ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 554 เจ้าแห่งอาวุธ (4)
บทที่ 554 เจ้าแห่งอาวุธ (4)
‘ไม่หายใจ…’
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนจะถอยหลัง
ชายหนุ่มเหมือนล้มหงายกระแทกลงบนกระเบื้องปูพื้นในห้องรับแขกจนมีเสียงดังโครม
ลู่เซิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว จึงค่อยก้าวเท้าเข้าประตู
เครื่องเรือนในบ้านยังคงเหมือนกับในความทรงจำ เพียงแค่บนพื้นมีร่างของตัวเองโผล่มาเท่านั้น
ลู่เซิ่งนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก เขาเหมือนจะจับจุดสำคัญได้บ้างแล้ว
หลังจากเพ่งมองร่างของตัวเองสักพัก เขาพลันใช้ความคิด
ร่างค่อยๆ หลอมละลายหายเข้าไปในกระเบื้องปูพื้น
‘เป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย…’ ลู่เซิ่งลุกขึ้นแล้วเดินไปถึงระเบียง พร้อมกับมองไปด้านนอกผ่านหน้าต่าง
บ้านเรือนทั้งหมดที่อยู่ตรงข้ามกับตึกที่พักอาศัยเป็นสีดำสนิท ปราณมารลอยขึ้นข้างใต้ฝ่าเท้าเขาแล้วพาเขาข้ามผ่านระยะห่างสิบกว่าเมตรไปหยุดลงบนระเบียงของที่พักอาศัยแห่งหนึ่ง
ครืด
เขาเปิดประตูบานเลื่อนบนระเบียงออก จากนั้นก็เห็นร่างเย็นเฉียบที่คุ้นเคยสองร่างนอนอยู่บนพื้นในห้องรับแขก
เขาจำสองคนนี้ได้ เป็นโจรสองคนที่เคยถูกเขาฆ่าทิ้งในเมืองเก้าเชื่อม เป็นคนที่ลักพาตัวลู่ชิงชิง
‘เป็นอย่างที่คิดเลย…ที่นี่เป็นโลกแห่งจิตในใจของเรา พูดให้ถูกต้องก็คือ อาจจะเป็นโลกมายาและโลกจริงแห่งหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากจิตวิญญาณของเราเกิดความเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติ’ ลู่เซิ่งพลันเข้าใจความลี้ลับของโลกใบนี้แล้ว
และเข้าใจจุดที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงของเจ้าแห่งอาวุธแล้วเช่นกัน
เขาเดินไปนั่งลงบนโซฟา แม้สายตาจะมองดูร่างของโจรสองคนที่อยู่บนพื้น หากจิตใจกลับกำลังดำดิ่งสู่การทำความเข้าใจและเรียนรู้ของตัวเอง
‘หากบอกว่านี่เป็นความสามารถของเจ้าแห่งอาวุธ…อย่างนั้น…’ ลู่เซิ่งหลับตาลงอย่างฉับพลัน
จากนั้นพอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็กลับมาถึงด้านในตำหนักวิจัยที่ปิดสนิทของตนแล้ว
‘เป็นอย่างที่คิด…เราเข้าออกโลกใบนั้นได้ตามใจ’ เขาหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นใหม่
ลู่เซิ่งกลับมาถึงด้านในห้องรับแขกในตึกที่อยู่อาศัยอีกรอบอย่างรวดเร็ว
รอบๆ เงียบสงัด ไม่เพียงไม่มีเสียงของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แม้แต่เสียงลมจากกระแสอากาศก็ไม่มีเช่นกัน
ลู่เซิ่งลุกขึ้นพร้อมกับใช้ความคิด ร่างกายพลันปรากฏในห้องอีกห้องหนึ่ง
บนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องครัวของห้องห้องนี้มีสตรีผิวซีดที่งดงามสวมกระโปรงสีขาวนอนอยู่
นางหลับตาพริ้ม ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ
ลู่เซิ่งเดินไปถึงด้านหน้านาง ก่อนจะจดจำได้ว่านี่คือผีสตรีที่เขาฆ่าบนเรือแดง
