ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 536 รุ่งเรืองเสื่อมโทรม ผู้ใดกำหนด (4)
บทที่ 536 รุ่งเรืองเสื่อมโทรม ผู้ใดกำหนด (4)
วิญญาณร้ายในซากศพของสัตว์ประหลาดยักษ์เหมือนถูกหยุดนิ่ง ยังร่วงหล่นอยู่กลางอากาศ และพากันลุกไหม้ขึ้นมา
ไฟหยินสีเขียวอ่อนเผาไหม้ทุกอย่างเป็นทะเลเพลิงในพริบตา ไฟหยินหลายสายลอยวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวลู่เซิ่งเหมือนกับสิ่งมีชีวิต
จู่ๆ เขาที่ยืนอยู่กลางทะเลเพลิงก็เหมือนสัมผัสอะไรได้ จึงหันไปมองจุดที่ซากศพของสัตว์ประหลาดยักษ์ร่วงหล่น
มีม่านแสงผืนหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางในความบิดเบี้ยวที่พร่ามัวตรงนั้น
ในม่านแสงคือเปลวไฟสีทองเจิดจรัสไร้สิ้นสุด
เงาคนสูงใหญ่สายหนึ่งลอยอยู่กลางเปลวไฟ ดวงตาสีทองสี่ข้างค่อยๆ เปิดขึ้นพร้อมกับมองมาทางนี้
คนผู้นี้มีผมสีทองสว่างไสว ถูกเปลวไฟที่ทะลักไหลขึ้นด้านบนยกขึ้นสู่ฟากฟ้า เค้าโครงกล้ามเนื้อแข็งแกร่งเต่งตึงเหมือนกับรูปสลัก
ดวงตาของลู่เซิ่งคมกริบขึ้นในพริบตา งูมีปีกสีแดงเข้มตรงหว่างคิ้วเจิดจ้ายิ่งขึ้นขณะจ้องมองอีกฝ่าย
“นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น…” ริมฝีปากของเงาคนขยับเล็กน้อย มุมปากตวัดเป็นรอยยิ้ม
“มาเถอะ” ลู่เซิ่งยกมือขึ้น ไฟหยินนับไม่ถ้วนเดือดพล่านและร้องคำรามอยู่รอบๆ ตัวเขา
…
“ราชัน!”
“ไร้ความเกรงกลัว! กระทำผิดอย่างกำเริบเสิบสาน! ไร้คู่ต่อกร! มีแต่ตนเองที่ควรค่าแก่การนับถือเพียงผู้เดียว!”
“ปกครองโลกหล้า ชีวิตมลายสิ้น ทุกที่มีแต่การทำลายล้าง ความสิ้นหวัง และความเจ็บปวด นี่คือราชัน”
“ราชัน จำต้องฆ่า!”
“จำต้องแย่งชิง!”
“จำต้องโกรธา!”
“จำต้องบ้าคลั่ง!”
“แล้วในใต้หล้า ณ เวลานี้ มีใครมีคุณสมบัติถูกเรียกว่าราชันได้บ้าง”
อินตู วังรอยจันทรา
จิ่งเทียนเฉิงที่มีอายุแค่เก้าขวบฟุบอยู่บนเข่าของชายชราผมขาวที่สูงเกือบสิบกว่าหมี่ ฟังชายชราสั่งสอนเรื่องเหตุและผล
ชายชรานั่งบนบัลลังก์สีขาวบริสุทธิ์ที่สลักลวดลายปักษาไว้นับไม่ถ้วน สีหน้าเคร่งขรึม เครายาวห้อยตกลงไปตามคาง พาดอยู่ข้างแก้มของจิ่งเทียนเฉิง
“ใต้หล้า ณ เวลานี้ บุตรอริยะแห่งสำนักไตรอริยะมีความสามารถพิเศษ สามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและสั่งการสารกาย ไม่ว่าเผชิญเรื่องใดก็ล้วนได้เปรียบ” ชายชรากล่าวอย่างช้าๆ “ปู่ทวดใช้เขากับหยกปีศาจนั่น ถือว่ามีการเตรียมการส่วนหนึ่งต่ออนาคตแล้ว”
“รีบเล่าๆ ท่านปู่ทวด”
ใบหน้าดวงเล็กที่เหมือนสลักเสลาจากหยกของจิ่งเทียนเฉิงฉายแววอยากรู้อยากเห็นทันที
ชายชราเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปลูบศีรษะของเด็กชายเบาๆ
