว่ามีคนไล่ตามมา นางจึงกำหนดเวลาเพื่อเตรียมจากไปอย่างแน่วแน่ทันที
เรือบินกลับถึงเขตจันทราสารท ร่อนลงจอดบนสนามหญ้าว่างเปล่าด้านนอกคฤหาสน์ลู่ ลู่หลันกลับมาแสดงท่าทีอ่อนแออีกครั้ง
ด้านนอกสนามหญ้ามีเด็กสองคนที่รอมานานรีบพุ่งมาหา
“พี่หลันหลัน!” ลู่หนิงทะยานพุ่งเข้าไปในอ้อมอกของลู่หลัน
มู่เจวี๋ยชิ่งที่อยู่ด้านข้างมองภาพนี้อย่างจนปัญญาอยู่บ้าง นับตั้งแต่ลู่หลันมาถึงคฤหาสน์ลู่ ก็ไม่ทราบว่านางสนิทสนิมกับลู่หนิงได้อย่างไร
หรือควรบอกว่า ลู่หนิงชอบลู่หลันฝ่ายเดียว
ระดับความชอบของเขา พอเฉินอวิ๋นซีที่เป็นมารดาของเขารู้เข้าก็ยังอิจฉาเล็กน้อย
ลู่หลันถนัดด้านพิณ หมากล้อม หนังสือ และภาพวาด แถมยังมีพรสวรรค์ด้านการกาพย์กลอนเป็นเลิศ ลู่หนิงที่ตอนแรกไม่ชอบเรียนหนังสือ พอมีนางคอยกำกับดูแล ก็ยอมอดทนอดกลั้นนั่งเรียนหนังสือประวัติศาสตร์และบทกวีอย่างว่าง่าย ทำให้คนในคฤหาสน์ลู่ที่เห็นต้องจุ๊ปากอย่างอัศจรรย์ใจ
“เสี่ยวหนิง ข้าเพียงไปพบบิดาเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่กลับมาเสียหน่อย เจ้าเป็นห่วงอะไรกัน” ลู่หลันกล่าวเสียงอ่อนโยน
“ท่านพ่อ…ก็เพราะไปพบท่านพ่อข้านั่นแหละ ข้าถึงได้เป็นห่วง…” ลู่หนิงอดห่อปากไม่ได้
ลู่หลันสับสนเล็กน้อย แต่ไม่ได้ถามมาก เพียงแค่ถามไถ่ว่าการบ้านของลู่หนิงในวันนี้เป็นอย่างไร
นางมาคฤหาสน์ลู่ได้หนึ่งเดือนกว่าๆ แล้ว ทุกๆ ครั้งที่เห็นลู่หนิงที่ก่อเรื่องทะเลาะวิวาทไปทั่วอย่างคึกคะนอง ก็มักจะนึกถึงเจียเย่เด็กน้อยผู้มีชะตาชีวิตอาภัพผู้นั้น
สมัยเด็กๆ เจียเย่ก็อ้วนและซนแบบนี้เช่นกัน เทียบนิสัยกันแล้ว ทั้งสองคนคล้ายกันอยู่หกเจ็ดส่วน
ทุกๆ ครั้งที่ลู่หลันเห็นลู่หนิง จะอดนึกถึงเด็กน้อยที่จากไปก่อนวัยอันควรผู้นั้นไม่ได้ โดยเฉพาะยามอยู่ตามลำพัง มักเกิดความรู้สึกเหมือนก่อนหน้านี้โดยไม่รู้สึกตัว
“การบ้งการบ้านไม่สำคัญหรอก” ลู่หนิงโบกมือ “เพียงแต่ว่าพี่หลันหลัน ต่อจากนี้ท่านอย่าไปพบท่าพ่อข้าแล้วได้ไหม…ต่อให้ต้องไปก็พยายามอย่าไปบ่อยจะดีกว่า…” เขาพลันผุดสีหน้าร้อนใจขณะกล่าวเสียงเบา
“ทำไมเล่า” ลู่หลันไม่เข้าใจเล็กน้อย
ลู่หนิงทำหน้าเจื่อน “ข้าไม่อยากให้ท่านเกิดเรื่องนี่…” เขาคล้ายนึกถึงอะไร อารมณ์จึงหม่นหมองลง
ลู่หลันงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วยื่นมือไปจับหูอวบของลู่หนิง
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไรหรอก” นางเป็นใคร มีสถานะอะไร?! ต่อให้วันนี้ตกต่ำถึงขั้นนี้ อริยะเจ้าธรรมดาๆ คนหนึ่งก็สะกดนางไม่ไหวหรอก!
ความแน่ใจที่นางแสดงออกมาในประโยคนี้พลันทำให้ลู่หนิงคลายใจเล็กน้อย
พวกนางสองคนคุยกันเบามากๆ รอบๆ เองก็มีลมแรง ต่อให้เป็นมู่เจวี๋ยชิ่งที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าหมี่ก็ได้ยินแค่นิดหน่อยเท่านั้น
“จริงสิ…วิชาหายใจที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้า เจ้ายังจำได้ไหม” ลู่หลันพลันถามเบาๆ
“อื้อ!” ลู่หนิงรีบพยักหน้า “ยังจำได้ หลังฝึกแล้วรู้สึกว่าร่างกายอุ่นๆ รู้สึกดีมากเลย”
ลู่หลันยิ้มๆ
“ตั้งใจฝึกนะหนิงหนิง อย่าให้ใครรู้เล่า ต่อให้บิดาเจ้าถาม ก็อย่าบอก ทราบหรือไม่ นี่เป็นความลับเล็กๆ ระหว่างพวกเรา เข้าใจไหม”
“ไม่ต้องห่วง ข้าลู่หนิงชายชาติอาชาไนย ในเมื่อพูดแล้วย่อมไม่คืนคำ!” ลู่หนิงตบอกที่มีแต่ไขมันของตัวเอง
ขณะมองลู่หนิงน้อยที่สัตย์ซื่อน่ารัก สีหน้าของลู่หลันก็ฉายแววตกใจแวบหนึ่ง นางยื่นมือไปลูบศีรษะของเด็กชายเบาๆ
ช่างเหมือนจริงๆ…
ดวงตานางพร่ามัวเล็กน้อย หากว่าเจียเย่ยังอยู่ บางที…
ลู่หนิงมองนางอย่างไม่เข้าใจเล็กน้อย พอเห็นลู่หลันไม่ตอบอะไรคล้ายกับกำลังเหม่อ ก็ซุกหัวเข้าไปในอ้อมอกนาง และถูไถกับทรวงอกตั้งตระหง่าน ใบหน้าจ้ำม่ำเต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน
“นุ่มกว่าท่านแม่เยอะเลย!” เขาถูไถไปพลางรำพึงไปพลาง
คิก
ลู่หลันอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะดีดนิ้วใส่หน้าผากเขาอย่างแรง
……………………………………….