เขายื่นมือไปลูบศีรษะของนาง แล้วเจอบาดแผลที่เขาใช้ดาบฟันในตอนนั้นบนกะโหลกอย่างที่คาดไว้
‘…อย่างที่คิดไว้เลย’
จากนั้นเขาก็ชักมือกลับ แล้วหมุนตัวออกจากห้องครัว
พอออกจากห้องครัวมาก็เป็นทางเดินสั้นๆ ทางซ้ายมือเป็นห้องนอน ทางขวามือเป็นห้องน้ำ
เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะผลักประตูห้องน้ำด้านขวา
กลางอ่างอาบน้ำในห้องน้ำเติมน้ำไว้จนเต็ม เด็กสาวมัดผมเปียคนหนึ่งแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ โดยพิงหลังกับผนัง ดวงตาหลับอยู่
ด้านในห้องน้ำเย็นจัด น้ำหยดลงมาตามขอบอ่างทีละหยดๆ
ลู่เซิ่งหยุดยืนอยู่ด้านหน้าอ่างอาบน้ำ แล้วเห็นใบหน้าของเด็กสาว บนใบหน้านางมีรอยแผลมากมายที่เย็บปิดไว้ เหมือนถูกคนใช้เรี่ยวแรงมหาศาลฟาดใส่
ลู่เซิ่งจดจำได้ว่า เด็กสาวคนนี้เป็นคนที่เขาเคยฆ่าด้วยมือตัวเองสมัยที่ยังอยู่ต้าซ่ง
‘เข้าใจแล้ว…’ ลู่เซิ่งค่อยๆ พ่นลมหายใจออก แล้วหลับตาลง ครั้นลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็กลับมาถึงตำหนักวิจัยแล้ว
เขาลุกขึ้นยืน เข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติหลังจากเจ้าแห่งอาวุธผลักประตูออกแล้ว
‘ดีปบลู’ เขานึกในใจ
อินเทอร์เฟซสีฟ้าโผล่ออกมาในทันที
กรอบแรกด้านบนแสดงให้เห็นถึงระดับของเขาในตอนนี้อย่างชัดเจน
[วิชาไร้ขอบเขต: ขอบเขตที่หก—ย้อนต้นกำเนิด ย้อนต้นกำเนิดรูปจิตระดับหนึ่ง (คุณสมบัติพิเศษ: โลกมารจิต, วิถีแปดมารสูงสุด, หยุดเวลา, เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณ…)]
‘เหมือนที่คิดไว้เลย เราไม่ได้ทายผิด ถึงเราจะกินประตูไปแล้ว แต่ก็เลื่อนระดับแล้วจริงๆ เป็นระดับเจ้าแห่งอาวุธแล้ว’
ลู่เซิ่งกระตุ้นจิตวิญญาณ เริ่มสำรวจภายในตัวเอง เทียบกับก่อนเลื่อนระดับแล้ว เขาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นพิเศษ
สิ่งที่แตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือมีสัญลักษณ์งูมีปีกสีเทาจุดหนึ่งโผล่ขึ้นในส่วนลึกของจิตวิญญาณ
ขอแค่เขาใช้จิตแตะสัญลักษณ์นี้ดู ก็จะเข้าสู่โลกที่เงียบสงัดแห่งนั้นได้ภายในพริบตา
‘น่าอัศจรรย์จริงๆ เราสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของโลกใบนั้น รู้ว่านั่นเป็นดินแดนพิเศษที่เกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง แต่นอกจากการเข้าออกได้อย่างตามใจกับการเคลื่อนย้ายในระยะห่างสั้นๆ เมื่ออยู่ด้านในแล้ว เรากลับไม่อาจควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างด้านในได้เลย’ ลู่เซิ่งเกิดความสงสัย ‘เอ้อ จริงด้วย เหมือนจะควบคุมได้อยู่ นั่นก็คือร่างของตัวเอง หมายความว่าแม้โลกใบนี้จะเกิดขึ้นเพราะเรา แต่ก็ไม่ใช่ภาพลวงตาที่จิตวิญญาณของเราสร้างขึ้นมา ในทางกลับกัน เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะเป็นโลกวัตถุที่ดำรงอยู่จริงๆ อย่างนั้น หลังจากเลื่อนเป็นระดับเจ้าแห่งอาวุธแล้ว การมีโลกวัตถุใบหนึ่งโผล่มาเอามาใช้อะไรได้ล่ะ’ เขาไตร่ตรองดู
เขาทดลองนำวัตถุสิ่งของรอบๆ ตัว เข้าไปวางไว้ในโลกใบนั้นดู แต่กลับล้มเหลวโดยไม่มีข้อยกเว้น
