ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 548 ทัพใหญ่ (2)
บทที่ 548 ทัพใหญ่ (2)
“อ้อ?” ลู่เซิ่งเกิดความสนใจเข้าแล้ว ราชาหมียักษ์ไม่อยากให้เผ่าได้รับความเสียหายมากเกินไป จึงยินยอมเข้ามาอยู่ใต้อาณัติของตนด้วยตัวเอง ความจริงเขาคือผู้เข้มแข็งระดับยอดผู้นำที่ตัวจริงเสียงจริง ห่างจากระดับตำนานเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ความสามารถในการแยกแยะของเขาสมควรไม่ผิด
“หมายความว่า อย่างน้อยท่านผู้นี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตระดับตำนานขั้นสูงอย่างมหาภูตเหมือนกันใช่ไหม” ลู่เซิ่งเอ่ยปากอย่างช้าๆ
“เป็นไปได้ถึงขีดสุดขอรับ” ราชาหมีขาวกล่าวอย่างรวบรัด
ระดับตำนานขั้นสูง…
หัวหน้าเผ่าแต่ละเผ่ามองหน้ากัน อย่าว่าแต่ระดับตำนานขั้นสูง แค่เป็นระดับตำนานธรรมดา ผู้ที่ใกล้เคียงในที่นี้มีราชาหมียักษ์กับแมงป่องสามหาง แมงป่องสามหางเป็นระดับภูต หรือก็คือสิ่งมีชีวิตระดับตำนานตัวจริงเสียงจริง ส่วนราชาหมียักษ์พร้อมจะก้าวเท้าก้าวนั้นได้ตลอดเวลา อาศัยความต้านทานแต่กำเนิดที่แข็งแกร่งเหี้ยมหาญ ไม่ถือว่าอ่อนแอเกินไป
หัวหน้าเผ่าตัวอื่นๆ กระอักกระอ่วน ผู้ที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในระดับผู้นำ
ลู่เซิ่งไตร่ตรอง
“ทัพใหญ่ของเจ้าขี้เถ้ากำลังมุ่งหน้ามาทางเราหรือ” เขาถามมังกรพิษตัวนั้นอีกครั้ง
“ขอรับฝ่าบาท ทิศทางมุ่งมาทางพวกเรา” มังกรพิษรีบตอบอย่างนอบน้อม
“ไปดูด้วยกันเถอะ” ลู่เซิ่งลุกขึ้นแล้วเร่งฝีเท้าออกจากโถงใหญ่
หัวหน้าเผ่าที่เหลือพากันติดตามไป
หลังจากสัตว์ประหลาดทั้งหมดข้ามเนินเขาหลายลูกด้วยการนำทางของมังกรพิษ ไม่นานก็เห็นทัพใหญ่สีเทาที่กำลังเข้าใกล้ทุ่งหญ้าสีเหลืองนอกเทือกเขา
กองทัพสีเทาที่เหมือนไร้สิ้นสุดพร้อมจะกรูเข้าเทือกเขาทุกเวลา
หัวหน้าเผ่าทั้งหมดต่างผุดสีหน้าตึงเครียด โดยเฉพาะหลังจากเห็นนกศิลาหินที่บินวนเวียนอยู่กลางท้องฟ้าแล้ว แม้แต่ราชาแมงป่องสามหางก็ยังเผยสีหน้าเคร่งขรึม
แม้ในทางทฤษฎีแล้ว ผู้เข้มแข็งระดับตำนานจะไม่มีทางถูกคนจำนวนมหาศาลใช้ยุทธการล้อมจนตายได้ แถมยังมีพลังที่น่ากลัวในการทำศึกด้วย แต่ต้องดูด้วยว่ากองทัพที่อยู่อีกฝั่งเป็นอย่างไร
“นี่ไม่ใช่นกศิลาดำธรรมดา แต่เป็นนกศิลายักษ์!” แมงป่องสามหางกล่าวอย่างร้อนใจอยู่บ้าง “พวกมันเป็นร่างวิวัฒนาการของนกศิลาดำ ทุกตัวมีคุณสมบัติร่างกายใกล้เคียงกับระดับผู้นำ สู้ยากถึงขีดสุด”
พวกหัวหน้าเผ่าทั้งหมดต่างสูดหายใจเย็น ทุกตัวต่างใกล้เคียงกับระดับผู้นำ เมื่อมองดูจำนวนบนท้องฟ้าอีกที แค่ตรงหน้าอย่างน้อยก็มีมากกว่าร้อยแล้ว มิน่าราชาแมงป่องสามหางถึงได้รู้สึกตึงมือ
