ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 545 วางแผน (1)
บทที่ 545 วางแผน (1)
เสียงวัตถุขนาดยักษ์มากมายสั่นสะเทือนพื้นดิน มะลิก็ดี มังกรลมก็ดี ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็ถูกวิชาในตำนานระดับสูงนี้จัดการโดยสมบูรณ์
มหาภูตเป็นระดับที่ดำรงอยู่แค่ในตำนานและภาพลวงตาเท่านั้น ผู้ที่ใช้วิชาทางสายเลือดต่างเป็นผู้เข้มแข็งที่สร้างภัยพิบัติฟ้าขึ้นได้แทบทั้งสิ้น
ยิ่งอย่าว่าแต่สัตว์ประหลาดที่พัฒนาสภาพที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุดผ่านการวิวัฒนาการแผนผังอย่างลู่เซิ่ง
เขาที่ครอบครองจิตวิญญาณระดับเจ้าแห่งอาวุธขั้นเทวปัญญามีความได้เปรียบที่สัตว์ประหลาดระดับตำนานขั้นสูงตัวอื่นๆ ไม่อาจเลียนแบบได้ นั่นก็คือเขามีการช่วยเหลือจากจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยมตอนอยู่ในระดับต่ำ กอปรกับเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูเติมพลังอาวรณ์ให้อย่างเต็มที่ เมื่อมาถึงระดับนี้จึงค่อยเกิดการเลื่อนขั้นขึ้นเนื่องจากรองรับการยกระดับพลังไม่ไหวอีกต่อไป
ความได้เปรียบในการยกระดับรูปแบบนี้แสดงออกมาให้เห็นอย่างเต็มที่ผ่านศีรษะเก้าข้างของลู่เซิ่ง
ไม่พูดถึงอย่างอื่น ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดระดับตำนานขั้นสูงในเรื่องเล่าขานก็ไม่ได้รอจนกระทั่งถึงขั้นเก้าของระดับตำนานจึงค่อยเลื่อนสู่ขั้นสูง ปกติแล้วต่างก็ต้องรีบยกระดับขึ้นเพราะขีดจำกัดทางอายุขัยในตอนอยู่ในขั้นสี่และขั้นสามทั้งนั้น
ถ้าหากเวลานี้ยังยกระดับไม่ได้ เช่นนั้นภายหลังก็จะตายไปเพราะขีดจำกัดทางอายุขัย
หากอนุมานตามเหตุผลและหลักการ ระดับตำนานก็คือระดับหนึ่ง ซึ่งสามารถไปถึงขอบเขตสมบูรณ์ที่ไม่อาจยกระดับไปมากกว่านี้ได้อีก
แต่นี่ต้องฝึกฝนเป็นเวลายาวนาน นอกเสียจากว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่อยู่ได้ถึงหนึ่งหมื่นปี ทุกๆ ขั้นของเก้าขั้นในระดับตำนานจะต้องดูดซับธาตุตามธรรมชาติมาเติมเต็มตัวเองอย่างน้อยหนึ่งพันปี หมายความว่าเก้าขั้นต้องใช้เวลาเก้าพันปี
และสิ่งมีชีวิตที่อยู่ได้ถึงหมื่นปีก็ต้องทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปกับการดูดพลังธาตุตลอดเวลาโดยไม่แบ่งแยกสมาธิด้วย
ซึ่งไม่มีทางที่จะมีใครทำได้
สิ่งมีชีวิตที่อยู่ได้ถึงหนึ่งหมื่นปีไม่สามารถทุ่มเทสมาธิและเวลาทั้งหมดไปกับเรื่องนี้ได้
ดังนั้นลู่เซิ่งเลยบรรลุถึงจุดสูงสุดของสิ่งมีชีวิตระดับตำนานขั้นสูงโดยไม่รู้ตัว
‘จบแล้วเหรอ’ ลู่เซิ่งมองทิศทางของต้นเสียง เขาเพิ่งจะใช้วิชาทางพรสวรรค์วิชาเดียว วิชาทางพรสวรรค์นี้ใช้ได้วันละครั้ง โดยเสียพลังกายราวๆ สองส่วน