มิหนำซ้ำเขายังเจอความสัมพันธ์อย่างหนึ่งด้วย นั่นก็คือ สิ่งที่เขาใช้เข้าไปในโลกใบนั้นไม่ใช่ร่างหลักที่แท้จริงของเขา
‘น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ซะแล้วสิ…’
ลู่เซิ่งยื่นมือไปหยิบผลึกสีดำชิ้นหนึ่งมา หลังจากคลึงเล่นกลางฝ่ามือสักพัก เขาก็บีบผลึกไว้เบาๆ ก่อนจะยกมันลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วคลายนิ้ว
ผลึกสีดำพลันตกลงไปสู่พื้นเอง
‘เข้าไป’ ลู่เซิ่งพลันหลับตา
ด้านหน้าปรากฏห้องน้ำที่มืดครึ้มและแปลกประหลาดอีกครั้ง เด็กสาวที่หัวโดนทุบยังคงนอนหงายในอ่างอาบน้ำ ในอากาศมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยอยู่จางๆ
ลู่เซิ่งออกจากห้องน้ำ แล้วใช้ความคิด ด้านหน้าพลันพร่ามัว เขามาโผล่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
รอบๆ คือด้านข้างสวนดอกไม้แห่งหนึ่งรอบตึกที่อยู่อาศัย
เงาของตึกปกคลุมบริเวณนี้ไว้ในความมืด บดบังแสงของไฟริมทางที่อยู่ไกลออกไปจนหมด
ลู่เซิ่งนั่งลงบนก้อนหินที่เย็นเฉียบข้างสวนดอกไม้ รอให้เวลาผ่านไปอย่างสงบ
จากนั้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว พอเขานับถึงจังหวะหัวใจเต้นครั้งที่สองร้อย จึงค่อยลุกขึ้นยืน
เขาใช้ความคิด ด้านหน้าพลันพร่ามัว ก่อนจะกลับมาถึงตำหนักวิจัยอีกรอบ
กิ๊ง
เวลานี้ข้างใต้เท้ามีเสียงดังขึ้น
ลู่เซิ่งก้มลงเห็นผลึกสีดำก้อนหนึ่งที่กำลังกลิ้งรอบๆ เท้าของตัวเอง
‘เป็นอย่างที่คาดไว้เลย เวลาของโลกใบนี้แทบจะใกล้เคียงกับหยุดนิ่ง สมควรบอกว่า เชื่องช้าถึงขีดสุด’
จากนั้นลู่เซิ่งก็ทำการทดลองหลายอย่างเพื่อแยกแยะคุณสมบัติพิเศษของโลกใบนั้น ไม่นานนัก เขาก็ค้นพบอย่างเหนือความคาดหมายว่า ต่อให้เขาใช้พลังทั้งหมดในโลกใบนั้น ก็ไม่อาจขยับมิติเพื่อสร้างการสั่นสะเทือนเล็กๆ ได้
แต่ว่าหากใช้ค่ายกลหรือการสั่งสมพลังทั้งหมดไว้โดยไม่ปล่อยออกในต้าอิน จะสามารถสร้างการสั่นสะเทือนของมิติได้อย่างง่ายดาย
ในโลกใบนั้น ความแข็งแกร่งของมิติไม่อาจบรรยายได้ แถมเหนือกว่าต้าอินไม่รู้กี่เท่า
‘ต่อจากนี้ ควรไปหาสิ่งมีชีวิตทดลองดู’ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าตัวเองสัมผัสได้ถึงริมขอบความลับของพลังที่แท้จริงของเจ้าแห่งอาวุธแล้ว
เขาลุกขึ้นเดินไปถึงหน้าประตูตำหนักใหญ่ ก่อนจะเคาะเบาๆ
ประตูตำหนักส่งเสียงทึบหนัก จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนไปทางขวา
“ท่านเจ้าสำนัก! ท่านออกจากการกักตนแล้วหรือขอรับ!?” ศิษย์ผู้เฝ้าประตูกล่าวอย่างยินดี
“ไปบอกพวกสวี่เฝ่ยลาที”
ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าจะไปจัดการธุระเล็กๆ น้อยๆ แถวนี้ จากนั้นจะกลับมา ถ้าหากพวกเขามาหาข้า เจ้าจงบอกให้ไปรอที่ตำหนักหลัก”
“ขอรับ!” ศิษย์ผู้นี้รีบก้มหน้าขานรับ
ลู่เซิ่งเดินออกมานอกประตูพร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้า เป็นเวลาเที่ยงตรง ดวงอาทิตย์สาดแสงที่กระจ่างใสผ่านเมฆหนาสีเทา
พรึ่บ!
