ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 543 ชีวิต (3)
บทที่ 543 ชีวิต (3)
ฟ้ามืดครึ้ม ลมพัดหวีดหวิว
งูยักษ์กับกิ้งก่าพุ่งเข้าหาหมู่บ้าน
ลู่เซิ่งเพิ่งหยุดการเลื่อนระดับ ก็ได้ยินด้านนอกมีเสียงร้องปานอัสนีบาตดังมา จึงผลักหน้าต่างไม้ออกไปดู ก่อนจะอดยิ้มไม่ได้
‘ดูเหมือนจะมียอดผู้นำมาอวยพรให้การยกระดับของเราอีกแล้ว’ เขาเบียดร่างออกไปจากประตูไม้ แต่เพราะร่างกายที่ใหญ่โตเกินไป จึงทำให้ประตูไม้พังลงโดยสมบูรณ์ในพริบตาที่เบียดออกไป
“เนื้อเป็นของข้าเช่นกัน! ฮ่าๆๆ!” งูยักษ์อ้าปากพุ่งใส่บ้านไม้เหมือนกับโผบิน
เผอิญกับที่ไปประจัญหน้ากับลู่เซิ่งที่เบียดประตูไม้ออกมาพอดี
เปรี้ยง
ลู่เซิ่งดึงแขนออกจากช่องประตูอย่างยากลำบาก แล้วใช้อีกมือยันบนพื้น จากนั้นก็พยายามลากท่อนล่างออกมา
แต่เนื่องจากร่างกายหลังเลื่อนระดับของเขาสูงเกินหกหมี่และกว้างสามหมี่กว่าๆ บ้านไม้หลังเล็กๆ จึงทนไม่ไหว เพียงแต่ออกแรงเล็กน้อยเท่านั้น
แกร๊กๆ…
บ้านไม้ส่งเสียงโหยหวนอย่างเจ็บปวด จากนั้นก็ถล่มครืนลงโดยสมบูรณ์
“แขกผู้มาจากแดนไกล เข้ามานั่งก่อนเถอะ” ลู่เซิ่งตบพื้นด้านข้าง พร้อมกับสะบัดหัวหมาป่าสองข้างและร่างกายเพื่อสลัดฝุ่นออก
“ช่างน่าขายหน้าจริงๆ เพิ่งเลื่อนระดับ เลยปรับสถานที่ไม่ทัน” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
ความเร็วของงูยักษ์ตาเดียวกับกิ้งก่าตาแดงช้าลงอยางไม่รู้ตัว สุดท้ายก็หยุดลงโดยอยู่ห่างจากด้านหน้าลู่เซิ่งไม่ถึงสิบหมี่
ความหนาวเย็นเสียดกระดูกทำให้พวกมันรู้สึกเหน็บหนาว แต่ก็ยังคงไม่หนาวเท่ากับลมเย็นที่ครางหวีดหวิวอยู่ในใจของพวกมัน
แสงสีขาวที่กำลังขยายใหญ่บนพื้นอย่างต่อเนื่องได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นยอดผู้นำตัวจริงเสียงจริง แถมแสงสีทองที่ขยายจากด้านในไปยังด้านนอกยิ่งแสดงให้เห็นว่า เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่ผู้ที่อยู่ตรงหน้าจะเลื่อนสู่ระดับภูติแล้ว
ระดับภูตเชียวนะ!