แต่ก็ไม่เป็นไร ต่อให้ไม่มีเหมันต์ราตรีคำราม ก็ยังมีวิชาอื่นอยู่อีก หากยังไม่พออีก แค่เขากัดขย้ำก็สามารถสร้างความเสียหายเป็นแปดเท่าของหมาป่าราตรีเหมันต์ทั่วไปได้แล้ว
‘หรือว่าจะจงใจแกล้งตายเพื่อวางกับดัก’ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าสุดยอดผู้เข้มแข็งบนโลกใบนี้ ไม่ว่าอยางไรก็ไม่น่าจะไร้พลังขนาดนี้
เขารอที่เดิมสักพัก พอเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อยจริงๆ จึงค่อยเข้าไปใกล้จุดตกอย่างช้าๆ
เสียงวัตถุหนักที่หนาแน่นเมื่อครู่ทำให้เขาแยกแยะออกอย่างง่ายดายว่าเจ้าพวกนี้ตกตรงไหน
หลังจากเดินเป็นระยะทางราวสองสามพันหมี่ ลู่เซิ่งก็เห็นป่าสีขาวหิมะที่ถูกกระแทกเป็นหลุมมากมายอย่างรวดเร็ว
ป่าทั้งป่ามีเกล็ดหิมะสีขาวผืนหนาปกคลุมจนทั่ว แถมยังมีหลุมดาวตกขนาดต่างๆ กระจัดกระจายเต็มไปหมด ด้านในหลุมมีมังกรยักษ์สีเขียวหลายตัวที่ร่างแข็งจนขยับเขยื้อนไม่ได้นอนอยู่
มังกรยักษ์สีฟ้าซึ่งยาวสิบกว่าหมี่ตัวหนึ่งที่อยู่ตรงกลางสุด ดึงดูดความสนใจของลู่เซิ่งในพริบตา
มังกรตัวนี้มีเกล็ดเป็นสีฟ้าครามเหมือนท้องฟ้า สะอาดบริสุทธิ์ ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไปจนถึงปีกและเขา ทั้งหมดล้วนเป็นสีฟ้าเหมือนกันหมด
ร่างที่ยาวสิบกว่าหมี่ของมันนอนแผ่อยู่บนพื้น ต้นไม้ใหญ่เกือบหกต้นหักโค่นลงกับพื้น
มันลืมตาโต ทำให้เห็นลวดลายสีฟ้าที่แตกซ่านได้จากในม่านตาสีฟ้าของมันอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งเข้าไปใกล้เล็กน้อย พร้อมเหลียวมองมังกรเขียวที่นอนระเกะระกะโดยไร้ลมหายใจอยู่รอบๆ มังกรเขียวที่ใหญ่แค่ครึ่งหนึ่งของเขาเหล่านี้ไม่สามารถทำให้เขาสนใจได้ ในทางกลับกันมังกรฟ้าที่อยู่ตรงกลางตัวนั้นกลับทำให้เขาประหลาดใจอย่างยิ่ง
ไม่ใช่เพราะสิ่งใดอื่น หากเป็นเพราะ สายตาของเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า มังกรฟ้าตัวนี้ยังไม่ตาย
‘หรือว่ามังกรศักดิ์สิทธิ์ที่ธุลีขาวพูดถึงจะเป็นเจ้าตัวนี้’ ลู่เซิ่งรู้สึกว่ามังกรตัวนี้มีคุณสมบัติต้านทานเหนือธรรมดา ขนาดตัวเขาก็ยังรู้สึกคาดไม่ถึงกับอานุภาพของราตรีเหมันต์คำราม แต่มังกรตัวนี้กลับยังไม่ตาย
แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพลังชีวิตและคุณสมบัติต้านทาน
ลู่เซิ่งแบกศีรษะหมาป่าทั้งเก้าเดินวนรอบมังกรศักดิ์สิทธิ์ วิชาแก่นพลังที่เขาสร้างขาดแก่นพลังสำรองอยู่พอดี ร่างพวกนี้ใช้แก้ปัญหาเล็กๆ นี้ได้แล้ว
‘กินมังกรเขียวก็ก่อนแล้วกัน’ ลู่เซิ่งไตร่ตรอง ก่อนจะลากมังกรเขียวมาตัวหนึ่ง พลางขบคิดว่าจะเริ่มกินจากส่วนไหนดี
วิชาแก่นพลังจำเป็นต้องสำรองพลังงานจากอาหาร ดังนั้นอันดับแรกเขาจะต้องเปลี่ยนมังกรเหล่านี้ให้กลายเป็นอาหารก่อน