“คลื่นยักษ์ชะล้างทราย สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แต่ในยุคสมัยปัจจุบันไม่มีวีรบุรุษ ยอดคนรวมตัวกันก็เพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และอำนาจเท่านั้น”
“สำหรับข้า ผู้ที่ถูกเรียกว่าราชันได้ ในใต้หล้ามีสี่คนเท่านั้น”
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาบอก แต่ว่าภายหลังพระองค์จะได้ยินชื่อเสียงของพวกเขาอย่างรวดเร็ว…” ชายชราลูบผมเด็กชายอย่างแผ่วเบา
…
ต้าอิน ปฏิทินจันทรประกาย ปีที่แปดพันหนึ่งร้อยยี่สิบสอง
อินตูปั่นป่วน ราชวงศ์แตกเป็นเสี่ยงๆ เกิดความวุ่นวายภายใน
วิญญาณร้ายบุกจู่โจม ชนชาวโลกเผชิญอันตราย
แต่ละแคว้นลุกฮือ สำนัก ตระกูลขุนนาง และตระกูลใหญ่ขนาดต่างๆ พากันรวมกลุ่มผนึกกำลัง กลายเป็นกลุ่มก้อนขนาดต่างๆ ในการต้านทานวิญญาณร้าย
สามสำนักจับมือเป็นพันธมิตรกัน กลายเป็นองค์กรอนธการสาดแสง องค์กรต่อต้านวิญญาณร้ายที่ใหญ่ที่สุด
แคว้นนวกระจ่าง สำนักมารกำเนิด
ลู่เซิ่งนั่งสูงอยู่บนตำแหน่งประธาน ก้มมองตัวแทนของสามสำนักกับผู้ปกครองเขตจากนครเขตเบื้องล่าง นอกจากนี้ตระกูลใหญ่และตระกูลขุนนางที่อยู่ใกล้ๆ ก็ได้ส่งตัวแทนมา บ้างก็เป็นประมุขตระกูล บ้างก็เป็นบรรพบุรุษผู้คุ้มครองตระกูล
ทุกคนรวมตัวกันในโถง นั่งแยกเป็นสองแถว
“เจ้าสำนักลู่! ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะท่านมาทัน เกรงว่าเขตจันทราสารทของเราจะต้องถูกวิญญาณร้ายทำลายจนย่อยยับแน่นอน! ข้าเฉินซวินขอเป็นตัวแทนสามสำนัก ขอเป็นตัวแทนทุกๆ คนในเขต กล่าวขอบคุณท่านจากใจจริง!”
ผู้ปกครองเขตเฉินซวินเดินออกมายืนตรงต่อหน้าลู่เซิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็โค้งตัวอย่างจริงจัง
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เจ้าสำนักอีกสามสำนัก กับตัวแทนของตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ ต่างก็ลุกขึ้นจนแน่นขนัดไปหมดเช่นกัน
แม้จะมีคนเยอะ แต่ตำหนักใหญ่ทั้งตำหนักกลับเงียบสงัดจริงจัง ไม่มีใครพูดแทรก มีแต่เสียงทรงพลังของผู้ปกครองเขตชราเท่านั้นที่ดังสะท้อนไปมาในโถงอย่างต่อเนื่อง
“ใต้เท้าเฉินไม่ต้องมากมารยาทหรอก ข้าคุ้มครองเขตจันทราสารท เพราะที่นี่มีครอบครัวของข้าอยู่เช่นกัน การเอาชนะวิญญาณร้ายเป็นเรื่องที่ข้าควรทำอยู่แล้ว” ลู่เซิ่งยกมือขึ้น พลังอันยิ่งใหญ่สายหนึ่งประคองผู้ปกครองเขตขึ้นทันที
นี่เป็นแค่การใช้สารกายอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในสายตาคนธรรมดาที่มองไม่เห็นสภาพของสารกาย นี่มันน่าอัศจรรย์เหมือนกับเวทมนตร์
ต่อจากผู้ปกครองเขตเฉิน ยังมีตระกูลขุนนางกับตระกูลใหญ่อีกหลายตระกูลเข้ามาแสดงความภักดี ด้วยหวังว่าจะฝ่าฟันขวากหนาม และร่วมมือเป็นพันธมิตรกับสำนักมารกำเนิดในการโจมตีวิญญาณร้ายได้