นั่นคือราชันแห่งอาณาเขตใหญ่ที่มีจำนวนไม่มากในภูเขาทั้งเขา ถ้าหากผู้นำคือหัวหน้าเผ่าเล็กๆ อย่างนั้นยอดผู้นำก็เป็นผู้ปกครองที่ยึดครองสถานที่แถบหนึ่ง ส่วนระดับภูติก็คือผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดที่พวกมังกรศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจผูกมัดได้อีกต่อไป ต่อให้อยู่ในตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เป็นรองเพียงมเหสีมังกรและราชามังกรเจ็ดสีเท่านั้น
เป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถกำหนดผลแพ้ชนะของกองทัพได้
สัตว์ประหลาดระดับภูติ มีภูติคุ้มกันต่อวิชาทางสายเลือดของผู้นำทั่วไป ส่วนวิชาทางสายเลือดของผู้เข้มแข็งระดับภูติสามารถเปลี่ยนแปลงการรบ และทำลายภูมิประเทศบริเวณหนึ่งได้
‘ท่านภูติที่เคารพ พวกเราบุกสถานที่ของท่านโดยไม่ได้ตั้งใจ ได้โปรดให้อภัยด้วย ข้าผีแดงกับเขาเดียว เป็นยอดผู้นำที่มาจากป่าฟีนา สัมผัสได้ว่าที่นี่มีตัวตนกำลังเลื่อนระดับ จึงรีบรุดมากราบกราน ต้องขออภัยที่บุกรุกด้วย!” กิ้งก่าตาแดงปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ด้วยความเร็วสูง ตอบด้วยใบหน้าเป็นมิตรมีมารยาททันที
ลู่เซิ่งในตอนนี้ออกมาจากบ้านไม้ได้แล้ว ร่างมหึมาที่สูงถึงหกหมี่กว่าๆ หัวหมาป่าสีขาวหิมะสองหัวที่อยู่บนบ่า ขนหนาพลิกม้วนตามลม ทุกๆ ย่างก้าวล้วนส่งเสียงทึบหนัก และทำให้พื้นรอบๆ สั่นไหวไม่หยุด
เหล่ามนุษย์หมาป่าในบ้านไม้หลังอื่นพากันมุดออกมา และมองดูลู่เซิ่งที่สูงใหญ่แข็งแกร่งด้วยสายตาตกใจหวาดกลัว
“ท่าน…คือกระดูกดำรึ!?” ธุลีขาวมุดออกมาจากในบ้าน พอเห็นขาสีขาวหิมะที่ทรงพลัง เขาก็ขยี้ตาเพราะนึกว่าตัวเองตาฝาดไป
แต่ครั้นเขาออกมาจากบ้าน แล้วเห็นรูปร่างของลู่เซิ่งอย่างแท้จริง จึงค่อยพบว่าตนไม่ได้ตาฝาด
แผงอกที่คุ้นเคย ปากยาวที่น่ากลัว และขนสีขาวหิมะหย่อมหนึ่งกลางหน้าผาก ล้วนพิสูจน์ว่า สัตว์ยักษ์ตรงหน้าก็คือกระดูกดำที่ประกาศกักตนก่อนหน้านี้นั่นเอง
“แน่นอนสิ ธุลีขาว ท่านจงไปประกาศให้ทีว่า ข้าต้องการให้เผ่าหมาป่าหิมะให้กำเนิดลูกเท่าที่จะทำได้ ห้าเดือนให้หลัง ข้าต้องเห็นลูกหมาป่าอย่างน้อยหนึ่งร้อยตัววางอยู่ต่อหน้าข้า” ลู่เซิ่งหันมาพูดเสียงเข้ม
ผลกรรมของกระดูกดำคือการนำพาเผ่าปกครองเทือกเขา ไม่มีการกดทับบนศีรษะอีกต่อไป ถ้าหากเป็นเขาคนเดียวยังพอว่า แต่ต้องรวมกับเผ่าทั้งเผ่าด้วย จึงต้องลำบากวางแผนสักหน่อย
เขาจำเป็นต้องเพิ่มขุมกำลังของเผ่าเท่าที่จะทำได้ เรื่องนี้อาศัยแค่มนุษย์หมาป่าในเผ่าแค่สิบกว่าตัวคงทำไม่ได้ เขาไม่สามารถควบคุมอาณาเขตที่ใหญ่เกินไป ถึงอย่างไรการสะสางผลกรรมก็ไม่ควรจะมีเรื่องให้ห่วงหน้าพะวงหลัง
