ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 556 ต่อสู้ (2)
บทที่ 556 ต่อสู้ (2)
สองวันต่อมา
ชายแดนแคว้นนวกระจ่าง เขาเนินโค้ง
บุรุษใบหน้าเย็นชาสวมชุดคลุมสีม่วงคนหนึ่งโบกมือเสกแสงสีม่วงกลุ่มใหญ่ จากนั้นแสงก็กลายเป็นเหยี่ยวตัวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือจำนวนนับไม่ถ้วนกลางอากาศ แล้วพุ่งโจมตีวิญญาณร้ายกลุ่มใหญ่ที่อยู่ด้านล่างอย่างคลุ้มคลั่ง
เหล่าวิญญาณร้ายไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนแม้แต่น้อย พริบตาเดียวก็ถูกเหยี่ยวเล็กที่มีแสงม่วงกลืนกินจนดับสูญ ทนได้ไม่เกินสองอึดใจด้วยซ้ำ
ผู้นำของเหล่านักพรตกลุ่มหนึ่งที่หายใจรวยริน ร่างอาบเลือดบนพื้นดิน เป็นชายชราผมขาว ตอนนี้รีบสงบจิตใจและประสานมือไปทางฟากฟ้า
“ขอบคุณที่อริยะเจ้าทงลิ่งลงมือช่วยเหลือ ครั้งนี้คนของสำนักซ่อนธาตุมาทันเวลา ไม่อย่างนั้นเกรงว่าพวกเราคงบาดเจ็บล้มตายสาหัส”
บุรุษชุดคลุมสีม่วงพยักหน้าอย่างเรียบเฉย “ทุกท่านไม่ต้องเกรงใจ ที่นี่อยู่ใกล้รังของวิญญาณร้ายมากเกินไป พวกท่านควรออกไปในทันที”
ชายชราพยักหน้า “พวกเราจะไปในทันที” หลังจากเขาขานรับแล้ว ก็พาคนที่เหลือล่าถอยไปยังเทือกเขาอย่างรวดเร็ว
บุรุษชุมคลุมสีม่วงเห็นดังนั้น ขณะกำลังจะบินต่อไปยังอีกที่เพื่อเตรียมจะช่วยเหลือผู้รอดชีวิตกลุ่มถัดไป
เพียงแต่เขาเพิ่งจะหมุนตัวไป กลับตกใจในทันที
ไม่ทราบว่าด้านหลังเขามียักษ์สีเหลืองอ่อนที่สูงสามสิบหมี่กว่าๆ โผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่
ยักษ์กับเขาอยู่ใกล้กันมากๆ อีกนิดเดียวปลายจมูกก็จะชนใส่ตัวเขาแล้ว
“เจ้าแตะตัวข้าแล้ว” ยักษ์กล่าวอย่างจริงจัง
“วิญญาณร้ายหรือ” อริยะเจ้าทงลิ่งถอยอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป เขาสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายโผล่มาตอนไหน
“ความจริงข้าเป็นคนรักสงบ” ยักษ์ถอนใจด้วยดวงตาจนปัญญา “น่าเสียดายที่เจ้าแตะตัวข้าเข้าแล้ว”
“ไปตายซะ!” ตราประทับสามเหลี่ยมกลางหว่างคิ้วของอริยะเจ้าทงลิ่งเปล่งแสงสีฟ้า รอบตัวเขาปรากฏเส้นขนสีฟ้าที่เหมือนกับกระแสน้ำผืนใหญ่ในทันที
เส้นขนนับไม่ถ้วนไหลเวียนวน พร้อมกับสานกันเป็นปีกสีฟ้าของเหยี่ยวยักษ์ที่ยาวถึงสิบกว่าหมี่สองข้างอย่างรวดเร็ว
ปีกกระพือพัดกระแสอากาศบ้าคลั่งจำนวนมากขึ้นมา กลายเป็นพายุเป่าใส่ยักษ์
พายุกระแสอากาศนี้ไม่ใช่พายุธรรมดา ในนี้ยังแทรกประสิทธิผลด้านลบต่างๆ เช่น พิษรุนแรง ความอ่อนแอ ความเชื่องช้า และประสาทหลอนเอาไว้
“ด้วยโลหิตของข้า พายุเอ๋ย จงฟังคำสั่ง พายุม้วน…พรวด!”