“ฝ่าบาท ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร พวกเราสามารถส่งทูตไปแจ้งต่อทัพขี้เถ้าได้ว่า พวกเราสามารถประสานในนอก และร่วมมือกับพวกเขาโจมตีตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์ แบบนี้พวกเขาจะได้ไม่โจมตีเรา” ราชามังกรพิษสมกับที่สวามิภักดิ์จนชินแล้ว พออ้าปากก็จะยอมแพ้ทันที ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ร่วมมือกับเจ้าขี้เถ้าเพื่อโจมตีตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์ แล้วหลังจากกำจัดมังกรศักดิ์สิทธิ์แล้วเล่า ในสถานการณ์แบบนี้หรือว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเขาจะหนีไม่ได้ สุดท้ายยังแนะนำอ้อมๆ ให้ลู่เซิ่งสวามิภักดิ์กับเจ้าขี้เถ้าอีก
หัวหน้าเผ่าตัวอื่นๆ ล้วนมีความคิดเดียวกัน เมื่อเผชิญหน้ากับทัพที่มีขนาดมหึมาแบบนี้ ก็ไม่มีใครคิดพิสูจน์ด้วยการต่อต้าน พวกเขาเดิมทียอมแพ้เพราะอำนาจของลู่เซิ่งเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้มีความภักดีอะไรอยู่แล้ว จะหันไปสวามิภักดิ์กับเจ้านายคนใหม่ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง
ร่างกายที่สูงใหญ่ของลู่เซิ่งมองทัพใหญ่บนทุ่งหญ้าพลางใคร่ครวญ
ผู้เข้มแข็งขั้นสุดยอดในระดับมหาภูต แถมยังพาทัพจำนวนมากมาด้วย จะต้องมีแผนการใหญ่อย่างแน่นอน ในฐานะตำนานขั้นสูงระดับมหาภูตเหมือนกัน เขาสัมผัสได้ว่าในทัพใหญ่ตรงหน้ายังมีตัวตนอันเหี้ยมหาญที่มีกลิ่นอายในระดับเดียวกันอยู่อีกสี่สาย
ทัพเหล่านี้ไม่ถือว่าหนักหนาอะไรนักสำหรับมหาภูต สิ่งที่ร้ายกาจจริงๆ ก็คือผู้เข้มแข็งระดับเดียวกันที่อยู่ตรงหน้า
ในตอนที่ลู่เซิ่งสำรวจทัพใหญ่ ราชาแห่งขี้เถ้ากับผู้ขับไล่อาทิตย์ก็สัมผัสกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ที่ปรากฏกลางภูเขาได้แล้วเช่นกัน
ร่างกายอันมหึมาของราชาแห่งขี้เถ้าซ่อนอยู่กลางอากาศ วิชาซ่อนตัวขั้นสูงทำให้เขาอำพรางร่างกายขนาดมโหฬารของตนเองได้อย่างง่ายดาย
ผู้ขับไล่อาทิตย์ขี่สิงโตยักษ์สีดำตัวหนึ่งบนทุ่งหญ้าด้วยความเร็วสูง
ไม่ไกลออกไปยังมีสัตว์ประหลาดที่ท่อนบนเป็นมนุษย์สวมเกราะ ท่อนร่างเป็นเปลวเพลิงสีแดงอยู่ด้วยอีกตัว
ยังมีมนุษย์ตัวใหญ่สองคนที่มีเขามังกรสีแดง สองคนนี้แบ่งเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง รูปร่างสูงใหญ่ โครงกระดูกแข็งแกร่ง ถือคทาสั้นสีดำอันประณีตไว้ในมือ และสวมเสื้อคลุมสีดำผืนหนาหนัก
ผู้ขับไล่อาทิตย์ ผู้แผดเผา ราชามารชั่วร้ายแองเจอลิธ มนุษย์ตีระฆังซีลี นี่คือสี่ราชาแห่งสี่เผ่าอาทิตย์แผดเผา เป็นผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดหรือมหาภูติที่เทียบเคียงได้กับเจ้าขี้เถ้าเมื่อร่วมมือกัน
