ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 530 เวลา (2)
บทที่ 530 เวลา (2)
“เจ้าแห่งอาวุธหยินสุดขั้วหรือ” ลู่เซิ่งกระแทกฝ่ามือใส่ลู่เฟิงโฉวออกไป ก่อนจะพลิกมือจี้นิ้วใส่หมัดขวาของหู่จิ้นที่ต่อยมา
เปรี้ยงๆ! คลื่นสีขาวสองสายระเบิดออก ทั้งสองถูกกระแทกปลิวออกไปพร้อมกัน
“ข้าย่อมเคยได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของเจ้าแห่งอาวุธหยินสุดขั้วแห่งอินตูมาก่อน แต่ข้าในฐานะอริยะเจ้าสำนักพันอาทิตย์ ท่านเอาเจ้าแห่งอาวุธหยินสุดขั้วมาข่มข้า แล้วเอาเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกซึ่งเป็นเจ้าสำนักพันอาทิตย์ไปไว้ที่ใด” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“กฎเกณฑ์หลักของพวกท่านแบ่งเป็นควบคุมเลือด พละกำลังมหาศาล และไฟศักดิ์สิทธิ์ อาวุธเทพที่หลอมรวมด้วยก็เป็นแค่ระดับดาวหยก ไม่มีความหวังเป็นเทวปัญญาในอนาคต น่าเสียดายจริงๆ…” ลู่เซิ่งเปลี่ยนหัวข้อ ก่อนกล่าวต่อ “เส้นทางการฝึกฝนถูกอาวุธเทพจำกัดไว้ พวกท่านยินยอมพร้อมใจหรือ”
“เจ้าสำนักลู่ไฉนกล่าวเช่นนี้ คนที่หลอมรวมกับอาวุธเทพเทวปัญญาได้ล้วนเป็นอัจฉริยะสะท้านฟ้า มีโชคลาภวาสนา แถมเบื้องหลังยังล้ำลึกสุดขีดทั้งนั้น จริงอยู่ ด้วยคุณสมบัติของเจ้าสำนักลู่ ระดับของอาวุธเทพที่หลอมรวมด้วยในตอนแรกจะต้องมีขีดจำกัดแน่ แถมยังสะกดการเติบโตด้วย ดังนั้นยินยอมพร้อมใจหรือไม่เล่า” หู่จิ้นทิ้งตัวลงพื้น หลังจากกระเด็นออกไป แล้วตั้งหลักทรงตัวใหม่ “มิสู้เข้าร่วมกับอินตูดีกว่า แม้สำนักพันอาทิตย์จะแข็งแกร่ง แต่ก็อ่อนแอกว่าราชวงศ์แห่งอินตูไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่า อินตูมีอริยะเจ้าเทวปัญญาสองคนคอยคุ้มครอง แถมยังมีอาวุธเทพเทวปัญญาอีกหลายชิ้น ด้วยอายุของเจ้าสำนักที่ยังหนุ่มแน่นมาก สามารถกำจัดอาวุธเทพ และหันมาฝึกฝนอาวุธเทพอีกชิ้นหนึ่งได้ทันอยู่”
“อินตูมีอาวุธเทพระดับเทวปัญญาหรือ เหมือนจะมีเยอะด้วยใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย คล้ายนึกอะไรได้
“นี่ย่อมแน่นอน เจ้าแห่งอาวุธหยินสุดขั้วท่องทั่วใต้หล้า มีพลังเหนือธรรมดา ผลพลอยได้ย่อมดีกว่าสามสำนักมาก ยิ่งอย่าว่าแต่สามสำนักมีเจ้าแห่งอาวุธแค่สองคน อาวุธเทพระดับเทวปัญญาที่พวกเขารวบรวมได้ยังต้องแบ่งให้แก่สามสำนัก ย่อมสู้ราชวงศ์ไม่ได้” หู่จิ้นเห็นน้ำเสียงลู่เซิ่งผ่อนคลายลง พลันฮึกเหิมและรีบเกลี้ยกล่อม