ลู่เซิ่งต่างตอบรับด้วยรอยยิ้ม ขุมกำลังที่เหลืออยู่ของตระกูลขุนนาง ตระกูลใหญ่ และค่ายพรรคทั้งหมดสิบเอ็ดแห่งต่างหลอมรวมเข้ากับทัพพันธมิตรของสำนักมารกำเนิดเพื่อต้านทานวิญญาณร้าย
แต่ก็ยังมีพวกที่ไม่ยินยอมมาเช่นกัน คนจำนวนน้อยถึงขีดสุดเหล่านั้นไม่ได้มาในการรวมตัวครั้งนี้ด้วยซ้ำ หากเลือกหนีไปยังนครแคว้นที่ใหญ่กว่า เทียบกับเขตจันทราสารทที่มีลู่เซิ่งคุ้มครองแล้ว พวกเขาเชื่อมั่นในตัวยอดฝีมือสามสำนักที่มีมากมายทางนครแคว้นมากกว่า
“ภารกิจเร่งด่วนในวันนี้คือการกำจัดต้นตอการปะทุของวิญญาณร้าย พวกมันจุติลงมายังโลกมนุษย์ได้อย่างไรกันแน่ ทั้งๆ ที่จุดรั่วไหลมียอดฝีมือคอยคุ้มครองอยู่แท้ๆ” เฉินจิ้งจือเจ้าสำนักพันอาทิตย์ที่เป็นอดีตยอดฝีมืออันดับหนึ่งลุกขึ้นมากล่าวเสียงกังวาน
“ถูกต้อง ครั้งนี้เจ้าสำนักเฉินเข้าไปในเขตถ่ายทอดความลับทันที แม้ว่าจอมอาวุโสส่วนใหญ่จะออกไปต้านทานวิญญาณร้าย แต่เขาก็ยังพบเบาะแสเกี่ยวกับวิญญาณร้ายส่วนหนึ่ง” เจ้าสำนักซ่อนธาตุที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเบาๆ
ทันใดนั้นสายตาของคนทั้งหมดในตำหนักใหญ่ก็พากันรวมอยู่บนร่างของเฉินจิ้งจือ
ลู่เซิ่งหยีตามองไปยังเจ้าสำนักพันอาทิตย์ผู้มากประสบการณ์เช่นกัน
“เจ้าสำนักเฉิน?”
เฉินจิ้งจือมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่ คล้ายกับมีความเกี่ยวโยงกับระดับสูงในหน่วยอาทิตย์โลหิต จึงแตกต่างจากสายนอกอย่างพวกลู่เซิ่ง
เขาเองก็ไม่ปฏิเสธ หากประสานมือไปทางลู่เซิ่ง
“เช่นนั้นผู้แซ่เฉินขอบอกเล่าง่ายๆ” เขากระแอม รอจนทุกคนเตรียมตัวแล้ว จึงเริ่มบอกเล่าถึงข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณร้าย
“ตามข้อมูลของหน่วยอาทิตย์โลหิต การปะทุของวิญญาณร้ายในครั้งนี้เกิดขึ้นทั่วอาณาจักร แคว้นส่วนใหญ่ในต้าอินเกิดการปะทุแทบจะพร้อมกัน คล้ายกับเบื้องหลังได้วางแผนมาไม่ทราบนานขนาดไหนแล้ว ไม่เหมือนกับการรวมตัวบุกโจมตีอย่างกะทันหัน มิหนำซ้ำมีจุดสำคัญหลายจุดที่ตอนนี้กำลังเผชิญการกลุ้มรุมจากวิญญาณร้าย เต็มไปด้วยอันตราย อาจถูกตีแตกได้ตลอดเวลา สถานการณ์คับขันเป็นอย่างยิ่ง”
เฉินจิ้งจือเว้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ “หากดูจากข้อมูลของหน่วยอาทิตย์โลหิต วิญญาณร้ายมีทั้งหมดสามระดับใหญ่”
“สามระดับใหญ่หรือ” ลู่เซิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน ตอนที่เขาเฝ้าประตูมายา ความจริงสิ่งที่ได้เจอเป็นวิญญาณร้ายธรรมดากับมือสีดำที่แข็งแกร่งจนวิปริตข้างนั้นเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นอีก