สิ่งมีชีวิตโบราณหายากอย่างเผ่ามารเขายังกินมาแล้ว ร่างมังกรเขียวเป็นเนื้อแช่แข็งที่ชิ้นใหญ่หน่อยก็เท่านั้น แค่หลับตาเคี้ยวๆ ก็ใช้ได้แล้ว
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิลงข้างร่างมังกรเขียว แล้วใช้มือตัดร่างเป็นท่อนๆ พร้อมกับยัดใส่ปากทั้งอย่างนั้น
รสชาติของมังกรเขียวหลังจากแช่แข็งเหมือนกับไอศกรีมรสเค็ม ไม่ได้อร่อยเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะถูกแช่แข็งจนเปราะเกินไป ไม่ทันไรก็ถูกปากเก้าข้างของลู่เซิ่งแบ่งกินจนหมด
พอโคจรวิชาแก่นพลัง ความเร็วในการย่อยสลายของเขาก็สูงสุดขีด เพิ่งจะกินลงท้อง ก็ถูกวิชาแก่นพลังย่อยกลายเป็นพลังงานสำรองทันที
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ลู่เซิ่งนั่งกินอย่างตะกรุมตะกรามอยู่กลางฝูงมังกร แก่นพลังสำรองของวิชาแก่นพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มังกรเขียวสิบกว่าตัวถูกเขาแบ่งส่วนเสร็จอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งกลายเป็นพลังงานถูกกินลงท้อง ส่วนที่เหลืออยู่ถูกเก็บเอาไว้ รอภายหลังค่อยกินใหม่
นอกจากนี้พวกชุดเกราะและของเล็กๆ น้อยๆ ที่มังกรเขียวพกติดตัวก็ถูกลู่เซิ่งเก็บไปเช่นกัน ของบางส่วนในนี้มีพลังอาวรณ์จำนวนมากอยู่ด้วย ทำให้เขาได้คืนทุนเล็กน้อย โดยเก็บพลังอาวรณ์ได้ราวหนึ่งพันกว่าหน่วย
หลังจัดการร่างมังกรเขียวจนเสร็จ ลู่เซิ่งค่อยมองมังกรสีฟ้าที่อยู่ตรงกลางเป็นครั้งสุดท้าย
มังกรสีฟ้าตัวนี้ยังมีลมหายใจอยู่แต่เป็นการเต้นของหัวใจที่อ่อนแรง
ลู่เซิ่งครุ่นคิดเล็กน้อย ไม่ได้กินนางในทันที หากแต่แบ่งมังกรเขียวออกเป็นก้อนเนื้อมากมาย จากนั้นก็ฝังไว้ใต้ดิน เมื่อมีประกายวิญญาณเย็นเยียบของเขาอยู่ด้วย ทั้งยังมีวิญญาณร่วมทางชนิดนั้นคอยเฝ้า ปกติต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผู้นำ ก็ไม่กล้าวู่วามเข้าใกล้ที่นี่เช่นกัน
พอจัดการมังกรเขียวเสร็จ ลู่เซิ่งก็ลากมังกรสีฟ้าไปยังหมู่บ้าน
หลังจากยกระดับมาถึงขั้นนี้ เขาก็รู้สึกได้ว่าบรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว พลังอาวรณ์พอไม่พอเป็นอีกเรื่อง สำคัญที่เมื่อมาถึงระดับมหาภูต หากจะขึ้นไปอีก การเรียนรู้ตามแผนผังอย่างเดียวเหมือนจะไม่พอใช้แล้ว
คล้ายกับขาดเงื่อนไขสำคัญบางส่วนไป ทำให้เขาไม่อาจยกระดับไปสูงกว่านี้ได้อีก
เขายังไม่รู้ว่าขาดอะไรไปกันแน่ จึงได้แต่กินก้อนเนื้ออย่างต่อเนื่อง เพื่อสำรองมันเป็นแก่นพลังสำหรับรอใช้ในภายหลัง
ตอนที่เขาลากมังกรศักดิ์สิทธิ์มะลิกลับไปใกล้ๆ หมู่บ้าน ทั่วทั้งหมู่บ้านก็เกิดความปั่นป่วนขึ้น ไม่ใช่แค่ธุลีขาวเท่านั้น หมาป่าทั้งหมดต่างก็สัมผัสได้ถึงอานุภาพมังกรอันน่าสะพรึงกลัวและล้ำลึกจากตัวของสิ่งมีชีวิตอันยิ่งใหญ่