“สำหรับรางวัล ผู้ที่ให้กำเนิดลูกเยอะที่สุด ข้าจะช่วยให้คนผู้นั้นทำความเข้าใจพลังเกล็ดหิมะเอง” ด้วยการควบคุมพลังของเขาในตอนนี้ สามารถลดพลังเกล็ดหิมะลงเพื่อให้มันไหลเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์หมาป่าในเผ่าอย่างละเอียดอ่อน โดยไม่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้
เมื่อเป็นแบบนี้ ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ ขอแค่เป็นผู้มีสายเลือดด้านนี้ ต่อให้เป็นหมูก็สามารถปลุกพลังเกล็ดหิมะให้ตื่นตามกาลเวลาได้
ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ธุลีขาวเท่านั้น ยังมีหมาป่าเกล็ดหิมะตัวอื่นๆ ที่ออกมาเช่นกัน หลังจากลังเลเล็กน้อย พวกเขาก็ค่อยๆ หายหวาดกลัว สิ่งที่มาแทนที่คือความลิงโลดที่ควบคุมไม่ได้
บรู๊ว
บรู๊ว
บรู๊ว
เสียงหอนพุ่งสู่ฟากฟ้า ดังเบาสลับกัน
เผ่าหมาป่าทุ่งหญ้าและหมาป่าพงไพรมองเผ่าหมาป่าเกล็ดหิมะด้วยความอิจฉา การผงาดขึ้นของผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดสามารถนำพาความรุ่งเรืองมาให้เผ่าทั้งเผ่าได้อย่างแท้จริง
งูยักษ์ตาเดียวกับกิ้งก่าตาแดงหัวเราะแห้งตาม เออออไปตามบรรยากาศ
ตามปกติ หากเข้าอาณาเขตของผู้เข้มแข้งระดับภูติคนหนึ่ง จะต้องส่งของขวัญให้ก่อน จากนั้นค่อยขออนุญาตเข้าพบอยู่ไกลๆ ต่อมาหลังจากได้รับอนุญาตแล้ว จึงค่อยเข้าไปใกล้ในรัศมีพันหมี่ได้ ถัดมาจึงรอให้คนเชิญเข้าไปพบ ไหนเลยจะทะเล่อทะล่าพุ่งเข้ามาอย่างดุร้ายเหมือนกับพวกมันกัน
ผู้ที่อยู่ตรงหน้าจะไม่เอาความก็ได้ แต่ถ้าหากเวลานี้พวกมันรีบร้อนจากไป แล้วดันไปยั่วยุผู้เข้มแข็งท่านนี้เข้าล่ะก็…
“เอาล่ะ ข้ากับแขกสองคนจะคุยกันอย่างละเอียดสักหน่อย ที่นี่เล็กเกินไป ออกไปก่อนก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งหัวเราะ ก่อนใช้มือหนึ่งจับงูยักษ์ อีกมือหนึ่งขวางกิ้งก่ายักษ์ไว้ แล้วสาวเท้าเดินไปยังที่ไกล
ถ้าหากบอกว่าก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่าสัตว์ประหลาดสองตัวนี้มาอวยพรจริงๆ อย่างนั้นตอนนี้หากเห็นร่องรอยมากมายที่ทั้งสองตัวนี้จงใจอำพราง แล้วเขายังมองไม่ออกอีกว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้าย เขาก็คงใช้เวลาเป็นเจ้าสำนักมาหลายปีอย่างเสียเปล่าแล้ว
“มาๆๆ ทางนี้มีแม่น้ำ พวกเราไปดื่มชากัน” ลู่เซิ่งใช้มือจับพวกมันทั้งสองไว้คนละข้าง จากนั้นสัตว์ยักษ์ทั้งสองก็ถูกเขาลากตัวไปยังที่ไกล
