ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 547 ทัพใหญ่ (1)
บทที่ 547 ทัพใหญ่ (1)
บนทุ่งหญ้าสีเหลืองอันไพศาลด้านนอกเทือกเขาทุ่งเขียว พุ่มหญ้าอ่อนหนุ่มเหมือนแผงคอสิงโตพัดตามลมเป็นระยะ
ครืน…
บนทุ่งหญ้าไกลออกไปพลันมีเสียงสั่นสะเทือนดังมาเบาๆ
พร้อมกับที่ระยะห่างยิ่งมายิ่งใกล้ เส้นสีเทากลุ่มใหญ่ปรากฏขึ้นตรงเส้นขอบฟ้า พุ่งตะบึงมาทางเทือกเขาทุ่งเขียว
สัตว์ป่าขนาดยักษ์ที่เหมือนกับแรดสวมเกราะโลหะสีเงินหนา ทุกตัวสูงห้าหมี่ ส่งเสียงคำรามตลอดเวลาที่พุ่งตะบึงมา
มนุษย์เพลิงสีแดงสูงสองหมี่กว่าๆ หลายคนบินอยู่กลางท้องฟ้า พวกเขาพุ่งทะลวงอยู่แนวหน้าพร้อมกับสัตว์สงคราม คอยปล่อยเปลวเพลิงหลายสายใส่พื้นเพื่อเผาอาณาเขตทั้งหมดที่ข้ามผ่าน
บนพื้นบริเวณช่องว่างระหว่างสัตว์สงคราม มีมนุษย์ครึ่งสัตว์สวมเกราะสีเทากลุ่มใหญ่วิ่งอยู่
พวกเขาเผยศีรษะกับกล้ามเนื้ออันกำยำออกมาด้านนอก ผิวที่ไม่ได้ปิดไว้มีลวดลายสีแดงหลายสายเรืองแสงสีแดงอยู่
มนุษย์ครึ่งสัตว์เหล่านั้นมีฟันที่น่ากลัวยื่นออกมาจากริมฝีปีก ผิวเป็นสีเหลืองอมเขียว หยาบกระด้างและมีแต่รอยย่น ส่วนใหญ่ถือโล่กลมกับขวานเหล็กไว้ในมือ มีอยู่ส่วนน้อยที่ถือหอกยาวน้ำหนักมากด้วยมือสองข้าง
โอ้!
มนุษย์ครึ่งสัตว์ร่างสูงใหญ่ใส่เสื้อคลุมสีดำคนหนึ่งเงยหน้าคำรามอยู่บนเนินเขาลูกย่อมๆ เขาสูงกว่ามนุษย์กึ่งสัตว์ทั่วไปไม่น้อย ใส่เกราะสีแดงเข้มที่ทรุดโทรมแล้ว สักลายรูปดวงอาทิตย์สีดำไว้บนแขน
“ข้า ผู้ขับไล่อาทิตย์ อ้ายเปิ่นฮาเกิน! ได้มาตามข้อตกลงแล้ว!” มนุษย์ครึ่งสัตว์คำรามไปทางท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
เสียงของเขาเหมือนมีเสียงสายฟ้าแทรกอยู่ ดังสะท้อนกลางอากาศอยู่เนิ่นนาน
ทัพใหญ่พุ่งผ่านข้างตัวเขาไปยังภูเขา แต่ผู้ขับไล่อาทิตย์ยังคงไม่สนใจ เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้าเท่านั้น
วูบ…
อยู่ๆ ก็มีจุดสีดำจุดหนึ่งปรากฏกลางท้องฟ้า
ถัดจากนั้นก็ขยายกลายเป็นปานสีดำขนาดเท่าลูกหนัง ปานสีดำพลันขยายใหญ่อีกครั้ง แล้วฉีกออกเป็นร่องแยกที่ทั้งลึกทั้งใหญ่เหมือนกับดวงตาของยักษ์
ร่องแยกขนาดใหญ่โตที่ยาวยี่สิบกว่าหมี่โผล่ขึ้นเหนือทุ่งหญ้าอย่างฉับพลัน พลันดูดกระแสอากาศนับไม่ถ้วนให้ทะลักเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
กระแสลมรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว สัตว์ยักษ์และมนุษย์ครึ่งสัตว์จำนวนไม่น้อยพากันเงยหน้ามองท้องฟ้า
ฟ้าว!