ต่อให้มังกรสีฟ้าที่ยาวถึงสิบกว่าหมี่ตัวนี้จะนอนหายใจรวยริน ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความสูงส่งรวมถึงการดูแคลนทุกสรรพสิ่งโดยกำเนิด
ส่วนศีรษะเก้าข้างของลู่เซิ่งยิ่งทำให้หมาป่าทั้งหมดถอนใจอย่างน่าทึ่ง และพากันยำเกรงยิ่งกว่าเดิม
ดีที่ธุลีขาวควบคุมฝูงมนุษย์หมาป่าไว้ได้ และหลังจากเข้าไปปรึกษากับลู่เซิ่งอย่างละเอียด สองคนก็ตัดสินใจบุกเบิกที่ว่างแห่งหนึ่งในชั้นนอกหมู่บ้าน เพื่อให้ลู่เซิ่งเข้าไปอยู่อาศัย
ส่วนมังกรสีฟ้าตัวนั้น ลู่เซิ่งยังคิดจะศึกษาดูก่อน เลยไม่ได้กินทันที
เขาลากมังกรสีฟ้ามาถึงป่าเล็กๆ ที่ใช้ฝึกฝนเมื่อก่อนหน้านี้
ราตรีเหมันต์มาถึงหมู่บ้านเช่นกัน เพียงแต่ภายใต้การควบคุมอันแม่นยำ จึงไม่ได้ทำให้หมาป่าธรรมดาเหล่านี้โดนลูกหลงไปด้วย
ทว่าราตรีเหมันต์คำรามที่กินพื้นที่ไพศาลก็ได้สร้างความแตกตื่นให้แก่เผ่าพันธ์ขนาดต่างๆ ที่อยู่รอบๆ
ฝูงแรดมังกรดินมองดูทางนี้อยู่ไกลๆ ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของราชา เหมือนต้องการหลบภัย
ไม่ว่าอย่างไร ลู่เซิ่งก็ผงาดขึ้นเร็วเกินไปจนไม่อาจทำความเข้าใจได้ เผ่าพันธุ์ในหุบเขาที่หลบหนีอย่างแรดมังกรดินมีอยู่ไม่น้อย ทางบึงมังกรพิษก็มีมังกรพิษจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ตกใจจนบินเตลิดไปสิบกว่าตัวเพราะราตรีเหมันต์คำรามที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่
หลังจากทิ้งมังกรศักดิ์สิทธิ์ไว้ใกล้ๆ หมู่บ้านแล้ว ลู่เซิ่งก็ลาดตระเวนรอบๆ เพียงลำพัง ไม่นานนักเขาก็ค้นพบกลุ่มสิ่งก่อสร้างสีดำที่บูรณะเรียบร้อยดีบนหน้าผาข้างเหวลึกแห่งหนึ่งทางใต้ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นซากโบราณสถาน
หลังจากปรึกษากับพวกธุลีขาว ลู่เซิ่งก็สั่งให้ทุกคนย้ายเข้าไปในซากโบราณสถานแห่งนี้
ส่วนข่าวอันสะท้านสะเทือนอย่างการสิ้นสูญของมังกรลมที่มังกรศักดิ์สิทธิ์มะลิเป็นผู้นำ ก็ได้กระจายไปทั่วภูเขาอย่างรวดเร็วเหมือนกับพายุ
…
“มะลิ…” ในตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์ มังกรศักดิ์สิทธิ์สามตาสัมผัสอย่างงุนงงได้ว่ากลิ่นอายของบริวารหายไปแล้ว ในใจเกิดความผิดหวังที่อธิบายไม่ถูก
“เพราะข้าประมาท…” มังกรศักดิ์สิทธิ์สามตาถอนใจยาว “ที่ประเมินพลังตามความเป็นจริงของกลิ่นอายก้อนนั้นไม่ออก ทำให้คนในเผ่าตายไป นี่เป็นความผิดของข้าเอง”
มังกรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเจ็ดตัวพากันหมอบคุดคู้อยู่บนพื้นใต้ตำหนัก บนตัวมังกรศักดิ์สิทธิ์แต่ละตัวปรากฏกลิ่นอายโศกเศร้าอย่างเลือนราง
ฝูงมังกรศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนน้อยสุดขีดอยู่แล้ว เมื่อบวกกับราชามังกรที่อยู่ในบริเวณด้วย มังกรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดแปดตัวก็คือจำนวนทั้งหมดในภูเขาแห่งนี้