ฝ่ามือสีเหลืองอ่อนขนาดยักษ์กดเขาไว้กับพื้น
เปรี้ยง!
หลังจากเสียงกระแทกทึบหนัก
มือใหญ่ค่อยๆ เลื่อนจากพื้น บนพื้นปรากฏเนื้อบดสีแดงเข้มหย่อมหนึ่ง
“เมื่อเจอข้า ก็อาจจะทำร้ายข้าได้ ตอนแรกข้าไม่คิดลงมือเลย…”
“เหตุใดต้องบังคับข้าด้วย” จั่วลาชักมือกลับ ดวงตาฉายแววเศร้าโศก
“เจ้า!?” ไกลออกไปมีแสงสีแดงบินมา เป็นอริยะเจ้าอีกคนจากสำนักพันอาทิตย์ที่มาช่วยเหลือ เป็นเด็กที่สวมอาภรณ์แดงคิ้วตากระจ่างคนหนึ่ง
เขาเพิ่งมาถึงไม่นาน จึงเห็นเหตุการณ์ที่จั่วลาใช้ฝ่ามือฟาดอริยะเจ้าทงลิ่งจนตายพอดี
ความสามารถคืนชีพระดับอริยะเจ้าไม่มีผลแม้แต่น้อย เพียงแค่ฝ่ามือเดียว เลือดเนื้อก็พังทลาย วิญญาณดับสูญ พลังชีวิตมลายหายไปในทันที
เด็กอาภรณ์แดงผุดสีหน้าแตกตื่นหวาดกลัว ต้าอินมีอริยะเจ้าอยู่เท่าไหร่ อีกฝ่ายถึงกับฟาดตายในหนึ่งฝ่ามือ ฆ่าทิ้งอย่าง่ายดาย
“ไม่ต้องกลัว” จั่วลาได้สติกลับมา มองไปที่เด็ก “ความจริงข้าเป็นคนรักสงบ ขอแค่เจ้าไม่ลงมือกับข้า ข้าก็จะไม่ทำร้ายเจ้า”
“เหอะ…เหอะๆ…อยางนั้นหรือ” เด็กน้อยสีหน้าเหยเก ค่อยๆ ถอยหลัง “อย่างนั้น ท่านพักผ่อนก่อน ถือเสียว่าไม่ได้เห็นข้า ข้าขอตัว…กลับก่อน”
“ไปเถอะ ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า ขอแค่เจ้าไม่ทำอะไรข้าก่อน” จั่วลาเอ่ยเสียงเป็นมิตร
“ขอบ…ขอบคุณ…” เด็กอาภรณ์แดงหัวเราะแหยๆ จากนั้นหลังจากถอยหลังมาเป็นระยะทางหนึ่ง ก็พลันหมุนตัว แล้วบินกลับทางที่มา
เปรี้ยง!
เขาชนใส่แก้มสีเหลืองอ่อนขนาดยักษ์เข้า
จั่วลาโผล่ขึ้นด้านหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ พริบตาที่เด็กน้อยบินด้วยความเร็วสูงสุด ก็ชนเข้ากับแก้มซ้ายของจั่วลาโดยที่เปลี่ยนทิศทางไม่ทัน
“เจ้าแตะตัวข้าแล้ว!” จั่วลาพลันลืมตาโต
“ไม่” เด็กน้อยผุดสีหน้าหวาดกลัว แล้วหมุนตัวจะบินไปยังที่อื่น
เปรี้ยง!
แต่ก็ไม่ทันการณ์แล้ว มือใหญ่อันน่าสะพรึงข้างหนึ่งไล่ตามเขามาจากด้านหลังในพริบตา จากนั้นก็ฟาดใส่เขาอย่างรุนแรงเหมือนกับตบแมลงวัน
“ทำไม…ทำไมต้องบีบบังคับข้าด้วย!?” จั่วลาแสดงสีหน้าเจ็บปวด “ข้าปล่อยเจ้าไปแล้วแท้ๆ ทำไมเจ้าต้องทำร้ายข้าอีก…”
เขาเลื่อนมือออก บนพื้นมีเนื้อบดสีแดงฉานเพิ่มมาอีกหย่อมหนึ่ง อาวุธเทพก็ดี ศพก็ดี ทุกสิ่งผสมปะปนกัน ไม่นานก็ถูกรากไม้เล็กๆ ปักเข้าใส่แล้วดูดซับพลังสารกายด้านในไป
“ฝ่าบาท…จั่วลาไม่อยากทำร้ายชีวิตใดๆ แต่เหตุใดทุกชีวิตจะต้องจงใจทำร้ายจั่วลาด้วย” ยักษ์กางสองมือและส่งเสียงตะโกนที่ทั้งจนใจและเจ็บปวด
…
ตูม!