ทันใดนั้นก็มีเงาดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากร่องแยก ก่อนจะขยายขนาดขึ้นเหนือทุ่งหญ้าอย่างฉับพลัน
พรึ่บ!
ปีกขนาดยักษ์ที่กว้างถึงยี่สิบกว่าหมี่สยายออก ตามมาด้วยควันสีเทาเข้มข้นจำนวนมาก เพียงพริบตาเท่านั้นเงาดำก็ปรากฏร่างขึ้น
นั่นเป็นมังกรสีดำสนิทขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง
“ราชาแห่งขี้เถ้า…” ผู้ขับไล่ตะเบ็งเสียง “ข้ามาตามคำสัญญาแล้ว! ถึงรอบท่านแล้ว!”
มังกรดำมีดวงตาสามดวงที่แปลกประหลาด ดวงตาสามข้างฝังอยู่กลางใบหน้าของเขาในลักษณะด้านบนหนึ่งดวงด้านล่างสองดวง เหมือนกับทับทิมที่เจิดจรัสแวววาวสามก้อน
“มาเริ่มกันเลย…เขตศักดิ์สิทธิ์ ควรเปลี่ยนเจ้าของได้แล้ว…” เสียงทุ้มต่ำของเขาแทรกด้วยเสียงคำรามทอดยาว
ซู่ๆ…
ด้านในร่องแยกสีดำด้านหลังเขามีเสียงแทรกเบาๆ ดังมาอย่างต่อเนื่อง
แกว๊ก!
ทันใดนั้นนกประหลาดสีดำที่มีปีกสี่ข้างตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากร่องแยกพร้อมกับร้องเสียงแหลม นกประหลาดตัวนี้ไม่มีดวงตา ส่วนศีรษะมีแค่ฟันเท่านั้นที่ยึดครองตำแหน่งทั้งหมดไป
พอนกสีดำพุ่งออกมา เงาดำนับไม่ถ้วนก็กรูตามออกมาจากร่องแยก
นกประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกจากร่องแยกอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นมุ่งสู่เทือกเขาทุ่งหญ้าตามทัพใหญ่เบื้องล่าง
…
ตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์
“มาแล้ว” มังกรศักดิ์สิทธิ์สามตาค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วมองไปยังท้องฟ้าไกลด้วยสายตาเคร่งขรึม “ข้าได้กลิ่นของเจ้าขี้เถ้าแล้ว”
“ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ยังมีกลิ่นอายอื่นๆ อยู่ด้วย” มังกรศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่งที่อยู่เบื้องล่างเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“เป็นสี่เผ่าอาทิตย์แผดเผา…” มังกรศักดิ์สิทธิ์สามตาเยือกเย็นลง “ดาวสีเทาเล่า”
“เตรียมตัวเสร็จแล้วขอรับ กำลังจะออกเดินทางแล้ว” มังกรศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่งตอบ
“ให้เขารอก่อน ทิศทางการบุกของเจ้าขี้เถ้าอยู่ตรงนั้นพอดี ข้าจะถอนการป้องกันอาณาเขตแห่งนั้นออก” มังกรศักดิ์สิทธิ์สามตาสั่ง
“เอ่อ…ขอรับ”
มังกรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดต่างเดาแผนการของราชาออกแล้ว
ทิศทางการเคลื่อนที่ของทัพขี้เถ้าต้องผ่านสามด่านพอดี สามด่านของเขตศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แบ่งเป็นหุบเขาอรุณสายัณห์ หุบเขาจันทร์มาร และบึงมังกรพิษ
หรือก็หมายความว่า ที่สุดท้ายเป็นที่อยู่ของปัญหาเมื่อก่อนหน้านั้นพอดี
