ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 538 เตรียมตัว (2)
บทที่ 538 เตรียมตัว (2)
ส่วนลึกของเทือกเขาทุ่งเขียว
กิ่งสีดำของต้นไม้ยักษ์กลุ่มใหญ่ย้อยตกลงเหมือนกับกิ่งหลิว บนพื้นมีเถาวัลย์กับหนามสีม่วงเข้มและสีเขียวเข้มขึ้นเต็มไปหมด
ด้านในหมู่บ้านที่บ้านเรือนทำจากดินซึ่งทั้งไม่เป็นระเบียบและสกปรก สัตว์ประหลาดที่มีศีรษะเป็นหมาป่าตัวเป็นมนุษย์กำลังเดินอยู่ในหมู่บ้านอย่างเชื่องช้า
พวกมันกำลังพึมพำคำที่จับใจความไม่ได้ บางจุดบนร่างมีขนยาวสีเหลืองและสีดำงอกอยู่ บางจุดก็สวมเกราะหนังที่หยาบถึงขีดสุด ดูไม่เข้ากันเป็นอย่างมาก คล้ายเป็นขยะที่เก็บมา
ด้านในบ้านดินสีเหลืองเข้มหลังหนึ่ง มนุษย์หมาป่าสีดำที่ร่างกายสมส่วนตัวหนึ่งกำลังกึ่งพิงบนผนังด้วยสติที่เลือนราง เลือดไหลลงตามศีรษะของเขาช้าๆ
เขาสวมเกราะหนังผุพังและหยาบกระด้างสีเทาที่ได้แต่กำบังอก มือเป็นกรงเล็บที่มีขนขึ้นปุกปุย สองขาเหมือนกับมนุษย์ แต่ยังไม่วิวัฒนาการเป็นขาโดยสิ้นเชิง ยังคงบิดงอเหมือนกับสัตว์
หว่างคิ้วของหัวหมาป่าสีดำมีขนสีขาวติดอยู่หย่อมหนึ่ง จึงเตะตาเป็นอย่างมาก
“กระดูกดำ เจ้ายังไหวกระมัง” ตรงประตูบ้านดินมีมนุษย์หมาป่าสีเหลืองตนหนึ่งพุ่งเข้ามา เขามีปากและแขนที่ยาวมาก ถึงขั้นที่ไม่สมส่วนเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร…ข้าไม่เป็นไร…เจ้าออกไปเถอะ ข้าต้องพักผ่อน พักผ่อนก่อน” มนุษย์หมาป่าดำโบกมือให้อีกฝ่ายออกไป
“ตกลง ตกลงสหาย…” มนุษย์หมาป่าสีเหลืองหมุนตัวออกไปอย่างจนปัญญา “ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ เจ้าควรไปหาหมอผี เขาจะรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่เจ้าเอง!” อีกฝ่ายพึมพำเป็นครั้งสุดท้าย
มนุษย์หมาป่าดำไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยังคงนั่งพิงผนังอยู่ที่เดิม
ตอนนี้ลู่เซิ่งปวดหัวถึงขีดสุด
ถ้าหากเขาจุติมายังร่างของมนุษย์ธรรมดายังพอว่า แต่ครั้งนี้ไม่เพียงเขาไม่มีร่างกายมนุษย์เท่านั้น ถึงขั้นจุติลงมาในร่างมนุษย์หมาป่าที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนอีกด้วย
มนุษย์หมาป่านี้แตกต่างจากมนุษย์หมาป่าในตำนาน มนุษย์หมาป่าในโลกใบนี้ เป็นมนุษย์หมาป่าที่วิวัฒนาการมาจากหมาป่าอย่างแท้จริง กล่าวให้ถูกต้องก็คือ เป็นเผ่าหมาป่าที่เคลื่อนไหวได้เหมือนมนุษย์
สิ่งที่วิวัฒนาการในขั้นต้นของพวกเขา นอกจากภาษา การแพทย์ ที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีความละอายที่เรียบง่ายเท่านั้น