ลู่เซิ่งกดวิญญาณร้ายร่างมนุษย์ตรงหน้าเข้ากับหน้าผาด้านหลังอย่างรุนแรง
“จงดิ้นรนเถอะ ให้ข้าได้เห็นหน่อยว่าเจ้าเคลื่อนไหวได้นานเท่าไหร่หลังจากไม่มีหัวแล้ว”
“ข้าคือวิญญาณร้ายมีชื่อ ข้าคือ…วิญญาณร้ายธาตุราตรีข่านตี่! อย่ามาดูถูกข้า!” แม้วิญญาณร้ายร่างมนุษย์จะไม่มีศีรษะเหลือแล้ว แต่ก็ยังปลดปล่อยเปลวไฟสีขาวอมเทาจำนวนมากออกมาจนร่างลุกไหม้ได้อยู่ดี
ผืนดินกำลังสั่นสะเทือน อากาศกำลังร้องโหยหวน มิติรอบๆ ถูกมันเผาจนบิดเบี้ยวและปรากฏรอยแตกสีดำอมเทาหลายสาย
“บังอาจยั่วโมโหข้า! เจ้าสิ่งมีชีวิต! เงามรณะสะกดวิญญาณ! อ๊าก!” วิญญาณร้ายร่างมนุษย์คำราม
พรวด!
เสียงเงียบลงอย่างกะทันหัน
ลู่เซิ่งยัดขาซ้ายของวิญญาณร้ายเข้าปาก ศีรษะหมาป่าขนาดใหญ่สะบัดไปมา เริ่มกินอย่างตะกละตะกลาม
กองทัพวิญญาณร้ายในบริเวณรอบๆ ที่ตอนแรกมีจำนวนมากกว่าหมื่น ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่สิบตัวที่กำลังเตลิดหนีไปทั่วเท่านั้น
‘ตัวที่สิบสามแล้ว มีเยอะมากจริงๆ ยิ่งวิญญาณร้ายรวมตัวกันมาก วิญญาณร้ายมีชื่อก็จะมีเยอะตามไปด้วย หรือว่าวิญญาณร้ายมีชื่อนี้จะเป็นร่างวิวัฒนาการของวิญญาณร้ายที่เกิดขึ้นมาเองจากการกลืนกินสารกายเป็นจำนวนมาก’ ลู่เซิ่งกินไปพลางไต่ตรองไปพลาง
เขากวาดตามองมนุษย์ตัวเล็กๆ เหมือนกับมดที่กำลังตัวสั่นงันงกบนพื้นไกลออกไป คนพวกนี้เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ถูกวิญญาณร้ายกลุ้มรุมในตอนแรก
จากนั้นลู่เซิ่งก็สาวเท้าเร่งรุดไปอีกทิศทางหนึ่งตามสัมผัสโดยไม่ได้อธิบายอะไร
‘เอาตามตรง รสชาติของวิญญาณร้ายไม่ได้ดีเท่าไหร่ นอกจากนี้ เรายังไม่ค่อยชอบกินหัวด้วย’ ลู่เซิ่งบ่นในใจ
ร่างหมาป่ายักษ์ร้อยเศียรขนาดมหึมาของเขารวดเร็วถึงขีดสุด แม้ตัวจะหดลงไม่น้อยเมื่ออยู่ในต้าอิน แต่หมาป่ายักษ์ก็ยังคงสูงสิบกว่าหมี่อยู่ดี แถมพละกำลังเองก็เป็นหนึ่งในสามเท่าของสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างร่างหลักของเขาด้วย
ข้ามผ่านเขตเนินเขากลุ่มหนึ่ง ตรงหน้าเปิดโล่ง เป็นทุ่งราบสีเทาผืนใหญ่
บนทุ่งราบเต็มไปด้วยวิญญาณร้ายจำนวนเหลือคณนา ในนี้มีเงาร่างขนาดยักษ์ที่สูงใหญ่อยู่ถึงสิบกวาสาย เป็นวิญญาณร้ายมีชื่อนั่นเอง
“มนุษย์หมาป่า!”