“ด้วยนิสัยของทัพขี้เถ้า ไม่กลัวพวกเขาจะร่วมมือกันหรือขอรับ” มังกรศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่งกล่าวอย่างเป็นห่วง
แผนการไล่หมาป่ากินเสือนี้ เกิดว่าอีกฝ่ายฉวยโอกาสจะไม่ดีแล้ว
“ไม่เป็นไร เดิมทีเขตนั้นก็ป้องกันไว้ไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้แยกทัพไปก็ไม่ทันอยู่ดี” มังกรศักดิ์สิทธิ์อีกตัวกล่าวอย่างเชื่องช้า
…
ใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน ลู่เซิ่งก็สยบเผ่าพันธุ์ที่อยู่รอบๆ ได้ทั้งหมด นอกจากเขตที่ยักษ์เนินเขาอยู่ สถานที่อื่นล้วนเข้าสู่การปกครองของเผ่าเกล็ดหิมะแล้ว
เผ่าเกล็ดหิมะกลายเป็นราชันในรัศมีพันลี้อย่างสมศักดิ์ศรีด้วยจำนวนมนุษย์หมาป่าในเผ่าเพียงสิบกว่าตัว
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาสงสัยอยู่บ้างก็คือ ก่อนหน้านี้ได้ยินข่าวบอกว่ามีมังกรศักดิ์สิทธิ์บินจากตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์มาทางเขาเป็นจำนวนมาก แต่รออยู่พักหนึ่งก็ยังไม่เห็นใครเข้ามาใกล้
นี่ทำให้ลู่เซิ่งเกิดความสงสัย
เวลาเที่ยงในวันต่อมา เขารวมผู้นำของเผ่าซึ่งอยู่ใกล้ๆ ทั้งหมดในโถงใหญ่ของที่อยู่แห่งใหม่
ราชามังกรพิษ ราชาหมาป่าทุ่งหญ้า ราชาหมาป่าพงไพร ราชาแมงป่องสามหาง ราชาหมียักษ์ และผู้นำจากเผ่าเล็กๆ อีกส่วนหนึ่ง ถูกพามารวมตัวกัน
ด้านในโถงใหญ่ของโบราณสถานมีเสาหินทรงกลมสีดำสูงใหญ่หลายต้นคอยค้ำยันส่วนบนเอาไว้
ลู่เซิ่งนั่งอยู่กลางเสากลม หัวหน้าเผ่าอื่นๆ แยกกันอยู่สองฟากข้าง นอกจากนี้ยังมีกิ้งก่ายักษ์ตาแดงกับงูเขาเดียวที่เป็นยอดผู้นำด้วย
“นอกจากบึงมังกรพิษแล้ว คนอื่นนำแผนผังมาหมดแล้วกระมัง” ร่างกายมหึมาที่สูงถึงสิบหมี่กว่าๆ ของลู่เซิ่ง ต่อให้นั่งลงแล้วก็ยังสูงถึงหกเจ็ดหมี่อยู่ดี ความสูงนี้ทำให้เขาเหมือนกับผู้ใหญ่อยู่ต่อหน้าเด็กเมื่อหันหน้าเข้าหาหัวหน้าเผ่าตัวอื่นๆ
เหล่าหัวหน้าเผ่านำแผนผังสืบทอดในเผ่าของตัวเองออกมาอย่างว่าง่าย ผ้าขี้ริ้วหลายกองถูกวางลงด้านหน้าลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง
เขากวาดตามองดู ทั้งหมดล้วนคล้ายๆ กัน คือเป็นระบบที่มีลวดลายโอบล้อมและมีเทวลักษณ์เป็นโครงสร้าง
“ธุลีขาว ตอนนี้มีคนในเผ่ากี่คนแล้วที่บรรลุพลังเกล็ดหิมะ” เขาถาม
ธุลีขาวเดินออกมากล่าวอย่างนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท มีคนในเผ่าทั้งหมดสามคนบรรลุพลังเกล็ดหิมะแล้ว ตอนนี้กำลังเชื่อมโยงผลกระทบเพิ่มเติมตามคำสั่งเมื่อก่อนหน้านี้ของฝ่าบาทอยู่”
“อือ” ลู่เซิ่งมองไปยังหัวหน้าเผ่าเผ่าอื่น “ข้าไม่พูดวาจาไร้สาระ ในเมื่อเป็นพวกเดียวกับข้าแล้ว ต่อจากนี้ให้พวกเจ้าทุกเผ่าเลือกหัวกะทิส่วนหนึ่งออกมา ข้าจะสร้างกลุ่มลาดตระเวนเพื่อใช้ลาดตระเวนอาณาเขตทุกวันขึ้น”
