ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 539 อำพราง (1)
บทที่ 539 อำพราง (1)
“กระดูกดำ! กระดูกดำ! รีบออกมา พวกเราควรไปตรวจสอบมังกรเงาเขาเดียวได้แล้ว!” อยู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงร้องของมนุษย์หมาป่าเหลืองดังมา
ลู่เซิ่งซึ่งกำลังจะลงมือเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองถูกขัดขวางอย่างกะทันหัน จึงได้แต่ลุกขึ้นอย่างจนปัญญา
‘ดูเหมือนต้องรับมือไปก่อนค่อยว่ากัน จะได้ดูเส้นสนกลในของโลกใบนี้ด้วย’
“เป็นอะไรไปเจ้าทอง”
ชื่อของหมาป่าเหลืองตนนี้คือเจ้าทอง ว่ากันว่าเป็นเพราะเขารู้ว่ามนุษย์กับหลายๆ เผ่าต่างชอบทอง เลยรู้สึกว่าไม่เลว หวังว่าเพศเมียทั้งหมดจะชอบตัวเองบ้าง จึงตั้งชื่อว่าทอง
เจ้าทองพุ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“ธุลีขาวให้พวกเรารีบรวมตัว อย่าเสียเวลา เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้ว ทูตมังกรพิษนั่นอยากให้พวกเราไปหามังกรเงาอะไรสักอย่าง” เขาทำท่าเรื่อยเฉื่อย เหมือนกับไม่กลัวอะไรสักอย่าง ก่อนจะลากลู่เซิ่งวิ่งไปด้านนอก
มนุษย์หมาป่าตนนี้ก่อนหน้านี้ยังสัมผัสไม่ได้ ตอนนี้พอถูกดึง ลู่เซิ่งพลันรู้สึกว่าเจ้าทองมีแรงเยอะกว่าร่างกายของตัวเองไม่น้อย
ถูกเขาลากออกจากบ้านดิน ไม่นานก็ตัดทะลุหมู่บ้านมาถึงด้านหน้าบ้านดินหลังหนึ่งที่ใหญ่ที่สุด
บ้านดินหลังนี้แตกต่างจากบ้านดินหลังอื่น ตรงขอบมีหนามแห้งสีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของการป้องกันวางกองอยู่ หนามแห้งเหล่านี้ล้อมบ้านดินเอาไว้ ดูเหมือนให้ความรู้สึกเป็นพิธีการ
ประตูใหญ่ของบ้านเปิดออก ธุลีขาวซึ่งเป็นมนุษย์หมาป่าชราเมื่อก่อนหน้านั่งอยู่ข้างประตู
“คำพูดเมื่อครู่ของท่านทูต พวกเจ้าได้ยินหมดแล้วใช่ไหม”
“ถูกต้องท่านหมอผี”
“จะส่งพวกเราไปตายชัดๆ!”
“ข้าภูผาเหล็กไม่ยอม พวกเราไม่สมควรกระทำเรื่องนี้”
“พวกมันบ้าไปแล้วหรือ มังกรเงาเขาเดียวทุกตัวต่างแข็งแกร่งจนน่ากลัว พวกเราสู้ไม่ได้หรอก”
มนุษย์หมาป่าทั้งฝูงคำรามอย่างโกรธแค้น แต่คำพูดที่ตะโกนออกมากลับมีความหมายค่อนข้างเรียบง่าย แสดงให้เห็นว่าส่วนใหญ่เป็นพวกพัฒนาแต่แขนขา สมองยังคงเหมือนเดิม
ธุลีขาวผู้เป็นหมอผีหรี่ตา ดวงตาฉายแววจนใจและเศร้าโศก เขาอายุเจ็ดสิบหกปีแล้ว ถือเป็นอายุที่ยากจะจินตนาการถึงสำหรับหมาป่าดำตัวหนึ่ง เขาได้เป็นสักขีพยานให้แก่ความรุ่งเรืองตกต่ำของเผ่ามาแล้วหลายครั้ง
เผ่าไพรแดงในตอนนี้เคยเป็นเผ่าใหญ่ที่มีหมาป่ามากกว่าพันตัว ทว่าตอนนี้