แต่เนื่องจากล้าหลังถึงขีดสุด ดังนั้นเผ่ามนุษย์หมาป่าของที่นี่จึงยังอยู่ในช่วงชนเผ่าดึกดำบรรพ์ เพียงอาศัยคุณสมบัติร่างกายโดยกำเนิดต่อสู้ ล่าเหยื่อ และทำศึกเท่านั้น
ที่นี่ ในเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่ไพศาลแห่งนี้ มนุษย์หมาป่าที่ลู่เซิ่งจุติลงมาในครั้งนี้มีชื่อว่ากระดูกดำ เป็นสมาชิกในเผ่าเล็กๆ ที่มีชื่อว่าไพรแดง
เผ่าหมาป่าไพรแดงมีมนุษย์หมาป่าทั้งหมดแค่ยี่สิบกว่าตน หมาป่าวัยฉกรรจ์มีแค่สิบสี่ตน ที่เหลือเป็นพวกแก่ชราและอมโรค
‘ไม่มีระบบการฝึกฝน ไม่มีตัวหนังสือ ไม่มีการสืบทอด ไม่มีความสามารถพิเศษ หมอผีที่ว่าก็เป็นแค่มนุษย์หมาป่าเฒ่าที่หาสมุนไพรมารักษาได้เท่านั้น สัตว์ป่าฝูงนี้ถึงขั้นไม่มีความรู้ที่ชัดเจนต่อสภาพแวดล้อมรอบๆ ด้วยซ้ำ’ ลู่เซิ่งคลึงศีรษะตรงตำแหน่งที่น่าจะเป็นขมับด้วยความปวดหัวถึงขีดสุด
ศีรษะเหมือนถูกคนฟาดใส่ ไม่สิ ความจริงแล้วเขาถูกฟาดใส่จริงๆ สิบนาทีก่อนหน้านี้ ก่อนที่ลู่เซิ่งจะจุติลงมาในร่างร่างนี้ ศิลายักษ์มนุษย์หมาป่าดำที่กำยำได้แย่งชิงเอาเนื้อแห้งของมนุษย์ไปจากเขา ทั้งยังฟาดหัวเขาอย่างแรง
ด้วยเหตุนี้ลู่เซิ่งเลยยึดครองร่างนี้ได้อย่างง่ายดาย
‘เจ้ากระดูกดำ ขอดูหน่อยซิว่าความปรารถนาในตัวแกคืออะไร…’ ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อมาถึงที่แบบนี้แล้ว ลู่เซิ่งก็เตรียมตัวทันที ด้วยการตรวจสอบความปรารถนาในตัวมนุษย์หมาป่าดำตนนี้
ความทรงจำของกระดูกดำเลื่อนไหลในห้วงสมองของลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว ความปรารถนาที่พร่ามัวค่อยๆ ปรากฏออกมา
‘ไม่ยอมถูกกดดันต่อไป กลายเป็นหัวหน้าเผ่า เป็นหัวหน้าที่แข็งแกร่งที่สุดของทั้งเทือกเขาหรือ ขย้ำผู้ที่ไม่ยินยอม!’
‘อือ…เป็นความปรารถนาที่เรียบง่ายมาก’ พอดูถึงตรงนี้ลู่เซิ่งก็อารมณ์ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนความปรารถนาสองอย่างนี้จะธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จุดเริ่มต้นในครั้งนี้จะต่ำไป แต่ความยากในการบรรลุผลมีไม่มาก น่าจะจัดการได้เร็ว
เขาทดลองขยับร่างหลักในหัวใจดู เป็นอย่างที่คาด ยังคงต้องปรับตัวเข้ากับกฎธรรมชาติรอบๆ จำเป็นต้องใช้เวลาไม่น้อย อย่างน้อยก็อย่าคิดหวังพึ่งร่างหลักในเวลาสองสามเดือน
‘ขอดูหน่อยซิว่าเผ่าไพรแดงอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน’
ลู่เซิ่งยื่นมือไปลูบแผล แม้ร่างหลักจะใช้พลังรบกวนโลกภายนอกไม่ได้ แต่แค่รักษาอาการบาดเจ็บเล็กๆ ง่ายๆ หรือใช้ในอาณาเขตเล็กๆ ยังไม่เป็นปัญหา