พวกเขาคือตำนานขั้นสุดยอดที่โด่งดังมามากกว่าพันปี ทุกๆ ตัวต่างเคยมีอดีตที่เจิดจรัส
สัตว์ประหลาดตัวใดปรากฏในโลกมนุษย์ ต่างก็ถล่มเมืองทำลายประเทศ เรียกตัวเองว่าเป็นภัยพิบัติฟ้าได้อย่างง่ายดายทั้งนั้น
แต่ว่าราชาสี่ตัวนี้ ตอนนี้รวมตัวกันโดยมิได้นัดหมาย ติดตามราชาแห่งเถ้าที่เป็นมังกรศักดิ์สิทธิ์สีดำในตำนานเพื่อโจมตีตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์บนเทือกเขาทุ่งเขียว ตัวตนที่สูงส่งที่สุด ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ที่สุดบนทวีปใหญ่
“หมาป่าขาวที่มีหลายหัวอย่างนั้นหรือ รูปร่างภายนอกเหมือนกับหมาป่าราตรีเหมันต์ในตำนาน แต่ตามที่ข้ารู้ หมาป่าราตรีเหมันต์เหมือนกับมีแค่สองหัวไม่ใช่หรือ” ราชามารชั่วร้ายแองเจอลิธคือบุรุษสูงใหญ่ที่มีเขามังกรสีแดงคนนั้น เขายิ้มอย่างสง่างามอ่อนโยน
“บางทีอาจจะเป็นพวกกลายพันธุ์ แต่หมาป่าราตรีเหมันต์ควรค่าให้พวกเราสนใจแล้ว อย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเทพนิยายในตำนาน” คนตีระฆังซีลีโบกคทาสีดำในมือ
“สนใจไปทำไม โจมตีเข้าไป ฆ่าให้หมด เผาให้สิ้น ชิงให้เกลี้ยง!” ผู้แผดเผาคำรามเสียงทุ้มต่ำ มันคือมนุษย์ร่างสูงใหญ่ที่สวมเกราะสีแดง ท่อนล่างเป็นเปลวไฟ
“ไม่ต้องรีบ…” ราชาแห่งขี้เถ้าส่งเสียงมาจากความมืด “ข้าสัมผัสประกายวิญญาณมังกรศักดิ์สิทธิ์จากร่างมันไม่ได้ ดูเหมือนมันจะเป็นกลาง หรือเป็นศัตรูของตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์ก็ได้”
“ขอข้าคุยด้วยดูก่อน…” ราชาแห่งขี้เถ้าไม่มีทางเชื่อใจราชามังกรศักดิ์สิทธิ์ที่มีน้ำพุเหมันต์นิรันดร์คอยสนับสนุน แม้เขาจะเลื่อนเป็นกึ่งเทพแล้ว แต่ก็ยังคงกังวลใจอยู่ ดังนั้นเขาจึงต้องการดึงขุมกำลังที่หาได้เป็นพวกทั้งหมด
…
“กลิ่นอายนี้…” ลู่เซิ่งกำลังจะเข้าใกล้เพื่อสังเกตการณ์ อยู่ๆ จิตวิญญาณก็พลันปั่นป่วน คล้ายมีสิ่งที่ก่อให้เกิดการคุกคามต่อร่างหลักของเขากำลังเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
ในโลกใบนี้…มีการดำรงอยู่แบบนี้ด้วยหรือ
เขาทำทุกอย่างสำเร็จอย่างราบรื่นมาโดยตลอด จู่ๆ พอสัมผัสได้ว่านอกจากกลิ่นอายสี่สายนี้ยังมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งกว่าอยู่อีกสายหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้ที่สร้างการคุกคามให้แก่เขาได้อย่างแท้จริง ก็พลันระวังตัวขึ้นมา