“นี่เป็นข้อมูลล่าสุด เป็นข้อมูลที่ได้จากการเสี่ยงตายตรวจสอบของยอดฝีมือประจำสามสำนัก เดิมทีไม่ควรประกาศโต้งๆ เช่นนี้ แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว เบื้องบนมีคำสั่งลงมาว่า ให้คนรู้ข้อมูลเท่าที่จะทำได้ แบบนี้จะสามารถรับมือได้อย่างเหมาะสมเมื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่สู้ไม่ได้” เฉินจิ้งจือกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“สามสำนักมีคุณธรรมสูงส่ง”
“สมกับเป็นสามสำนักใหญ่ที่ยึดถือคุณธรรมของใต้หล้า”
ตระกูลขุนนางขนาดเล็กกับตระกูลใหญ่ๆ พากันส่งเสียงชื่นชม
เฉินจิ้งจือประสานมือไปรอบๆ แล้วเล่าต่อ
“ตามการจัดแบ่งของหน่วยอาทิตย์โลหิต วิญญาณร้ายแบ่งออกเป็นทั้งหมดสามระดับ จากอ่อนแอถึงแข็งแกร่ง จากล่างถึงบน อันดับแรกเป็นวิญญาณร้ายธรรมดา”
“วิญญาณร้ายธรรมดา ตัวที่อ่อนแอที่สุดเป็นสัตว์ประหลาดกึ่งโปร่งแสงที่มีแค่หัวไม่มีร่างกายเหมือนกับกระแสอากาศ มีจำนวนมากที่สุด”
ทุกคนกระจ่างแจ้ง ต่างเข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไร
“ระดับที่สอง คือวิญญาณร้ายมีชื่อ” เฉินจิ้งจือกล่าวอย่างเคร่งขรึม “วิญญาณร้ายมีชื่อสามารถสั่งวิญญาณร้ายธรรมดาได้ มิหนำซ้ำยังสามารถกลืนกินวิญญาณร้ายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเองเป็นการชั่วคราวได้ พวกมันมีพลังแข็งแกร่งถึงขีดสุด แถมยังมีช่วงที่กว้างมาก มีตั้งแต่ระดับผู้ถืออาวุธถึงระดับอริยะเจ้า เป็นกำลังหลักสำหรับบุกโจมตีโลกใบอื่นๆ ในหมู่วิญญาณร้าย มีลักษณะแตกต่างกันไป แต่แทบทั้งหมดเป็นสัตว์ประหลาดไม่ใช่มนุษย์”
“คิดว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่คงจะนึกถึงสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ที่โดนเจ้าสำนักลู่ฆ่าตายไปก่อนหน้านี้ นั่นก็คือวิญญาณร้ายมีชื่อ” เฉินจิ้งจือเอ่ยเสียงขรึม
“ในหมู่วิญญาณร้ายมีชื่อ มีการแบ่งระดับความแข็งแกร่งตามชื่อ ข้อนี้พวกเรายังไม่แน่ใจ แต่วิญญาณร้ายชนิดนี้แยกแยะได้ง่าย ร่างกายปกติของพวกมันล้วนมีขนาดใหญ่ ถ้าไม่มีลักษณะพิลึกกึกกือ ก็ไม่ต่างอะไรจากวิญญาณร้ายธรรมดา”
พูดถึงตรงนี้ ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็จดจำสัตว์ประหลาดขนทองขนาดยักษ์ที่แทบจะทำลายเขตทั้งเขตด้วยพลังของตัวเองได้ทันที
“มันเรียกตัวเองว่าอันตูลา แถมยังตะโกนฝ่าบาทๆ อะไรสักอย่าง หรือว่าเบื้องหลังพวกมันจะยังมีราชาวิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอยู่อีก”
ครั้นลิ่วซานจื่อที่ฟังเงียบๆ มาโดยตลอดได้ยินถึงตรงนี้ ก็รู้สึกขนลุกขนพองเล็กน้อย
อาศัยแค่วิญญาณร้ายมีชื่อตัวเดียว ก็เกือบทำลายล้างพวกเขาทั้งหมดได้แล้ว ถ้าไม่ใช่ลู่เซิ่งมาทันเวลา เกรงว่าตอนนี้เขตจันทราสารทกับวังมารของสำนักมารกำเนิดคงจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว
ตอนนี้เฉินจิ้งจือถึงกับบอกว่า อันตูลาเป็นระดับกลางในหมู่วิญญาณร้ายเท่านั้น
นี่สร้างความขนลุกขนพองให้ผู้คนจริงๆ
“ไม่แปลกเท่าไหร่ สามตระกูลกับสามสำนักมียอดฝีมือแยกตัวอย่างโดดเดี่ยวเพื่อสะกดจุดรั่วไหลของวิญญาณร้าย สัตว์ประหลาดชนิดนี้กินสารกายกับแก่นชีวิต แม้แต่แผ่นดินก็ไม่ยอมละเว้น กลืนกินกลิ่นอายชีวิตทั้งหมด จึงเป็นศัตรูโดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตแทบทั้งหมด” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างช้าๆ “อาจารย์ไม่ต้องกังวล ให้เจ้าสำนักเฉินพูดต่อก่อน”
เฉินจิ้งจือพยักหน้า ก่อนจะประสานมือคำนับลู่เซิ่ง
“สิ่งที่อริยะเจ้าลู่กล่าวเป็นความจริง ระดับชั้นที่สามของวิญญาณร้ายคือระดับทำลายวิชาที่น่ากลัวที่สุด”
“ระดับทำลายวิชาหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา “เหตุใดจึงทำลายวิชา ทำลายวิชาอะไร”
สีหน้าของเฉินจิ้งจือพลันเคร่งขรึม
“ทำลายวิชาคือทำลายวิชาอาคมลับทั้งหมด ว่ากันว่าระดับทำลายวิชามีความสามารถที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่พลังของตัวเองหมดประสิทธิผลได้”
“นี่หมายถึงอะไรกัน” ราชาเงามืดสวี่เฝ่ยลาอดถามไม่ได้
“พูดง่ายๆ ก็คือ ขวางกั้นทุกวัตถุ ได้แต่อาศัยพลังของตัวเองเท่านั้น เช่นหากท่านมีอาวุธเทพ แต่นั่นไม่ใช่พลังของตัวท่าน ดังนั้นมันทำให้อาวุธเทพของท่านถูกขวางกั้นได้ในพริบตา แล้วดึงท่านเข้ามาต่อสู้ในสภาพแวดล้อมที่ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง หรืออย่างเช่น ท่านมีวิชาอาคมที่ใช้สารกายควบคุมเปลวไฟได้ แต่หากเจอตัวทำลายวิชา สารกายของท่านจะสูญเสียประสิทธิผลทันที ไม่อาจจะควบคุมเปลวไฟใดๆ ได้อีก”
“หรือก็คือ เป็นการขัดขวางไม่ให้ยืมวัตถุภายนอกทั้งหมดมาใช้เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พลังของตัวเอง” ลู่เซิ่งสรุปอย่างรวบรัด
“ถูกต้อง” เฉินจิ้งจือพยักหน้า “สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ตัวทำลายวิชาทุกตัวต่างแข็งแกร่งจนสุดจินตนาการ พวกมันเป็นผู้สนับสนุนและเสาค้ำยันที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าวิญญาณร้าย”
ลู่เซิ่งพยักหน้าเบาๆ นับว่าเข้าใจแล้ว ตอนนี้เขานึกถึงมือสีดำที่ได้เจอตอนคุ้มครองประตูมายาบนทะเลบูรพาในครั้งนั้น
เขาเข้าใจแล้วว่า ระดับทำลายวิชาคงเป็นระดับเจ้าแห่งอาวุธในหมู่วิญญาณร้าย
คำถามอีกคำถามก็คือ วิญญาณร้ายที่พุ่งออกมาในตอนคุ้มครองประตูมายาล้วนเป็นระดับอริยะเจ้า แค่วิญญาณร้ายที่ได้เจอในครั้งนี้ กลับเหมือนจะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น
……………………………………….