หลังจากเดินตึงๆๆ ออกไปสิบกว่าก้าวเข้าสู่ป่าแล้ว เขาก็ใช้มือจับคออีกฝ่ายไว้ข้างละตัว แล้วยกร่างลอยขึ้น
“เอาล่ะ พวกเจ้าจงบอกมาตามตรงว่ามาทำอะไรกันแน่” ตอนนี้บนร่างลู่เซิ่งมีเกราะแข็งสีขาวบริสุทธิ์คลุมขึ้นมาชั้นหนึ่งด้วยความเร็วสูง เกราะอ่อนเป็นเกราะทั้งตัว เพียงเผยขนตรงฝ่ามือกับส่วนใบหน้าเล็กน้อยเท่านั้น ที่เหลือล้วนดูหนักอึ้งและหยาบกระด้างถึงขีดสุด
ส่วนศอกของเกราะมีลวดลายปีกที่งดงามสลักไว้ กลางหลังมีแท่งน้ำแข็งหยาบใหญ่ยื่นขึ้นสูงเหมือนกระบี่
งูยักษ์กับกิ้งก่ายักษ์คิดขัดขืนโดยสัญชาตญาณ แต่พอรู้สึกได้ถึงแรงอันมหาศาลที่เหนือกว่าตนเองบริเวณคอ และพลังเกล็ดหิมะอันน่ากลัวที่ลอยอยู่รอบๆ พวกมันก็เลือกยอมแพ้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“พวกเรา…พวกเราเพียงแค่มาดูว่าจะมีโอกาสหาของกินหรือไม่…” กิ้งก่ายักษ์กำลังจะหาข้ออ้าง งูยักษ์ก็บอกความจริงออกมาก่อน
“พวกเรารู้สึกได้ว่ามีคลื่นแผ่กระจายอยู่ ก็เลยคิดว่ามีสมบัติปรากฏขึ้น ดังนั้น…” งูยักษ์บอกเล่าความจริงอย่างซื่อสัตย์อย่างยิ่ง
“ดังนั้นจึงมาดูว่ามีโอกาสหรือไม่ใช่ไหม” ลู่เซิ่งเข้าใจในพริบตาว่าเจ้าสองตัวนี้มาทำอะไร
“ถูกต้อง…”
พอเห็นทั้งสองให้ความร่วมมือดีอย่างนี้ ลู่เซิ่งก็ไม่อยากลงมืออย่างอำมหิตอีก พอดีที่เผ่าอ่อนแอมากเกินไป จึงสามารถใช้สวะสองตัวนี้ให้เกิดประโยชน์ได้พอดี
“ข้าไม่สร้างความลำบากให้พวกเจ้าก็ได้ แต่พวกเจ้าต้องส่งสมบัติทุกอย่างที่ซ่อนไว้มา ข้าขอพวกที่มีอายุเยอะๆ นอกจากนี้ ให้หาเหยื่อส่วนหนึ่งมาให้เผ่าข้าด้วย” ลู่เซิ่งไม่อยากออกไปหาเหยื่อเองทั้งวัน
“ได้ขอรับๆ!” งูยักษ์กับกิ้งก่ายักษ์รีบพยักหน้า
ล้อเล่นหรือไง การล่วงเกินต่อภูตตนหนึ่งแล้วถูกกินล้วนเป็นเรื่องที่รวบรัดผ่อนคลาย ท่านที่อยู่ตรงหน้าใจกว้างเหลือล้น ถือว่าให้ความเมตาเป็นพิเศษแล้ว
“ตกลงตามนี้ พวกเจ้าไปซะ อย่าคิดหนี ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ลู่เซิ่งหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะปล่อยมือ
พลังเกล็ดหิมะที่มีความเข้มข้นสูงสองสายแอบเข้าไปในขอบหัวใจของเจ้าสองตัวนี้ พร้อมจะจุดปะทุได้ตลอดเวลา
พอมาถึงระดับของเขา การควบคุมพลังเกล็ดหิมะนอกร่าง ก็กลายเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ง่ายดายเหมือนกินข้าวดื่มน้ำแล้ว
พลังเกล็ดหิมะสองสายนี้มีตราประทับระดับภูติของเขาอยู่ด้วย นอกจากยอดฝีมือระดับเดียวกันลงมือ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครแก้ไขได้
“ทราบแล้วๆๆ!” หลังสัตว์ประหลาดสองตัวถูกปล่อย ก็รีบวิ่งเข้าป่ารกชัฏแบบไม่เลือกทิศทางทันที