อยู่ๆ ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็มีควันสีดำลอยขึ้นมา ปราณมารยกตัวเขาขึ้นและบินไปยังที่ไกลอย่างรวดเร็ว
เขาลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ สิ่งก่อสร้างกลุ่มใหญ่ของวังมารถดถอยไปด้านหลังด้วยความเร็วสูง จากนั้นก็เป็นผืนดินสีเหลืองซึ่งมีแต่รอยแตกและไร้ชีวิตชีวา
ลู่เซิ่งบินด้วยความเร็วสูง ไม่นานก็พบเป้าหมายที่ต้องการ
‘ผู้คนกล่าวว่า ไม่เคยเห็นเจ้าแห่งอาวุธลงมือมาก่อน อาจไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีโอกาสเจอ แต่เป็นเพราะ…พวกเขามองไม่เห็นมากกว่า’
ลู่เซิ่งกดเมฆปราณมารลง แล้วทิ้งตัวลงบนเนินเล็กๆ แห่งหนึ่ง พร้อมกับก้มมองเผ่าปีศาจที่กำลังต่อสู้กับวิญญาณร้ายเบื้องล่าง
ปีศาจกลุ่มนี้มีเขากวางบนศีรษะ แสดงว่าเป็นเผ่าพันธุ์กวางที่อยู่ใกล้ๆ
เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างจากเผ่าปีศาจเผ่าอื่นก็คือ ปีศาจกวางฝูงนี้เหมือนจะมีความแตกแยกภายนอกอยู่บ้าง ขณะที่ต่อสู้กับวิญญาณร้ายอย่างฮึกเหิม คนในเผ่าก็กำลังทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่
จำนวนของวิญญาณร้ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ละตัวจะเป็นแค่ระดับเอกลักษณ์เท่านั้น แต่พอจำนวนมากเข้า เผ่าปีศาจที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มต้านทานไม่ไหวบ้างแล้ว
ไม่นานนัก ปีศาจกวางสาวร่างสูงใหญ่ตนหนึ่งด้านหลังกลุ่มปีศาจกวางก็เห็นท่าไม่ดี จึงหมุนตัวหนีไปด้านหลังอย่างเงียบๆ นางถึงกับทิ้งให้สหายต้านทานวิญญาณร้ายอยู่ด้านหน้า ส่วนตัวเองวิ่งหนีโดยไม่แยแสแม้แต่น้อย
‘ใช้นางก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งสะกิดปลายเท้า ไล่ตามปีศาจกวางสาวร่างสูงใหญ่ตนนี้เหมือนกับภูตพราย
ปีศาจกวางสาวไม่เลือกเส้นทาง หลังจากวิ่งตะบึงเป็นระยะทางหนึ่ง จนกระทั่งไม่เห็นเงาของวิญญาณร้ายแล้ว จึงค่อยๆ ลดความเร็วลง
“ทิ้งสหายของตัวเองเพียงเพื่อเอาตัวรอด เจ้าจะใช้ชีวิตที่ได้มาแบบนี้อย่างมีความสุขหรือ” ลู่เซิ่งค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังนาง แล้วกล่าวเสียงขรึม
“ผู้ใด!?” ปีศาจกวางสาวร้องอย่างตกใจ ก่อนจะหันไปมองลู่เซิ่ง
ทว่าสิ่งที่นางเห็นกลับเป็นความมืดสีดำสนิท ตนเองยืนอยู่ในตรอกสีดำสนิท ส่วนด้านหน้าเป็นไฟริมทางที่เรืองแสงอ่อนๆ…