สามคนสู้มาถึงตอนนี้ ความจริงต่างตื่นตระหนก ยิ่งสู้ยิ่งหมดกำลังใจ
ลู่เซิ่งขวางพวกเขาด้วยตัวคนเดียว สู้มานานยังผ่อนคลายสุดขีด เสมือนเคลื่อนคมมีดยังเหลือที่ว่างได้ แสดงให้เห็นว่ายังเหลือแรงเก็บเอาไว้
พลังระดับนี้หากบอกว่าเป็นเทวปัญญา คงไม่มีใครเชื่อแล้ว
ถ้าหากเกลี้ยกล่อมให้ลู่เซิ่งเข้าร่วมกับราชวงศ์ได้ล่ะก็ จะต้องมีส่วนช่วยเหลืออย่างใหญ่หลวงต่ออินตูที่ปั่นป่วนในตอนนี้ และช่วยเหลือศึกรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นของท่านผู้นั้นได้แน่
การเคลื่อนไหวของทั้งสามค่อยๆ ผ่อนจังหวะลงอยู่ชั่วขณะ
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างทันที แต่เขาไม่ใส่ใจ กลับตวัดมุมปากเป็นรอยยิ้ม
เขาเข้าใจวิธีการกับความสามารถของทั้งสามพอประมาณแล้ว ถึงเวลาจบเรื่องตลกเรื่องนี้ได้สักที
“อินตู ข้าจะไปแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เอาล่ะ การละเล่นจบแล้ว”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร” เต๋อหลินเห็นท่าไม่ดีโดยสัญชาตญาณ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว เสียงเย็นชาลงอย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น หู่จิ้นก็เก็บวงแหวนหยกให้กลับมาลอยอยู่ข้างกายเช่นกัน
ลู่เฟิงโฉ่วกระแทกตัวดาบ เปลวไฟสีทองคำขาวกลุ่มหนึ่งลอยออกมาเริงระบำอยู่รอบๆ ตัวเขา
“ความหมายก็คือ…พวกเจ้าหมดประโยชน์แล้ว” ลู่เซิ่งโยนเศษดาบยาวในมือทิ้ง ก่อนจะหมุนตัวจากไป
ทั้งสามสบตากัน ไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทว่าเต๋อหลินเข้าใจความหมายของลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว
แกร๊ง ดาบในมือเขาตกลงบนพื้นโดยไม่อาจควบคุม ความเหนื่อยล้าและความง่วงที่รุนแรงถึงขีดสุดถาโถมสู่จิตใจ มีความเจ็บปวดปานถูกฉีกทึ้งอันน่าสะพรึงกลัวส่งมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ แต่ก็ต้านทานความง่วงที่รุนแรงจนไม่อาจต้านทานในตอนนี้ไม่ได้
ก่อนจะหลับ เขาเห็นหู่จิ้นกับลู่เฟิงโฉวสองตาเสียประกาย และล้มพับลงกับพื้นเหมือนกับเขา
สายตาเปลี่ยนเป็นสีเขียวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
อากาศเหมือนกับปรากฏสีเขียวอ่อน ลมสีเขียวอ่อนกลุ่มหนึ่งพัดผ่านข้างตัวไป
“สีเขียวใช่หรือไม่” อยู่ๆ เต๋อหลินพลันเข้าใจอะไรบางอย่าง
ลมจะเป็นสีเขียวได้อย่างไร…