ลู่เซิ่งไม่ขัดขวาง พลังเกล็ดหิมะความเข้มข้นสูงสองสายนั้นจะเคลื่อนไหวหนึ่งครั้งทุกๆ หนึ่งวัน ถ้าหากพวกมันไม่กลับมา มันจะระเบิดและทิ่มแทงหัวใจของพวกมันในวันที่สองทันที จากนั้นกระแสความเย็นความเข้มข้นสูงจะไหลตามหัวใจไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว และแทงทะลุทั่วร่างของพวกมันจนเหมือนเม่น
ลู่เซิ่งมองตามจนสัตว์ประหลาดสองตัวหายเข้าป่าไป จึงค่อยหมุนตัวกลับไปถึงหมู่บ้าน
มนุษย์หมาป่าในเผ่าหมาป่าเกล็ดหิมะอย่างพวกธุลีขาวจะต้องสงสัยมากแน่ว่า เขามาถึงระดับนี้ได้อย่างไร อาศัยแค่แผนผังโดยไม่มีทรัพยากร ไม่มีทางที่จะมีใครอยู่เฉยๆ แล้วเลื่อนมาถึงระดับนี้ได้
พวกเขาจะต้องมีการคาดเดา แต่ลู่เซิ่งไม่สนใจว่าพวกเขาจะเดาอย่างไร เขาแค่สะสางผลกรรมก็พอ ประวัติศาสตร์ย่อมมอบคำอธิบายที่สมเหตุสมผลให้แก่เขาเอง
หลายๆ ครั้ง เทียบกับตำนานเทพนิยายแล้ว ผู้คนเชื่อในหลักตรรกะและความสมเหตุสมผลมากกว่า ต่อให้เทพนิยายของจริงมาวางต่อหน้าพวกเขา ก็จะไม่มีคนเชื่ออยู่ดี
ลู่เซิ่งกลับมาถึงหมู่บ้าน ตอนนี้บ้านดินถูกทำลายไปแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องหาที่กักตนที่ใหญ่กว่าเดิม พอมาถึงระดับนี้ เขาเลยกวาดตามองอินเตอร์เฟซดีปบลู
[แผนผังพลังเกล็ดหิมะ: หมาป่าแห่งเหมันต์(ภูติ) (คุณสมบัติพิเศษ: ร่างตำนานระดับหนึ่ง, วิชาตำนานระดับหนึ่ง: ควบคุมความเย็น, วิชาเกราะน้ำแข็ง, เหมันต์คำราม, ประกายวิญญาณเย็นสุดขั้ว)]
‘นี่มันเป็นสิ่งมีชีวิตระดับตำนานในเรื่องเล่านวนิยายกับตำนานเทพนิยายทางตะวันตกที่เราเคยได้ยินมาในโลกเก่านี่นา’ ลู่เซิ่งพลันนึกถึงความทรงจำที่ผ่านมานานแล้ว ก่อนจะเข้าใจในทันที
เขาดูพลังอาวรณ์ จนกระทั่งถึงตอนนี้ได้ใช้ไปแล้วสามพันกว่าหน่อย ยังเหลืออีกเก้าหมื่นกว่า ถือว่าสิ้นเปลืองแล้ว แต่ดีที่ยังพอใช้อยู่
‘ก่อนหน้านี้ตอนที่เราเลื่อนเป็นผู้นำ มีผู้นำมาแสดงความยินดี ตอนนี้เรากลายเป็นภูตแล้ว น่าจะมีผู้เข้มแข็งระดับเดียวกันมาหา’ ลู่เซิ่งคาดเดา วางแผนจะรอดูสถานการณ์ก่อน
เขาถือโอกาสเรียกธุลีขาวมาซักถามสถานการณ์ของเผ่ารอบๆ
ธุลีขาวอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ถือเป็นมนุษย์หมาป่าชราวัยวุฒิสูงสุดของเผ่าหมาป่าเกล็ดหิมะ จึงมีความรู้กว้างขวาง
“ใกล้ๆ นี้มีเผ่าพิเศษอะไรบ้าง เอาเป็นเผ่าใหญ่ๆ ที่แข็งแกร่งกว่าพวกเหยี่ยวเหล็กสี่ปีกก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นที่ว่างด้านข้างหมู่บ้าน พร้อมกับซักถามมนุษย์หมาป่าชราที่สูงไม่ถึงหัวเข่าของเขา
……………………………………….