‘แค่สัมผัสกลิ่นอายนี้อย่างคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่าเป็นระดับเดียวกับร่างหลัก แถมยังแกร่งกว่าร่างหลักของเราเสียอีก เหมือนจะมีคุณสมบัติของปราณมารอยู่ด้วย แต่ด้านในมีความรู้สึกถึงการทำลายล้างซ่อนอยู่…ดูเหมือนแผนการก่อนหน้านี้จะต้องประเมินโลกใบนี้ต่อไปอีกหน่อย…’
ลู่เซิ่งเข้าใจดีว่า ผู้ที่ทำให้ร่างหลักเกิดความระวังตัวโดยสัญชาตญาณได้ จะต้องเป็นตัวตนเหี้ยมหาญที่สามารถสร้างการคุกคามต่อสภาพสมบูรณ์แบบหลังจากร่างหลักแปลงร่างได้เช่นกัน
‘แต่…ไม่ใช่สิ กลิ่นอาย…ไม่ใช่ร่างแท้จริงที่นำการคุกคามมา’ เขาพลันรู้สึกตัว ‘คล้ายกับแปดเปื้อนจากสิ่งของบางอย่าง หรือจะพกพาสมบัติอย่างอาวุธเทพติดตัวมา’
ไม่นานกลิ่นอายที่น่าสงสัยว่าเป็นปราณมารอยู่ด้วยสายนั้นก็เข้าใกล้เขาด้วยตัวเอง
“ข้าคือราชาแห่งขี้เถ้า มังกรศักดิ์สิทธิ์ทมิฬผู้ยิ่งใหญ่ที่จารึกชื่อในเทือกเขาทุ่งเขียวชั่วนิรันดร์ เจ้าจะเรียกข้าว่าซาทัวร์ก็ได้ ราชาหมาป่าขาวผู้แข็งแกร่งเอ๋ย เจ้าจะมาขวางพวกเรา หรือจะมาเข้าร่วมมื้ออาหารอันโอชะของพวกเรา จงแสดงความตั้งใจออกมาเถอะ” เสียงที่แฝงความลื่นไหลในความอึมครึมสายหนึ่งลอยเข้าห้วงสมองของลู่เซิ่งอย่างช้าๆ
ลู่เซิ่งกะพริบตา อีกฝ่ายมีพลังแข็งแกร่งกว่าร่างกายร่างนี้ของเขา จนทำให้เขาสัมผัสการดำรงอยู่ของอีกฝ่ายไม่ได้
ในเมื่อยังสู้ไม่ได้ อย่างนั้นก็ร่วมมือทำลายตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์ก่อนค่อยว่ากัน จากนั้นค่อยดูปัญหาอื่น
“ข้าคือกระดูกดำ ราชาแห่งเผ่าเกล็ดหิมะ หมาป่าราตรีเหมันต์ที่มีสายเลือดโบราณที่สุด กำลังต่อสู้กับตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์อยู่ ท่านแน่ใจหรือว่าพวกท่านมาโจมตีมังกรศักดิ์สิทธิ์”
หัวมังกรที่ซ่อนอยู่ของซาทัวร์พลันยิ้มอย่างพึงใจ
“แน่นอน เป้าหมายของพวกเราก็คือนังแพศยาราชามังกรศักดิ์สิทธิ์!”
“ท่านคิดว่าพวกท่านมีโอกาสชนะหรือ” ลู่เซิ่งถามโดยไม่แสดงสีหน้า “ตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์อยู่มานานเหลือเกิน อาศัยแค่ตำนานขั้นสูงอย่างพวกท่านไม่กี่คนน่ะหรือ ข้าไม่คิดว่าพวกท่านจะทำสำเร็จ”
“แน่นอน ราชาหมาป่าผู้ยังเยาว์เอ๋ย เคยได้ยินถึงหอกมังกรตราประทับโลหิตซึ่งเป็นอาวุธกึ่งเทพมาก่อนหรือไม่ หอกมารน่ากลัวที่เคยฆ่ามังกรยักษ์มาอย่างน้อยมากกว่าพันตัวนี้ จะกินเลือดของราชามังกร และทำลายเทือกเขาเทวะ ทำลายตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์เทวะทิ้ง!” ราชาแห่งขี้เถ้าพูดไปพูดมาก็กัดฟันกรอด
“อาวุธกึ่งเทพ…” ลู่เซิ่งพลันเดาออกแล้วว่าต้นกำเนิดที่คุกคามตนเองสายนั้นมาจากอะไร