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าเหตุใดตนจึงเกิดความหวาดกลัวจนคิดหลบหนีตั้งแต่แรก
ที่แท้ผลแพ้ชนะก็ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ปฐมพลังที่ซ่อนอยู่ในสายลมนี้ยากจะสัมผัสได้
“เห็น…ยากจริงๆ…” บางทีการตายด้วยฝีมือของอริยะเจ้าเทวปัญญาที่ครอบครองปฐมพลัง อาจไม่นับว่าเป็นเรื่องน่าขายหน้านักก็ได้
ลู่เซิ่งเดินออกจากป่า ผงสีเขียวกลุ่มใหญ่รวมตัวกันเป็นไฟหยินก้อนยักษ์ด้านหลัง ประคองอาวุธเทพดาวหยกสามชิ้นพร้อมกับลอยออกมาจากด้านหลัง
ไฟหยินวางอาวุธเทพลง ส่วนตัวเองสลายกลายเป็นผง ก่อนจะหายไปกลางหลังลู่เซิ่ง
‘นี่คือปฐมพลังกฎเกณฑ์หลักของตัวเรา’ ลู่เซิ่งกำวงแหวนหยกพร้อมกับพิจารณาดู จากนั้นก็ส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวเบาๆ
อาวุธเทพที่แข็งสุดเปรียบปรานเหมือนกับขนมเปี๊ยะกรุบกรอบใต้ฟันแหลมของเขา เพียงเคี้ยวเบาๆ ก็แตกออกแล้ว
อาวุธเทพสามชิ้นจะปล่อยไว้ไม่ได้ ในฐานะอาวุธเทพคู่ชชีวิตของอริยะเจ้าในราชวงศ์ จะต้องมีชื่อเสียงและโด่งดังไม่เบาอย่างแน่นอน
สำนักมารกำเนิดในตอนนี้ยังปะทะกับราชวงศ์ไม่ได้
สำหรับราชวงศ์ การเสียอริยะเจ้าไปสามคนเป็นความเสียหายร้ายแรงแล้ว
‘น่าหัวเราะ อีกสิบสองปีจะเกิดมหาภัยพิบัติล้างโลกแล้ว แต่กลับมีคนรู้จักแค่แย่งชิงอำนาจผลประโยชน์’ ลู่เซิ่งแสดงสีหน้ายิ้มเยาะ
ตอนนี้เจ้าแห่งอาวุธไม่ออกมา เทวปัญญาจึงแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า ยังต้องกลัวใครมาหาเรื่องเขาอีกหรือ
อริยะเจ้าสามคนตายลงที่นี่พร้อมกัน ถือเป็นการเตือนอย่างรุนแรงต่อขุมกำลังบางส่วนว่า หากเอื้อมมือมาหาเขา ในเมื่อไม่กลัวตาย เช่นนั้นก็จงเอาชีวิตมาทิ้งเสีย
กลียุคในตอนนี้ หากเอาแต่หลีกทางและทำตัวสงบเสงี่ยม คนอื่นๆ จะไม่ให้ความสำคัญ มีแต่ต้องเผยเขี้ยวเล็บ จึงจะทำให้คนหวาดกลัวและยำเกรง
…
พวกลู่หลันนายบ่าววิ่งด้วยความเร็วสูง
ต้นไม้สูงใหญ่และพุ่มไม้ต่ำเตี้ยถอยผ่านด้านข้างพวกนางตลอดเวลา
อยู่ๆ ลู่หลันก็หยุดลง ร่างเปลี่ยนจากรวดเร็วกลายเป็นเชื่องช้า ก่อนจะหยุดอยู่กับที่
“เป็นอะไรไปหรือคุณหนู” ติงอู่เซิ่งรีบถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“ครั้งนี้นับว่าข้ารับน้ำใจแล้ว…” ลู่หลันแสดงสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ แต่ว่าเวลานี้ในที่สุดความกระสับกระส่ายที่ซ่อนในดวงตามาโดยตลอดก็หายไปแล้ว
นางทราบเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นด้านหลังตัวเองแล้ว
“คุณหนู ท่านกำลังจะบอกว่า…?” ติงอู่เซิงไม่ใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจสาเหตุที่คุณหนูหยุดนิ่งทันที ใบหน้าจึงตื่นเต้นเล็กน้อย
“ไปเถอะ เส้นทางต่อจากนี้ยังอีกไกล สำนักมารกำเนิดแห่งเขตจันทราสารท…ข้าประเมินค่าต่ำไปแล้ว” ลู่หลันหันหน้ากลับมาพร้อมกลับมุ่งหน้าต่อ แต่ฝีเท้ากลับเร็วกว่าก่อนหน้าเหลือประมาณ
ติงอู่เซิงเห็นดังนั้น ก็ดีใจอย่างล้นเหลือ แล้วรีบติดตามไป
…
อริยะเจ้าสามคนของราชวงศ์หายตัวไปอย่างลึกลับในอาณาเขตของสำนักพันอาทิตย์ ต้าอินสั่นสะเทือน
สถานที่ที่อริยะเจ้าหายไปมีร่องรอยการต่อสู้ในอาณาเขตกว้างใหญ่เหลืออยู่ น่าสงสัยว่าจะมีตัวตนระดับอริยะเจ้าสู้กัน
ร่องรอยทั้งหมดบ่งบอกว่าอริยะเจ้าผู้สักการะสามคนนี้ประสบเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดีไปแล้ว
แต่ราชวงศ์ยังไม่ยินยอม ตระกูลใหญ่เบื้องหลังพวกเขาก็ไม่ยินยอมเช่นกัน พากันส่งคนมาตรวจสอบอย่างละเอียด แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ แม้แต่ศพก็ยังหาไม่เจอ
เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกส่งจดหมายมาถามไถ่ลู่เซิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่ถูกลู่เซิ่งปฏิเสธ อย่างไรตอนนี้เขาก็อยู่ในช่วงรักษาอาการบาดเจ็บ ด้วยพลังที่เพิ่งเลื่อนระดับขึ้นของเขา ไม่สามารถต่อสู้หนึ่งต่อสามได้แน่
ดังนั้นหลังจากพบร่องรอยที่น่าจะเป็นปราณมาร ราชวงศ์ก็คิดว่าเรื่องนี้เกิดจากการลอบโจมตีของจ้าวแห่งมารแห่งเผ่ามาร
ลู่เซิ่งถูกผลักไปอยู่ในตำแหน่งล่อแหลมอันตราย อริยะเจ้าระดับเทวปัญญาของราชวงศ์ลอบกดดันด้วยตัวเองเพื่อให้สำนักมารกำเนิดมาสืบเสาะเบาะแส แต่สำนักมารกำเนิดไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกส่งอริยะเจ้าทงเซิงในระดับเทวปัญญามาคุ้มครองรอบทิศเพื่อสะกดขุมกำลังทั้งหมด
…
“เชิญ” ลู่เซิ่งชี้ไปที่จอกชาหยกด้านหน้า ด้านในมีชาสีเขียวมรกตพลิกม้วนน้อยๆ ชานี้มีความพิเศษเป็นอย่างยิ่ง หากวางไว้กับที่โดยไม่แตะต้องมัน มันจะกลายเป็นน้ำวนแล้วหมุนตามเข็มนาฬิกาโดยอัตโนมัติ
“สหายร่วมเส้นทางลู่เซิ่ง ไม่เจอกันนาน บุคลิกเหนือกว่าเมื่อก่อนเสียอีก” นักพรตทงเซิงประคองชาขึ้นจิบ เพลิดเพลินกับชาใสและใบชาทั่วปาก