เขามองสหายร่วมเผ่าสิบกว่าตนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรอยู่ชั่วขณะ
เงียบงันอยู่พักหนึ่ง เขาจึงค่อยๆ เอ่ยว่า “ครั้งนี้ต้องเดินทางให้หมด ไม่อย่างนั้นหากหมาป่าเต็มวัยอย่างพวกเราจากไป หมู่บ้านเหลือแต่พวกแก่ๆ กับพวกอ่อนแอ จะต้องถูกสัตว์ร้ายตัวอื่นโจมตีแน่”
ทุกคนต่างเข้าใจความหมาย บางครั้งจะมีการเคลื่อนไหวทั้งฝูงเหมือนกัน ความเคยชินของเผ่าหมาป่าคือจะไม่อยู่ที่ไหนนานๆ แต่จะออกล่าเหยื่อไปทั่ว
ถ้าหากไม่ใช่เพราะพื้นที่อยู่อาศัยถูกจำกัดอย่างรุนแรง เลยได้แต่อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่มนุษย์ละทิ้งแห่งนี้ คาดว่าพวกเขาคงไปยังหมู่บ้านอื่นเพื่อหนีจากสถานที่อันตรายแบบนี้แต่แรกแล้ว
“ก่อนออกเดินทาง คนไหนได้รับบาดเจ็บ ให้มาหาข้า” ธุลีขาวพูดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวเข้าไปในบ้านดิน ประตูยังคงอ้าอยู่ แต่ไม่มีเสียงอะไรดังออกมาอีก
“ข้าเอง!” อยู่ๆ ก็มีมนุษย์หมาป่าขนทองร่างกำยำตัวหนึ่งสาวเท้าเดินไปยังบ้านดินอย่างทระนง
เขามีชื่อว่าโล่เหล็ก เป็นมนุษย์หมาป่าที่มีเรื่องกับกระดูกดำตอนที่ลู่เซิ่งจุติลงมาเมื่อก่อนหน้า
โล่เหล็กเดินเข้าไปหลายก้าว แล้วยกมือขึ้นโบกไปมา แขนขวาของเขาได้รับบาดเจ็บ ผิวที่ไม่ใหญ่มากหลุดออกไปชั้นหนึ่ง โชกเลือดจนดูเหมือนร้ายแรง แต่กลับเป็นแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยของมนุษย์หมาป่าเท่านั้น
ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านนอกสุดของฝูงมนุษย์หมาป่า ในใจเกิดเพลิงโทสะอย่างอธิบายไม่ได้ขึ้นในตอนที่เห็นโล่เหล็กออกมา
‘ความโกรธหลงเหลือในร่างเหรอ ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานก็จัดการได้แล้ว’
เขาคิด รอจนมนุษย์หมาป่าหลายตนเดินเข้าบ้านดินแล้วเดินออกมา เขาก็เบียดตามเข้าไปในบ้านดินด้วย
ในบ้านดินมืดครึ้มอยู่บ้าง ยังมีกลิ่นอับจางๆ จากสมุนไพรแห้งจำนวนไม่น้อย
ธุลีขาวซึ่งเป็นมนุษย์หมาป่าชรางอเอว กำลังพลิกหาอะไรบางอย่างด้านหน้าตู้พังๆ
พอเห็นลู่เซิ่งเข้ามา เขาก็กวาดตามองแผลบนศีรษะของอีกฝ่าย เห็นช่องว่างขนาดเท่าฝ่ามือผ่านขนสีดำ แม้เลือดจะไม่ไหลแล้ว และมีร่องรอยการสมานตัว แต่ขนาดของแผลก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในเวลาอันสั้น
“ใจเหี้ยมจริงๆ กระดูกดำ ต่อจากนี้เจ้าอย่ามีเรื่องกับโล่เหล็กเลย เขามีแรงเยอะกว่าเจ้ามาก” หมอผีชราพึมพำ “แผลใหญ่ขนาดนี้ เกรงว่าสมุนไพรข้าใกล้จะหมดแล้ว”
“ครั้งหน้าจะไม่ทำแล้ว” ลู่เซิ่งตอบเบาๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย ดูเคร่งขรึมเป็นพิเศษในบ้านดินที่มืดสลัว