ราชาแห่งขี้เถ้าตรงหน้าแข็งแกร่งกว่าหมาป่าราตรีเหมันต์เก้าเศียรระดับหนึ่ง แข็งแกร่งยิ่งกว่าตำนานขั้นสูง อย่างนั้นคงเป็นกึ่งเทพในตำนานแล้ว
นอกจากกลิ่นอายที่คุกคามสายนั้น ราชาแห่งขี้เถ้าก็อยู่ในระดับเดียวกับตัวเอง
ลู่เซิ่งคำนวณเทียบดู หมายความว่า กึ่งเทพของโลกใบนี้เทียบเท่ากับเทวปัญญา
“เป็นอย่างไร ราชาหมาป่าขาวผู้แข็งแกร่ง คำตอบของเจ้าคืออะไร”
ลู่เซิ่งเงียบงันเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอเข้าร่วมกับพวกท่านเพื่อทำลายตำหนักมังกรศักดิ์สิทธิ์!” ศีรษะทั้งเก้าข้างของเขายิ้มอย่างน่ากลัว
“ฮ่าๆๆๆ!” ราชาแห่งขี้เถ้าพลันหัวเราะลั่น
ลู่เซิ่งยืนเงียบๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะ พร้อมกับคำนวณว่าจะสัมผัสกับอาวุธกึ่งเทพชิ้นนั้นได้หรือไม่ อาวุธที่แข็งแกร่งแบบนี้มีความเชื่อ ความรู้สึก และผลกรรมของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนวนเวียนอยู่ จะต้องมีพลังอาวรณ์ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลแน่นอน
…
ทัพใหญ่สีเทาอันเกรียงไกรเคลื่อนตัวเข้าภูเขา ต้นไม้ใบหญ้าที่เคลื่อนผ่านพากันลุกไหม้กลายเป็นตอตะโก
ลู่เซิ่งยืนอยู่ระหว่างผู้แผดเผาและผู้ขับไล่อาทิตย์ ทอดตามองทัพใหญ่ที่เหมือนกับห้วงสมุทรกรูเข้าเทือกเขาอยู่ไกลๆ
ราชาแห่งขี้เถ้าไม่ได้ปรากฏตัว เขายืนอยู่กับหัวหน้าของสี่เผ่าอาทิตย์แผดเผา
ในฐานะผู้เข้มแข็งระดับมหาภูตเหมือนกัน หัวหน้าเผ่าทั้งสี่ไม่ได้กีดกันการเข้าร่วมของเขา แต่ก็ไม่ได้ทำตัวสนิทสนมเช่นกัน
มีแต่ผู้แผดเผาเท่านั้นที่แสดงท่าทีรังเกียจเมื่อเห็นทัพอันน้อยนิดเช่นพวกมังกรพิษและหมียักษ์ใต้อาณัติของลู่เซิ่ง ส่วนอีกสามตัวที่เหลือไม่ได้แสดงออกอะไร
“เทือกเขาแถบนี้ถูกทำลาย ราชาหมาป่าไม่มีความเห็นอะไรหรือ” ราชามารร้ายแองเจอลิธเหมือนถามเล่นๆ
“มีแต่หลังจากทำลาย ถึงจะเกิดใหม่ได้ดีกว่าเดิม” ลู่เซิ่งตอบอย่างเรียบเฉย
“หือ?” ราชามารร้ายนึกไม่ถึงว่าหมาป่าเก้าหัวแสนประหลาดตัวนี้จะพูดความเห็นที่ไม่เลวแบบนี้ออกมาได้ด้วย
ลู่เซิ่งมองเผ่าดั้งเดิมในภูเขา เผ่าเหล่านี้รวมถึงยักษ์เนินเขาไร้เรี่ยวแรงขัดขืนเมื่อเผชิญการบดขยี้จากทัพใหญ่
“ดูจากท่าทางของท่าน คงจะเป็นเพราะน้ำพุเหมันต์นิรันดร์เหมือนกันใช่หรือไม่” ราชามารร้ายหัวเราะเบาๆ “ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตสายความเย็นทั้งหมดวิวัฒนาการอีกขั้นได้”
ลู่เซิ่งมองเขาแต่ไม่ได้พูดอะไร
“แต่จะว่าไป ของศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้สิ่งมีชีวิตสายความเย็นวิวัฒนาการได้อีกขั้น ข้าก็มีอยู่ในมือเช่นกัน” ราชามารร้ายจงใจกล่าวอย่างเป็นนัย
……………………………………….