หากจะทำให้ความปรารถนาของกระดูกดำเป็นจริง ย่อมต้องสร้างความมั่นคงให้แก่อาณาเขตที่เพิ่งยึดได้ ตอนนี้เขาใช้พลังข่มขวัญและควบคุมพวกหัวหน้าเผ่าไว้หมดแล้วก็จริง แต่เกิดว่ามีพลังจากภายนอกที่แข็งแกร่งกว่าแทรกแซง พวกเขาจะต้องทรยศโดยไม่ลังเลอย่างแน่นอน
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงจำเป็นต้องหาวิธีการมาควบคุมเผ่าเหล่านี้
“ฝ่าบาทกระดูกดำที่เคารพ ความหมายของท่านก็คือ ให้พวกเราสร้างกลุ่มลาดตระเวนขึ้นเพื่อลาดตระเวนอาณาเขตรอบๆ กันเองหรือ” หัวหน้าเผ่าหมียักษ์ถามเสียงทุ้ม
“ถูกต้อง ข้าต้องการให้พวกเจ้าสร้างกองทัพอีกทัพหนึ่งเพื่อรับมือทัพมากมายใต้อาณัติของตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่อยากจะให้ด้านหลังมีคนในเผ่าถูกจับมาข่มขู่ในตอนที่ข้ากำลังทำศึกกับตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ
ความจริงกลุ่มที่มีพลังสูงสุดใต้อาณัติของเขาในตอนนี้มีอยู่สามเผ่าด้วยกัน ได้แก่ เผ่าหมียักษ์ เผ่าแมงป่องสามหาง รวมถึงเผ่ามังกรพิษ
เมื่อมีทัพพันธมิตรที่ทั้งสามฝ่ายนี้สร้างขึ้น บวกกับมีเขาคอยคุ้มครอง ต่อให้ฝูงมังกรจะบุกมาโจมตีเหมือนในครั้งก่อน เขาก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรภารกิจหลักของทัพพันธมิตรเหล่านี้ก็คือการปกป้องมนุษย์หมาป่าในเผ่า
“เรื่องนี้เผ่าเราจะสนับสนุนสุดกำลัง!” หัวหน้าเผ่าแมงป่องส่ายกล้ามยักษ์สีม่วงอ่อนพลางกล่าว “แค้นในครั้งนั้น พวกเราจะต้องทวงคืนให้ได้! แน่นอนว่าถ้าฝ่าบาทพ่ายแพ้ ก็อย่าโทษพวกเราถอยหนีกันเองเล่า”
เผ่าแมงป่องสามหางเป็นเผ่าเดียวที่สวามิภักดิ์กับลู่เซิ่งเอง ความจริงพวกเขาเป็นอาชญากรประกาศจับชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่ตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์ตามล่าตัว
ในอดีตเป็นเพราะไล่ล่าเผ่าพันธุ์รอบๆ หลายครั้ง ถึงขั้นทำให้เผ่าหลายเผ่าสูญพันธุ์ หลังได้รับการแจ้งเตือน ไม่เพียงไม่ทำตัวสงบเสงี่ยม กลับเหิมเกริมยิ่งกว่าเดิม
“นี่ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำสั่ง” ลู่เซิ่งกวาดตามองราชาแมงป่องสามหาง “จะยอมหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า ข้าไม่ต้องการเสียงอื่นๆ จากบริวาร”
“แม้แต่ราชามังกรศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น เผ่าข้ายังไม่กลัว ฝ่าบาทนึกว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าราชามังกรหรือ” ราชาแมงป่องสามหางหัวเราะเหอะๆ
เผ่านี้มีจุดเด่นลึกลับสุดขีด แทนที่จะเรียกว่าฝูงแมงป่องสามหาง ควรบอกว่ามีแต่ราชาแมงป่องสามหางตัวเดียวที่ควบคุมเผ่าทั้งเผ่าดีกว่า