ธุลีขาวงุนงง แต่ไม่ได้สงสัยอะไร จากนั้นก็เทสิ่งที่มีสีเหลืองและเหนียวเหมือนอุจจาระออกมาจากชามหินแตกๆ อย่างคุ้นเคย ก่อนจะใช้อุ้งมือควักขึ้นมาแล้วกดลงบนศีรษะลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งข่มความคิดหลบเลี่ยง ปล่อยให้อีกฝ่ายทาแผลของตัวเอง
กลิ่นเหม็นฉุนๆ มุดเข้าจมูกเขาเป็นระยะ
แต่ในทางเดียวกัน ความรู้สึกเย็นฉ่ำอ่อนๆ ก็แผ่ขยายไปตามปากแผลจนทำให้เขาเกิดความรู้สึกสุขสบายถึงขีดสุดเช่นกัน
เดิมทีลู่เซิ่งจะมาดูว่าหมอผีมีความสามารถขนาดไหน ถือว่าเป็นการสืบเส้นสนกลในของระบบในโลกใบนี้ เพื่อที่ตัวเองจะได้ปรับตามทิศทางการพัฒนา
ดูจากตอนนี้ เขาไม่ได้มาเสียเที่ยวจริงๆ สมุทรไพรใช้ภายนอกใดๆ ล้วนไม่อาจเห็นผลได้เร็วขนาดนี้ แสดงว่านี่จะต้องมีลูกเล่นแน่
ลู่เซิ่งลืมตาแล้วเห็นว่ากลางฝ่ามือของธุลีขาวมีแสงสีขาวอมเทาจุดหนึ่งกำลังกะพริบอยู่ แต่เพราะมีขนบังไว้จึงเห็นไม่ชัด
“ธุลีขาว อะไรกำลังสว่างกลางฝ่ามือท่านกันนั่น”
“เจ้าเห็นหรือ” ธุลีขาวงุนงง ดวงตาฉายแววแปลกใจและเหลือเชื่อ
“อื้ม…แสงสีขาว กำลังกะพริบอยู่” ลู่เซิ่งตอบตามจริง
ธุลีขาวหยุดทายา
สักครู่ใหญ่ๆ เขาค่อยถอนใจยาว
“นี่เป็นพลังเกล็ดหิมะ สัญลักษณ์ของเผ่าพวกเรา เป็นความเจิดจรัสเมื่อนานมาแล้ว” เขาลดมือลง แล้วแบมือข้างขวาของตนเองออก บนอุ้งเนื้อมีร่องรอยที่เหมือนรูปจันทร์เสี้ยวกำลังกะพริบอยู่
ร่องรอยนี้เป็นสีขาวอมเทา กำลังปล่อยความเย็นอ่อนๆ ออกมา รอบๆ มีควันขาวเล็กละเอียดแผ่กระจายอย่างต่อเนื่อง
“เมื่อครั้งอดีต ทุกๆ หนึ่งร้อยคนในเผ่า จะมีคนหนึ่งที่ปลุกพลังเกล็ดหิมะให้ตื่นได้ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เผ่าไม่มีผู้ที่ปลุกพลังมานานแล้ว” หมอผีชราส่ายหน้าน้อยๆ “แต่ต่อให้ปลุกพลังได้ แล้วจะอย่างไรต่อ แม้จะกลายเป็นหมาป่าเกล็ดหิมะ แต่ก็สู้บึงมังกรพิษไม่ได้อยู่ดี”
เขาจัดขนบนศีรษะลู่เซิ่งต่ออีกครู่หนึ่ง
“เรียบร้อย ออกไปเตรียมตัวเถอะกระดูกดำ”
“ขอถามได้ไหม พลังเกล็ดหิมะปลุกให้ตื่นได้อย่างไรหรือ” ลู่เซิ่งลุกขึ้นแล้วถามเป็นครั้งสุดท้าย
ครั้งนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยวจริงๆ กระดูกดำก่อนหน้านี้ติดที่มีพลังอ่อนแอเกินไป เลยไม่ค้นพบความน่าอัศจรรย์ของหมอผีชรา
แต่เขานั้นแตกต่าง
ธุลีขาวขมวดคิ้ว
“มีแต่ตอนที่เจ้าต้องเผชิญการคัดเลือกจากความเป็นความตายเท่านั้น ศักยภาพของเจ้าถึงจะเปิดออก และมีโอกาสปลุกพลังให้ตื่นขึ้นได้”
พูดแบบนี้เท่ากับไม่พูด