ลวดลายงูมีปีกสีเทาเปล่งแสงขึ้นกลางหว่างคิ้วลู่เซิ่ง แต่คงอยู่แค่พริบตาเดียว ก็หายไปอีกครั้ง
เขามองปีศาจกวางสาวตรงหน้าที่สูญเสียวิญญาณไป เข้าใจแล้วว่าโลกมารจิตที่ดีปบลูระบุไว้ในอินเทอร์เฟซคือสิ่งใด
ในพริบตาเมื่อครู่นี้ ตอนที่สบสายตากัน เขาได้ดึงจิตและวิญญาณของปีศาจกวางสาวเข้าสู่โลกอันเงียบสงัดใบนั้น
จากนั้นเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ปีศาจกวางสาวก็หมดลมหายใจ ชีพจรหยุดเต้น เสียชีวิตไป
‘หลังจากวิญญาณหลุดออกไป ก็ตายในโลกมารจิตโดยสมบูรณ์หรือ’ ลู่เซิ่งนิ่วหน้า พริบตาเมื่อครู่เขาตามปีศาจกวางสาวเข้าไปในโลกใบนั้นเช่นกัน
ในโลกมารจิต เขาเห็นปีศาจกวางสาวหาทางออกไปทั่ว แต่ก็ไร้ประโยชน์ ต่อจากนั้นหลังจากวิ่งพล่านเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ จิตวิญญาณของปีศาจกวางสาวก็โซเซ พุ่งล้มลงกับพื้น ก่อนจะค่อยๆ สูญเสียจิตไป
‘โลกมารจิตเอาไว้ดูดซับพลังชีวิตนี่เอง…’ ลู่เซิ่งมองร่างของปีศาจกวางสาวที่อยู่ตรงนั้น พร้อมกับฉุกคิดได้
จากนั้นเขาก็ออกจากตรงนี้ แล้วหาเหยื่อทดลองรายใหม่
ในเวลาราวหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ เขาใช้วิญญาณร้ายและคนเป็นตัวทดลองสิบกว่าครั้ง มีทุกๆ ระดับพลังฝึกปรือ
เขาค้นพบว่าการดูดซับพลังชีวิตเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงของโลกมารจิตเทียบเท่ากับสามอึดใจของโลกด้านนอก นี่เป็นเวลาที่ตายตัว
หมายความว่า เหมือนระดับพลังจะไม่ส่งผลต่อความสั้นยาวของเวลาที่ตาย ทว่าตัวทดลองที่เขาเสาะหา อย่างมากสุดก็อยู่ในระดับปฐพีกำเนิดเท่านั้น ยังต้องมีการทดสอบในภายหลังอีก
นอกจากนี้ ลู่เซิ่งยังพบด้วยว่าแม้เขาจะเข้าออกโลกมารจิตได้อย่างอิสระ แต่ก็ไม่อาจฆ่าสิ่งใดในนั้นได้โดยตรง
ได้แต่อาศัยพลังของโลกมารจิตดูดซับพลังชีวิตของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น
กระนั้นถึงเขาจะไม่สามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตในโลกมารจิตได้ แต่ขณะที่ดึงอีกฝ่ายเข้ามาในโลกมารจิต เขาก็สามารถลงมือกำจัดกายเนื้ออีกฝ่ายในต้าอินได้โดยสมบูรณ์
แบบนี้ก็ยังเกิดข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายตายลงอยู่ดี
……………………………………….