อาการบาดเจ็บบนศีรษะสมานตัวอย่างช้าๆ ด้วยพลังเหนือธรรมชาติ เพียงแต่ช้าจนน่าตกใจ
‘แม้แต่ผลการรักษาพื้นฐาน กฎก็ยังย่ำแย่ขนาดนี้…’ ลู่เซิ่งเอือมระอาเล็กน้อย หมายความว่า หลักการในการรักษาของที่นี่มีส่วนคล้ายกับโลกใบอื่นๆ เล็กน้อยเท่านั้น แตกต่างจากที่อื่นโดยสิ้นเชิง นี่ทำให้ประสิทธิผลลดลงอย่างใหญ่หลวง
หลังจากทรมานเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ จนรักษาอาการบาดเจ็บบนหัวได้ ลู่เซิ่งก็ฝืนลุกขึ้นยืน
‘ตามความทรงจำของกระดูกดำ เผ่าไพรแดงถือเป็นเผ่าเล็กๆ ที่ธรรมดาถึงขีดสุดในละแวกนี้ หลักๆ อาศัยการล่าสัตว์ต่างๆ เช่นกระต่ายป่า จิ้งจอก ฝูงควาย และฝูงกวางประทังชีวิต เก็บอาหารไม่เป็น เลี้ยงปศุสัตว์ไม่ได้ ไม่รู้จักการปลูกพืช นอกจากการแลกเปลี่ยนง่ายๆ แล้ว ก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็นอีก…อืม…เหมือนจะมีเผ่าระดับสูงอีกหนึ่งเผ่า เป็นฝูงมังกรพิษที่มีมังกรพิษสองปีกสามตัวเป็นผู้นำ…เวลาลำบากยังต้องถูกจับไปเป็นทัพหน้าทะลวงข้าศึกอีก…มังกรพิษ? มีตัวแบบนี้ด้วยหรือ’ ลู่เซิ่งพลันรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง
‘ฝูงมังกรพิษอยู่ที่บึงมังกรพิษ เป็นบึงทางตะวันออก ส่วนทางตะวันตกมีทะเลสาบจระเข้ยักษ์ เป็นที่อยู่อาศัยของจระเข้ยักษ์ที่มีขนาดยาวมากกว่าสิบเมตร
ทางใต้มีฝูงแรดมังกรดิน…สัตว์ยักษ์ที่เทียบเท่ากับมนุษย์หมาป่าสิบตัวพวกนี้ แม้แต่ฝูงมังกรพิษก็ยังไม่กล้าหาเรื่อง
ทางเหนือมีเหยี่ยวเงินสี่ปีก เหยี่ยวเงินเหล่านี้มีขนที่มีพิษ มีกระดูกเงินผิวทองแดง เป็นตัวการหลักที่ทำให้เผ่าไพรแดงเหลือประชากรอยู่ไม่มาก’
พอจัดระเบียบสถานการณ์โดยรวมเสร็จ ลู่เซิ่งพลันรู้สึกว่าสถานการณ์ดูเหมือนจะคับขันกว่าต้าอินเสียอีก หากไม่ระวัง เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของกระดูกดำจะรักษาไว้ไม่ได้
เขายืดเหยียดร่างกาย สิ่งปลอบใจเพียงหนึ่งเดียวคือ ดูเหมือนร่างกายนี้จะไม่เลวเท่าไหร่
‘เส้นลมปราณ หลอดเลือด กล้ามเนื้อแตกต่างจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง แถมยังใช้วิธีฝึกเหมือนโลกใบอื่นไม่ได้อีก ยุ่งยากจริงๆ ต้องคลำทางใหม่หมด’
ดีที่ร่างหลักของเขาเป็นอริยะเจ้าระดับเทวปัญญาอย่างสมศักดิ์ศรีแล้ว แม้จิตวิญญาณอริยะเจ้าที่ยิ่งใหญ่ไพศาลจะไม่อาจโผล่มาบิดเบือนความเป็นจริงได้ แต่ก็ยังปรับปรุงและควบคุมร่างกายร่างนี้ได้โดยไม่มีปัญหา
“ธุลีขาว! ไสหัวออกมาธุลีขาว!”
เปรี้ยง!