ลู่เซิ่งมองแสงขาวที่กลางฝ่ามือของธุลีขาว แล้วลุกขึ้นเตรียมจะจากไป
“รอเดี๋ยว กระดูกดำ” ธุลีขาวครุ่นคิด ยังคงอธิบายถึงต้นกำเนิด “ถ้าหากเจ้าอยากจะปลุกพลังจริงๆ อย่างนั้นก็จงไปขัดเกลาความตั้งใจในการต่อสู้เป็นตายเพื่อให้ร่างกายอยู่ในขีดจำกัดดู ขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้า”
เขาโยนผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งให้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งรับมาดู ด้านบนเป็นลายเส้นพิลึกหงิกๆ หงอๆ ส่วนหนึ่ง กลางลวดลายที่แน่นขนัดคือสัญลักษณ์พิเศษส่วนหนึ่งที่เหมือนกับกีบเท้าของกวาง
ตอนลู่เซิ่งมองดูก็รู้สึกลางๆ ว่า สัญลักษณ์นี้ทับซ้อนกันอยู่บ้าง เหมือนกับขีดเขียนใส่ที่เดิมนับครั้งไม่ถ้วน
“ลองเอาไปทำความเข้าใจดู ถ้าหากเจ้าจินตนาการออก เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าได้ครอบครองพลังเกล็ดหิมะแล้ว ถ้าหากไม่ได้ ของสิ่งนี้จะหายไปในอีกสามวันให้หลัง” ธุลีขาวเอ่ยอย่างราบเรียบ “จริงสิ นี่เป็นของเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าทำขึ้นชั่วคราว อย่าเอาไปแลกอาหารกับเผ่าอื่นล่ะ”
ลู่เซิ่งจับผ้าเอาไว้และลูบสัญลักษณ์ด้านบนเบาๆ พลันรู้สึกได้ว่ามีความเย็นสายหนึ่งกระจายขึ้นมาจากปลายอุ้งมือ
ความเย็นไม่ได้รุนแรงมาก ใกล้เคียงกับก้อนน้ำแข็งก้อนเล็กๆ เท่านั้น
เขาถือผ้าขี้ริ้วไว้ แล้วหมุนตัวสาวเท้าจากไป
“ความจริงตอนที่พวกเจ้ายังเด็กมาก ข้าเคยทดลองดูทีละคนแล้ว…” เสียงของธุลีขาวดังไล่หลังเขามา
ลู่เซิ่งชะงักเล็กน้อย
‘ดูเหมือนโลกใบนี้จะไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่จินตนาการไว้’ ตอนแรกหลังจากเขาทำความเข้าใจโลกจากความทรงจำของกระดูกดำ ก็นึกว่าเป็นแค่โลกทั่วไปที่มีความพิเศษเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ดูจากตอนนี้ เผ่าหมาป่าถึงกับยังมีของน่าอัศจรรย์แบบนี้อยู่ด้วย ดูเหมือนที่นี่จะไม่ได้รวบรัดเหมือนที่เขาคิดไว้
หลังออกมาจากบ้านดิน เขาก็เห็นเจ้าทองหมาป่าขนเหลืองกำลังรออยู่ไม่ไกลออกไปทันที เพียงแต่ข้างๆ มีมนุษย์หมาป่าขนเหลืองร่างกำยำอีกตัวหนึ่งยืนอยู่ด้วย เป็นโล่เหล็กที่ก่อนหน้านี้ทำร้ายเขานั่นเอง
“ข้าต้องการอาหาร!” โล่เหล็กเหมือนกำลังขู่เข็ญเจ้าทองอยู่
“ไม่มีแล้ว ให้เจ้าไปหมดแล้ว” เจ้าทองก้มหน้าอย่างจนปัญญา
“ยังไม่พอ” โล่เหล็กมองลู่เซิ่งแวบหนึ่ง
แผล่บ!
เขาแลบลิ้นออกมาเลียปากอย่างน่ากลัวเพื่อขู่
“แล้วก็เจ้า! ครั้งหน้าข้าจะมาอีก ถ้าหากยังไม่มีพวกเจ้าก็อย่าคิดจะอยู่อย่างเป็นสุขเลย!”