ความจริงแล้วเผ่าพันธุ์ทั้งหมดเป็นตัวลูกของราชาแมงป่องสามหาง บวกกับฝูงฝูงนี้เชี่ยวชาญการหลบซ่อนโดยมุดเข้าพื้นดินมากที่สุด ดังนั้นถ้าไม่ฆ่าตัวลูกทั้งหมดทิ้ง ก็ไม่มีใครสามารถสังหารราชาแมงป่องสามหางตัวจริงทิ้งได้
“เจ้าจะลองดูก็ได้” ลู่เซิ่งกวาดตามองราชาแมงป่องสามหางอย่างเรียบเฉย ดวงตาเก้าคู่สาดแสงสีแดงเลือนราง
“เอาเถอะๆ…” ราชาแมงป่องสามหางชูก้ามสองข้างขึ้นสูงทำท่ายอมแพ้ “ตกลงฝ่าบาท ความผิดข้าเอง เผ่าข้าจะทำตามคำสั่งท่านแน่ วางใจได้อย่างเต็มที่”
“อย่างนั้นก็ประเสริฐสุด” ลู่เซิ่งละสายตากลับมาเพื่อเตรียมขั้นตอนต่อไป
อยู่ๆ ก็มีเงาสีเขียวสายหนึ่งบินมาทิ้งตัวลงด้านนอกโถงใหญ่ เป็นมังกรพิษตัวหนึ่ง
“ฝ่าบาท ด้านนอกเทือกเขามีการเคลื่อนไหว เหมือนจะมีทัพใหญ่ที่ไม่รู้จักกำลังเข้ามาใกล้” มังกรพิษตัวนี้รายงานอย่างรวดเร็ว
“มีจำนวนเท่าไหร่” ตอนนี้ลู่เซิ่งปกครองเผ่าใหญ่ๆ หลายเผ่า โดยใช้อานุภาพที่เหี้ยมหาญกดดันแต่ละเผ่า ทั้งยังให้พวกเขาส่งคนในเผ่าออกมา จนเกิดเป็นระบบส่งข้อมูลภายใน ในระยะเวลาสั้นๆ แล้ว
เขาให้มังกรพิษที่เร็วที่สุดเป็นหลัก เพื่อเชื่อมต่อกับผู้ส่งสารในอาณาเขตของเผ่าแต่ละเผ่า
จากนั้นก็ใช้เผ่าพันธุ์ที่ถนัดในการรับแรงสั่นสะเทือนคอยช่วยเหลือ จึงกลายเป็นระบบสืบสวนที่สมบูรณ์แบบที่สามารถส่งข้อมูลการเคลื่อนไหวทั้งหมดรอบๆ ให้แก่ลู่เซิ่งได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว
แน่นอนว่า เงื่อนไขคือเผ่าพันธุ์เหล่านี้ต้องร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์ แต่ภายใต้แรงกดดันของลู่เซิ่ง ก็ยังคงไม่มีใครกล้าเล่นลูกไม้โง่ๆ
“กองทัพจากภายนอกหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ตอนแรกเขาคิดจะบดขยี้ตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์ให้ราบคาบในคราวเดียว จากนั้นก็ยึดตำแหน่ง จึงถือว่าปกครองทั้งเทือกเขาได้แล้ว นึกไม่ถึงยังไม่ทันลงมือ ก็เกิดเหตุแทรกซ้อนขึ้นก่อน
“ขอรับ คล้ายจะเป็นทัพพันธมิตรระหว่างมนุษย์กึ่งสัตว์กับนกศิลาดำ” มังกรพิษตอบอย่างระมัดระวัง
“ดูเหมือนเจ้าขี้เถ้าศัตรูตัวฉกาจของตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์จะกลับมาแล้ว” ราชาหมียักษ์ส่งเสียงช้าๆ
“เจ้าขี้เถ้าหรือ” ลู่เซิ่งไม่เคยได้ยินคำคำนี้จากในความทรงจำของกระดูกดำ
“เป็นมังกรศักดิ์สิทธิ์กลายพันธุ์นอกรีตตัวหนึ่ง แตกต่างจากมังกรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด เขาเป็นสีดำเพียงตัวเดียว” หมียักษ์เอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าเคยเห็นเขาไกลๆ อานุภาพมืดฟ้ามัวดินนั้นถึงขั้นยังเหนือกว่าฝ่าบาทท่านอีก”
……………………………………….