“กลิ่นอายของสิ่งมีชีวิต!”
“เลือดเนื้อ! ข้าได้กลิ่นของเลือดเนื้อ!”
พวกวิญญาณร้ายมีชื่อหันขวับไปมองลู่เซิ่งพร้อมกัน
เป็นเพราะมีวิญญาณร้ายมากเกินไป พื้นของทุ่งราบจึงเห็นเป็นเพียงสีเทา
“ฆ่ามัน!”
วิญญาณร้ายมีชื่อตัวหนึ่งตะโกน
ฟ้าว! ฟ้าวๆๆๆๆ!
วิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งใส่ลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่งทันที
พริบตานั้นในคลองจักษุเห็นแค่วิญญาณร้ายเต็มไปหมด เงาสีเทานับไม่ถ้วนหลั่งไหลมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ลู่เซิ่งนึกเฉลียวใจ วิญญาณร้ายมากมายขนาดนี้ ไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุดในการทดสอบโลกมารจิตหรอกหรือ
เขาใช้ความคิด จากนั้นจิตวิญญาณก็ปกคลุมอาณาเขตหลายพันหมี่รอบๆ ในพริบตา
ฟ้าว!
วิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนหายไปทันที วัตถุพิเศษกึ่งจริงกึ่งลวงชนิดนี้สามารถถูกโลกมารจิตดึงเข้าไปยังหนึ่งในพื้นที่ได้
เพียงแค่พริบตาเดียว วิญญาณร้ายบนทุ่งราบก็หายไปมากกว่าครึ่ง
หนึ่งอึดใจ…
สองอึดใจ…
สามอึดใจ…
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าในร่างกายมีพลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ถึงขีดสุดสายเล็กๆ พรั่งพรูออกมาอย่างฉับพลัน พลังจิตวิญญาณสายนี้หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณร่างหลักของเขา แล้วทำให้แหล่งกำเนิดของจิตวิญญาณใหญ่ขึ้นเล็กน้อยเหมือนกับน้ำผสมเข้ากับนม
‘โลกมารจิต…ที่แท้ก็ใช้แบบนี้’ ลู่เซิ่งพลันเข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่าจิตวิญญาณที่กลืนกินไปมีน้อยเกินไป ด้วยปริมาณจิตวิญญาณที่มหาศาลจนน่ากลัวของเขาในปัจจุบัน จึงสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อยว่าแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่
แต่พลังที่เพิ่มขึ้นหลังจากกินวิญญาณร้ายหลายหมื่นตนในคราวเดียวครั้งนี้ กลับเห็นได้ชัดเป็นพิเศษ
“เกิดอะไรขึ้นกัน?!” วิญญาณร้ายมีชื่อตนหนึ่งตกใจระคนโมโห ร่างกายที่เหมือนกับงูยักษ์ของมันถอยหลังอย่างบ้าคลั่ง
“มีบางอย่างกินทัพสิบเอ็ดไป” วิญญาณร้ายอีกตนตะโกน
“ฆ่ามัน! ฆ่าสิ่งมีชีวิตตัวนั้น!”
วิญญาณร้ายกรูใส่ลู่เซิ่ง พวกมันแน่ใจว่าเป็นฝีมือของลู่เซิ่งแน่ วิญญาณร้ายจำนวนมหาศาลพุ่งใส่ลู่เซิ่งเพื่อที่จะขย้ำเขาอย่างบ้าคลั่ง
ทว่าพอวิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าไปในอาณาเขตร้อยหมี่ของลู่เซิ่ง ก็หายวับไปในพริบตา เหมือนกับพุ่งหายเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง
ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนตามการหลั่งไหลเข้ามาอย่างบ้าคลั่งของวิญญาณร้ายว่า โลกมารจิตเหมือนกับกำลังขยายตัวขึ้น
แต่ว่าเหล่าวิญญาณไม่ท้อถอยแม้แต่น้อย ไกลออกไปยังมีวิญญาณร้ายที่ไร้ขอบเขตกำลังพุ่งมาทางนี้เช่นกัน
วิญญาณร้ายมีชื่อจำนวนมากสาวเท้ากระโจนใส่ลู่เซิ่งพร้อมกับตะโกนด้วยดวงตาแดงก่ำ
ชั่วขณะนั้นหน้า หลัง ซ้าย ขวา บน ล่าง โลกทั้งใบเหลือแค่วิญญาณร้ายดำรงอยู่เท่านั้น
ลู่เซิ่งมองวิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไร้ขอบเขตซึ่งอยู่ไกลออกไป พร้อมกับยกมือขึ้นคว้าใส่อากาศ
“พอดีเลย ให้ข้าดู…ขีดจำกัดของเจ้าหน่อยเถอะ”
พลังสีเทาหลายสายแผ่ตลบอบอวลออกมาจากบนร่างเขา ก่อนจะขยายออกไปรอบๆ
จากนั้นตราประทับงูสีเทาก็ปรากฏขึ้นกลางหว่างคิ้วของเขา สัมผัสที่ลี้ลับน่าอัศจรรย์ชนิดหนึ่งหลั่งไหลจากโลกมารจิตเข้าสู่ห้วงสมองของลู่เซิ่ง
“เป็นตายยอมสยบ!”