พูดจบก็หมุนตัวจากไป
ลู่เซิ่งมองตามจนเขาหายไปจากข้างกำแพงดินของหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว คล้ายเตรียมจะออกไปค้นหาแล้ว คำพูดของหมอผีไม่อาจขัดขืนได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกตัดสิทธิ์รักษาและสิทธิ์พักอาศัย
ในป่าที่อันตรายแบบนี้ ผลลัพธ์ของการไม่มีที่อยู่กับไม่มีความสามารถรักษาก็คือการเน่าตายมีหนอนไชในมุมใดมุมหนึ่งที่ไม่รู้จัก
“พวกเราก็ไปกันเถอะ” ลู่เซิ่งตบบ่าของเจ้าทอง เขาย่อมไม่โกรธการคุกคามที่อ่อนด้อยสติปัญญาแบบนี้ ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้คือการทดลองดูความน่าอัศจรรย์ของผ้าขี้ริ้วผืนนี้
วิธีก็คือ เดินทางไปพลางทดลองไปพลาง
“เนื้อของข้า…ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องฆ่ามันให้ได้!” เจ้าทองระบายอย่างอัปยศ
“รู้แล้วๆ” ลู่เซิ่งพยักหน้า ไม่ได้เห็นด้วยและไม่ได้พูดขัด ทางหนึ่งถือผ้าขี้ริ้วผืนนั้น ทางหนึ่งสัมผัสความเย็นของผ้าอย่างละเอียด
ยิ่งสัมผัส เขาก็ยิ่งรู้สึกคุ้นกับมัน
อยู่ๆ สายฟ้าสายหนึ่งก็แวบผ่านหัวใจของเขา นี่มันเหมือนรูปเทวลักษณ์วารีลี้ลับของเขาเลยไม่ใช่หรือ
‘อย่างนี้นี่เอง…’ ลู่เซิ่งเกิดความสนใจขึ้นกว่าเดิมแล้ว
เขากับเจ้าทองแตกต่างจากมนุษย์หมาป่าตัวอื่น พวกเขาไม่มีครอบครัวให้ต้องดูแล หลังจากปรึกษาเส้นทางกันแล้ว ก็พากันออกจากหมู่บ้าน แล้ววิ่งตะบึงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพียงสองตัวเท่านั้น
เผ่ามังกรพิษสั่งให้ตามหามังกรเงาเขาเดียว แต่มังกรเขาเดียวหาตัวง่ายเสียที่ไหน มิหนำซ้ำด้วยพลังของมนุษย์หมาป่า ต่อให้เจอก็เหมือนเอาตัวไปส่งเป็นอาหารเท่านั้น
ดังนั้นการอู้งานจึงสมเหตุสมผล
ทั้งสองเหยียบย่ำพื้นนุ่มที่มีใบไหม้กองอยู่กลางป่า เพียงถือว่าทำภารกิจลาดตระเวนเท่านั้น
“พวกเราเคลื่อนไหวช้าๆ แบบนี้จะใช้ได้หรือ” เจ้าทองถามระหว่างทางไม่หยุด
“ไม่เป็นไรๆ” ลู่เซิ่งตอบซ้ำไปซ้ำมา “ฟังข้าแล้วจะดีเอง เจ้าไม่ต้องสนใจอะไรหรอก”
“อ้อ…”
ลู่เซิ่งเดินทอดน่องเหมือนกับเดินเล่น พร้อมกับใช้จิตวิญญาณวิเคราะห์สัญลักษณ์ความเย็นบนผ้าขี้ริ้วผืนนั้นไปด้วย
‘ถ้าหากใช้อักษรโบราณมาวิเคราะห์โครงสร้าง ทุกอย่างก็จะอธิบายได้แล้ว สัญลักษณ์นี้…หมายถึงความเย็นในตัวอักษรโบราณ’ ลู่เซิ่งเข้าใจความหมายของมันอย่างรวดเร็ว
“น่าสนใจ เราได้เทวลักษณ์วารีลี้ลับมาโดยอัตโนมัติหลังเลื่อนสู่ระดับทารกจิต จากนั้นก็ได้เทวลักษณ์ความเย็นมาจากที่นี่ตั้งแต่แรก
เทวลักษณ์ประเภทนี้ ดูเหมือนจะทั้งหาได้ง่ายและหาได้ยาก’
ด้านในป่ารกชัฏที่มืดครึ้มและชื้นแฉะ ลู่เซิ่งหยีตา ใช้กรงเล็บฟันงูต้นไม้ที่พุ่งใส่ตัวเองจนขาด
จากนั้นก็ส่งงูให้แก่เจ้าทอง แล้วทำท่ากินภายใต้สายตางุนงงของอีกฝ่าย
เจ้าทองรับเนื้องูไปอย่างดีใจ ก่อนจะเริ่มกินอย่างตะกละตะกลาม โดยหลีกเลี่ยงฟันพิษกับต่อมพิษ เนื้องูเป็นของดีที่อร่อยเป็นอย่างยิ่ง
……………………………………….