วัตถุขนาดยักษ์โฉบลงมาบนที่ว่างของหมู่บ้านด้านนอกอย่างรวดเร็ว
มังกรสีเขียวอ่อนที่มีปีกสองข้าง คอเป็นงู ร่างยาวและทรงพลังพุ่งลงมาบนพื้น มังกรมีปีกตัวนี้เหมือนกับมังกรทางฝั่งตะวันตกที่ลู่เซิ่งเคยเห็นมาบนโลกใบเก่าไม่มีผิด มันมีคอที่ยาว ทั้งมีฟันแหลมกับสองเขาที่ดูน่ากลัว แถมยังม่านตาแนวตั้งที่เย็นเยียบนั่นอีก
มังกรมีปีกนี้แค่ขนาดร่างกายก็ใหญ่ถึงเจ็ดแปดเมตรแล้ว ยามกระพือปีกจะพัดพายุขึ้นมาหลายกลุ่ม จนทำให้มนุษย์หมาป่าที่เข้าใกล้ล้มลง และหมอบกับพื้นด้วยร่างที่สั่นเทา
มนุษย์หมาป่าชราที่มีขนสีขาวตนหนึ่งรีบวิ่งออกมาจากในหมู่บ้าน แล้วหมอบคลานด้านหน้ามังกรมีปีกอย่างเคารพ
“ท่านทูตมังกรพิษที่เคารพ ธุลีขาวมาแล้ว อยู่ที่นี่” เขาชูสองมือขึ้นและโขกศีรษะกับพื้นอย่างแรง
“ใกล้ๆ นี้มีมังกรเงาเขาเดียวมาถึงตัวหนึ่ง จงไปตามหาตำแหน่งของมัน จากนั้นให้นำมาบอกข้า!” ทูตมังกรพิษคำรามเสียงดัง ภาษาที่ใช้เหมือนกับพวกมนุษย์หมาป่า
“แต่ว่าท่านทูตมังกรพิษที่เคารพ นั่นคือมังกรเงา พวกเรา…”
เปรี้ยง!
มังกรพิษกระพือปีกฟาดมนุษย์หมาป่าชราจนล้มลงกับพื้น
“ธุลีขาว!” มนุษย์หมาป่าเหลืองที่กำยำตัวหนึ่งพุ่งออกไปด้วยความโกรธแค้น แต่กลับถูกมังกรพิษใช้กรงเล็บคว้าเอวไว้ขณะลอยอยู่กลางอากาศ
คว่าก!
มนุษย์หมาป่าเหลืองถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วกระจัดกระจายลงบนพื้นรอบๆ
“ข้าไม่ต้องการการต่อต้าน ถ้าพวกเจ้าไม่ทำตาม ก็จงตายเสีย!” มังกรพิษคำรามเสียงต่ำอย่างโหดเหี้ยม
มนุษย์หมาป่าทั้งหมดรวมถึงธุลีขาวก้มหน้าอย่างตกใจหวาดกลัว
มังกรพิษกระพือปีกบินขึ้นช้าๆ แล้วจากไปยังท้องฟ้าไกล เหลือเพียงเลือดและเศษเนื้อกระจายเต็มพื้น มนุษย์หมาป่าตนอื่นๆ เก็บซากศพของมนุษย์หมาป่าที่เหลืออยู่ขึ้นมา ก่อนจะนำไปวางไว้ในบ้านดินหลังหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ดินโคลนกลบเลือดและเศษเนื้อ
ลู่เซิ่งยืนมองเหตุการณ์นี้จนจบอยู่หน้าประตูบ้านดิน เกิดความเข้าใจเล็กน้อยต่อพลังของมังกรพิษแล้ว
สัตว์ประหลาดร่างยักษ์ชนิดนี้ กายเนื้อของเขาในตอนนี้ไม่สามารถสู้ไหวจริงๆ
‘ยังมีภาษาร่วมกันอีก ดูเหมือนที่นี่จะไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิดไว้’
พอกลับถึงบ้านดิน ลู่เซิ่งก็เริ่มไตร่ตรองว่าครั้งนี้ตนควรใช้วิธีอะไรในการเลื่อนระดับพลังดี
‘พลังวิญญาณ สารกาย พลังวิญญาณชีวิต มีทิศทางสามทิศทางที่เราใช้ฝึกได้’
เขาลองใช้แก่นหยางเลียนแบบและทดลองเพื่อดูว่ากฎเกณฑ์ของที่นี่เหมาะกับพลังชนิดไหนมากกว่ากัน ไม่นาน พลังวิญญาณชีวิตที่มาจากโลกของจวี้เยี่ยนก็ถูกกีดกันในระดับต่ำสุด
ลู่เซิ่งตัดวิธีการฝึกฝนในนี้ออกเป็นส่วนใหญ่ เพียงเหลือส่วนน้อยที่ไม่ถูกกีดกันเอาไว้ และเรียบเรียงจนมันกลายเป็นวิชาเรียบง่ายชุดหนึ่ง
วิชานี้ยังต้องปรับปรุงเพิ่มเติมหลังจากตรวจสอบร่างกายร่างนี้ผ่านจิตวิญญาณอีก ถึงจะเปลี่ยนวิชาที่มนุษย์ใช้ฝึกฝนเป็นคัมภีร์ให้มนุษย์หมาป่าฝึกฝนได้