ตอนนี้เสียสหายไป นี่ไม่เพียงทำให้มังกรศักดิ์สิทธิ์สามตาโกรธแค้นและเศร้าโศกเป็นพิเศษเท่านั้น มังกรในเผ่าทั้งหมดต่างก็เจ็บปวดใจเช่นกัน
พวกมันต่างก็เป็นมังกรที่อยู่มาอย่างน้อยพันปี จู่ๆ มิตรภาพจากการร่วมทางมากกว่าพันปีก็หายไป ไม่ว่าใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้น
ในตำหนักมังกรสีขาวแกมฟ้า มังกรศักดิ์สิทธิ์สามตากวาดตามองมังกรในเผ่าที่หมอบอยู่ด้านล่าง
“นี่คือสงคราม!” เสียงของนางพลันเคร่งขรึมขึ้น
“ผู้เข้มแข็งที่ไม่ทราบว่าแอบเข้ามาในภูเขาตอนไหนผู้นี้ได้ฆ่ามะลิ ฆ่าหนึ่งในแขนซ้ายแขนขวาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของข้าในสถานการณ์ที่ปกปิดพลังของตัวเอง!” ราชามังกรศักดิ์สิทธิ์เร่งเสียงขึ้น
นางเจ็บปวดใจเช่นกัน แต่อายุขัยที่ยาวนานเกินไปทำนางไม่อาจดำดิ่งในความเจ็บปวดอย่างล้ำลึกได้
“ข้าต้องคุ้มครองน้ำพุเหมันต์นิรันดร์ ไม่สามารถขยับตัวได้ตามใจ ปัญหานี้จึงต้องการให้ทุกคนจัดการแทน มีใครยินยอมรับภาระนี้หรือไม่” นางใช้ดวงตาขนาดใหญ่กวาดมองด้านล่าง
มังกรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดแลกสายตากัน มังกรที่แข็งแกร่งและสูงใหญ่ที่สุดในนี้ลุกขึ้นช้าๆ
“ข้า ดวงดาวสีเทา ยินยอมไปจัดการมือสังหาร เพื่อคืนความสงบให้แก่แดนศักดิ์สิทธิ์”
มังกรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้แตกต่างจากมังกรศักดิ์สิทธิ์ตัวอื่น ทรวงอกของมันมีลวดลายสามเหลี่ยมเล็กๆ ติดอยู่ ลวดลายนี้เหมือนกับบาดแผล และเหมือนกับลวดลายที่เกิดขึ้นจากการเติบโตทางธรรมชาติ สามเหลี่ยมซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ จนเล็กลงเรื่อยๆ ตรงกลางสุดเป็นสีดำเล็กๆ จุดหนึ่ง จุดนี้คล้ายกับฝังคริสตัลสีดำเอาไว้
“ดาวสีเทา ฝากเจ้าจัดการได้ ข้าก็วางใจ เจ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรในเผ่าของพวกเรา ขอให้บอกมาได้อย่างเต็มที่” มังกรศักดิ์สิทธิ์สามตากล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ข้าไม่ต้องการการช่วยเหลือใดๆ ขอนำมังกรภูตในสังกัดไปถอนรากถอนโคนมือสังหาร ขอให้ฝ่าบาทตั้งตาคอยได้เลย” ดาวสีเทากล่าวเสียงกังวานด้วยความจริงจัง
ในฐานะผู้นำ ภายในฝูงมังกรศักดิ์สิทธิ์มีการแบ่งเป็นขุมอำนาจต่างๆ ขุมอำนาจเหล่านี้มีเผ่าหลายเผ่าพึ่งพิง และเผ่าที่พึ่งพิงดาวสีเทาก็คือฝูงมังกรภูตที่มีวิชาเหี้ยมหาญถึงขีดสุด
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอข่าวดีจากเจ้า” มังกรศักดิ์สิทธิ์สามตาเอ่ยเสียงขรึม
นางเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำให้นางผิดหวัง
……………………………………….