ซู่ว! ไอสีเทากลุ่มหนึ่งพลันกระจายออกไปมากกว่าร้อยลี้โดยมีลู่เซิ่งเป็นศูนย์กลาง
ทันใดนั้นวิญญาณร้ายในรัศมีร้อยลี้พลันหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเหมือนถูกแช่แข็งในพริบตา จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆ สลายจากล่างขึ้นบน
วิญญาณร้ายมีชื่อก็ดี วิญญาณร้ายธรรมดาก็ดี ชีวิตทั้งหมดถูกพลังงานประหลาดที่ไม่อาจต้านทานบางชนิดลากเข้าไปในความว่างเปล่าโดยไม่แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู และไม่อาจขืดขืนได้แม้แต่น้อย
สามอึดใจต่อมา ในรัศมีร้อยลี้เหลือแค่ลู่เซิ่งคนเดียว
…
บนพื้นดินแห้งแล้ง จั่วลาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ไกล
“ข้าได้ยินแล้ว…”
เขากำลังเคี้ยวกระดูกของสัตว์ยักษ์ที่วิญญาณร้ายหามาให้อย่างมูมมาม ตอนนี้เหมือนจะสัมผัสอะไรได้บางอย่าง จึงค่อยๆ ปล่อยซากในมือทิ้ง
“ทำไมกัน…ข้าพยายามหลีกเลี่ยงเต็มที่แล้วแท้ๆ ทำไมจะต้องทำร้ายข้าด้วย…ทำไมกัน!” จั่วลาหลับตาด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับเดินไปยังทางนั้น
เขาข้ามทุ่งราบผืนใหญ่ ข้ามภูเขาลูกเล็กๆ หลายลูก ไม่นานก็เห็นหมาป่ายักษ์ที่ยืนอยู่กลางพื้นที่ที่เงียบสงัดผืนนั้น
ทว่าสภาพประหลาดที่มีศีรษะมากกว่าร้อยข้างของหมาป่ายักษ์กลับสร้างความงุนงงให้แก่จั่วลาจนต้องหยุดฝีเท้าลง
“ข้า…ไม่อยากทำร้ายเจ้า ข้าเป็นคนรักสงบ ถ้าหากทำได้ เจ้าทำสิ่งที่เจ้าต้องทำ ข้าทำสิ่งที่ข้าต้องทำ พวกเราไม่ยุ่งเกี่ยวกันดีหรือไม่” จั่วลากล่าวอย่างจนใจเล็กน้อย
ลู่เซิ่งงุนงงเช่นกัน พอมองไปยังรากไม้นับไม่ถ้วนที่เป็นท่อนล่างของจั่วลา ดวงตาหมาป่าหลายคู่ก็กะพริบปริบๆ
“ย่อมได้ ความจริงเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าเองก็เป็นคนรักสงบเหมือนกัน” ศีรษะสามร้อยกว่าข้างเค้นยิ้มอย่างเป็นมิตร
“จริงหรือ” จั่วลางงงัน
“จริงแท้แน่นอน!” น้ำเสียงของลู่เซิ่งเป็นมิตรขึ้น ไอ้ตัวตรงหน้าไม่ถูกลากเข้าโลกมารจิต ถ้าหากกินได้ คงจะได้สารอาหารที่ไม่เลวแน่…
……………………………………….