“สหายร่วมเส้นทางทงเซิงดูเหมือนจะเจอทิศทางในภายหลังแล้วหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้วพลางถาม
ตอนนี้ทั้งสองนั่งอยู่ในวังมารของสำนักมารกำเนิด ทั่วทั้งสำนักมารกำเนิดต่างก็ให้การต้อนรับอริยะเจ้าทงเซิงซึ่งเคยช่วยเหลือลู่เซิ่งในตอนนั้นเป็นอย่างดี
ลู่เซิ่งใช้ชาเก้าวิเศษระดับสุดยอดที่เก็บรักษาไว้ออกมาต้อนรับทงเซิงโดยเฉพาะ
“ยาก…” ทงเซิงส่ายหน้าเล็กน้อย “เมื่อมาถึงระดับของพวกเรา สิ่งที่จำเป็นก็คือความสามารถในการควบคุมระดับความสอดประสานของการยกระดับและปฐมพลัง บนโลกมีปฐมพลังอยู่นับไม่ถ้วน แต่ละปฐมพลังมีเงื่อนไขแตกต่างกัน..แค่จะหาเงื่อนไขเหล่านี้ให้เจอก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยแล้ว” เขาเงยหน้ามองลู่เซิ่ง พลันหัวเราะ “ดูท่าทางสหายร่วมเส้นทางลู่เซิ่งจะเจอเส้นทางที่ตัวเองต้องการเดินแล้วกระมัง”
“อาจจะ พูดตอนนี้ยังเร็วไป” ลู่เซิ่งยิ้มๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง
หลังจากทั้งสองคุยกันถึงสถานการณ์ในเวลาช่วงนี้สักพัก ลู่เซิ่งก็ถามคำถามทั่วไปสองสามข้อ หลังได้รับคำตอบที่สมบูรณ์จากทงเซิง เขาก็ส่งอีกฝ่ายไปพักผ่อนยังที่พักที่ได้จัดไว้ให้แล้ว
ถึงอย่างไรครั้งนี้ทงเซิงก็กางธงใหญ่มาเพื่อสนับสนุนเขา ไม่ว่าจะเป็นเพราะส่วนรวมหรือส่วนตัว เขาล้วนต้อนรับสุดความสามารถ
หลังจากส่งทงเซิงไปแล้ว ลู่เซิ่งก็ต้อนรับแขกคนที่สองอย่างรวดเร็ว
เขาที่ยืนอยู่ในห้องหนังสือหยิบเทียบขอเข้าพบสีทองคำขาวขึ้นมาจากบนโต๊ะ
ด้านบนเขียนตัวอักษรแถวหนึ่งไว้ในแนวตั้งว่า อริยะปฐพีสามกำเนิดเก้าหอคอย ราชาภูติลี้ลับแห่งโลกาผู้สูงส่ง บุตรอริยะแห่งราชาอริยะองค์ที่สาม–รัชทายาทหลี่ซุ่นซีกราบเรียน
แค่ความลื่นไหลจากอักขระที่สลักบนเทียบขอเข้าพบฉบับนี้ก็ทำให้ลู่เซิ่งตกใจแล้ว เทียบขอเข้าพบนี้เทียบได้กับอาวุธเทพระดับใบไม้ทองคำครึ่งชิ้น ความสามารถของสำนักไตรอริยะลี้ลับเหี้ยมหาญอย่างแท้จริง
จะว่าไปเขากับสำนักไตรอริยะเคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน ครั้งนี้หลี่ซุ่นซีเป็นตัวแทนสำนักไตรอริยะมา ไม่แน่ว่ากำลังใช้ชื่อของเขาสนับสนุนตนเองอย่างเปิดเผยอยู่
ลู่เซิ่งจัดเสื้อคลุมเล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าเดินออกจากห้องหนังสือ แล้วเดินไปยังตำหนักกลางของวังมาร