ลู่เซิ่งยุ่งอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งถึงเวลาพลบค่ำ จึงค่อยแก้ไขวิธีการฝึกฝนพลังชีวิตชุดนี้เสร็จสมบูรณ์
‘มีแต่การนำพลังชีวิตจากอาหารมาผสมกับการฝึกฝน สองกระบวนการเท่านั้น ไม่มีการสกัดแก่นสารเปลี่ยนรูปร่าง ไม่มีเส้นทางซับซ้อนที่สอดประสานกับดวงดาว เป็นแค่การสะสมวิญญาณอย่างหยาบๆ และเรียบง่ายเพื่อกระตุ้นพลังชีวิต รวมถึงขุดศักยภาพขีดจำกัดพลังทางสายเลือดของตัวเองออกมาเท่านั้นเอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ตั้งชื่อชั่วคราวว่าวิชาแก่นพลัง’
เขาคิดจะใช้มันเป็นพื้นฐาน แล้วใช้ดีปบลูเรียนรู้
วิชาแก่นพลังวิชานี้เป็นเมล็ดพันธุ์ระดับพื้นฐานสุดของเขาในโลกใบนี้ โดยตัดส่วนที่กฎเกณฑ์ไม่อนุญาตทิ้ง เมล็ดพันธุ์ที่ได้รับการอนุญาตเล็กๆ นี้จะแข็งแกร่งและยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการมาตรฐานของโลกใบนี้ผ่านการเรียนรู้ของดีปบลู
นี่เป็นวิธีที่ลู่เซิ่งคิดขึ้นเพื่อเอาไว้ใช้แก้ไขสภาพจนตรอกในตอนจุติลงมายังโลกที่ไม่มีระบบวิชาแบบนี้โดยเฉพาะ
ลู่เซิ่งกลับถึงบ้านดิน ก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงโดยหันหลังให้กับผนังดิน
‘คิดจะสะสางผลกรรมความปรารถนาของกระดูกดำ ต้องกลายเป็นหัวหน้าเผ่าก่อน จากนั้นก็จัดการปัญหาการดำรงอยู่ของเผ่า รักษาอาหารและจัดการการคุกคาม หากใช้เวลาสั้นๆ คงจะยากมาก…ต้องการเวลา’
จิตวิญญาณของลู่เซิ่งกระเพื่อมในร่างกายอย่างต่อเนื่อง เพราะกำลังระบุจุดที่แตกต่างจากร่างมนุษย์ออกมา
แก่นหยางปรับตัวตามกฎเกณฑ์ หลังจากเปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบพลังงานจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว แม้จะเจอสภาพที่สามารถรักษาการดำรงอยู่ของตัวเองได้ดีที่สุด แต่ว่าพลังงานก็เหลือเพียงแค่ความสามารถในการรักษาและความสามารถเร่งการไหลเวียนโลหิตที่อ่อนแอเท่านั้น
‘เอาล่ะ รีบเริ่มให้เร็วที่สุดดีกว่า ดีปบลู’ ลู่เซิ่งหลับตานึกในใจ
ฟุ่บ
อินเตอร์เฟสสีฟ้าค่อยๆ ปรากฏออกมา
กรอบแรกเป็นวิชาไร้ขอบเขต แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงก็คือ ในกรอบที่สองเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า [เทวลักษณ์วารีลี้ลับ]
เขามองดูกรอบอย่างละเอียด
[เทวลักษณ์วารีลี้ลับ: ดวงตาแห่งเก๋อซังน่า, ควบคุมน้ำ]
ความสามารถเรียบง่ายสองอย่างถูกระบุไว้ด้านใน
‘น่าสนใจ…ดูเหมือนเทวลักษณ์วารีลี้ลับจะมีความวิเศษบางอย่างที่เราไม่รู้อยู่ด้วย’
ลู่เซิ่งบังเกิดความสนใจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจสิ่งเหล่านี้ หากแต่ต้องยกระดับวิชาแก่นพลังก่อน
เขามองพลังอาวรณ์ที่เหลืออยู่ ตอนนี้ดีปบลูได้พัฒนาความสามารถการคำนวณหน่วยของพลังอาวรณ์อย่างแม่นยำตามการรับรู้ของเขาออกมาแล้ว
ด้านบนระบุว่ายังเหลือ 97,306 หน่วย
‘ลองดูว่าจะเก็บเกี่ยวพลังอาวรณ์ในโลกใบนี้มาเติมได้หรือไม่ จำนวนแค่นี้ไม่พอใช้แล้ว…’ ลู่เซิ่งทอดถอนใจ
……………………………………….