ในฐานะตัวแทนของสำนักไตรอริยะ การมาในครั้งนี้ของหลี่ซุ่นซีต้องละทิ้งการติดต่อกันอย่างเป็นการส่วนตัว และต้อนรับการเดินทางของสำนักไตรอริยะอย่างเป็นทางการก่อน
นี่เป็นพิธี
ตัดทะลุระเบียงตำหนักยาว ประตูใหญ่ของตำหนักกลางกำลังอ้าเปิดอยู่ หลี่ซุ่นซีใส่ชุดหรูสีขาว สวมกวนทองหยกขาว แขวนไข่มุกจตุสมบัติไว้ตรงทรวงอก ด้านข้างมีหญิงรับใช้ผู้เลอโฉมติดตาม ซ้ายขวามีองครักษ์ นักวิชาการ ขันที รวมถึงชายชราสองคนที่ดูท่าทางมีสภาวะไม่ธรรมดาประกบอยู่
พอลู่เซิ่งเข้าตำหนักใหญ่ ก็ได้กลิ่นกำยานจางๆ ทันที แสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่หลี่ซุ่นซีพกพามาในครั้งนี้
เขากวาดตามองชายชราสองคนนั้น ล้วนเป็นยอดฝีมือในจุดสูงสุดของระดับผู้ถืออาวุธ สามารถเป็นผู้ปกครองในดินแดนเล็กๆ สวนหนึ่งได้ แต่กลับติดตามอยู่ข้างกายหลี่ซุ่นซีเท่านั้น
ครั้นเห็นลู่เซิ่งเข้ามา ใบหน้าของหลี่ซุ่นซีที่ตอนแรกยิ้มอย่างจนปัญญาก็แสดงความยินดี รีบผุดลุกขึ้นทันที
“พี่ใหญ่ลู่! ตรงนี้ๆ!” เขารีบโบกมือไปทางลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งเดินเข้าไป พอเข้าใกล้ กลิ่นหอมจากตัวเด็กน้อยผู้นี้ก็เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม หนำซ้ำบนใบหน้าและบนลำคอของเขาคล้ายปะแป้ง มีประสิทธิผลคล้ายกับการแต่งหน้า ทำให้เขาดูเหมือนหนุ่มน้อยยิ่งกว่าเดิม
“ไม่เจอกันมานาน ช่วงนี้พี่ใหญ่ลู่เป็นอย่างไรบ้าง” หลี่ซุ่นซีทำท่าระมัดระวังอย่างผิดปกติ ทั้งๆ ที่อยากทักทายอย่างผ่อนคลาย แต่ว่าคนกลุ่มใหญ่รอบๆ ตัวทำให้เขาเหมือนนั่งอยู่บนพรมที่ทำจากเข็ม จำเป็นต้องรักษาท่วงท่าสง่างามของพระบุตรไว้
“ทุกอย่างดีทีเดียว” ลู่เซิ่งพยักหน้า สามารถออกมาสนับสนุนเขาในเวลานี้ได้ อาศัยแค่เรื่องนี้ การช่วยเหลือหลี่ซุ่นซีในตลอดหลายปีมานี้ของเขาก็ไม่นับว่าสูญเปล่าแล้ว
หลี่ซุ่นซีทำหน้าขื่นขม “ขอพูดความจริงไม่ปิดบัง พี่ใหญ่ลู่ ครั้งนี้ที่ผู้น้องมา…” มีเสียงกระแอมดังมาจากรอบๆ ทันที
เขาพลันหยุดพูด กล่าวอย่างจนปัญญาว่า
“ครั้งนี้ที่ข้าบุตรศักดิ์สิทธิ์มา…เป็นเพราะต้องการส่งเทียบเชิญให้กับพี่ใหญ่ลู่โดยเฉพาะ”
เขาหยิบเทียบเชิญที่งดงามฉบับหนึ่งมาจากในมือของสตรีคนหนึ่งด้านข้างเขา
เป็นวัสดุอย่างเดียวกันกับเทียบขอเข้าพบเมื่อก่อนหน้า มีกลิ่นอายค่อนข้างไม่ธรรมดาเหมือนกัน
ลู่เซิ่งพลิกอ่านดูคร่าวๆ แต่จู่ๆ สีหน้าก็ประหลาดพิกลขึ้นมา
“เจ้าจะหมั้นแล้วหรือ แถมยังมีลูกสาวแล้วด้วย”
……………………………………….