ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 567 ขยับขยาย (1)
บทที่ 567 ขยับขยาย (1)
ฟ้าว!
ฟ้าว!
ฟ้าว!
เสาแสงสีดำหลายต้นพุ่งสู่ท้องฟ้า ใหญ่ถึงสิบกว่าหมี่ สร้างหลุมใหญ่ขึ้นมากมายบนพื้นดิน
ดาบสีดำในมือลู่เซิ่งระเบิดดังตูม กลายเป็นเศษซากปราณมารนับไม่ถ้วน ดาบนี้เป็นดาบดำปราณมารที่เขาสร้างขึ้นหลังจากเข้ามาในอาณาจักรอัสนี มันทนทานไม่ไหวแล้วเช่นกัน
เสาแสงสีดำปล่อยพลังอยู่ชั่วครึ่งก้านธูป ก่อนจะค่อยๆ จางหายไป
รอจนเสาแสงหายไป โลกศัสตราทั้งใบก็แตกเป็นเสี่ยงๆ มิติระเบิดดังเพล้ง กลายเป็นเศษกระจกนับไม่ถ้วน จากนั้นก็ค่อยๆ หายไปในอากาศ
ร่างของลู่เซิ่งอาศัยสภาวะปล่อยปราณมารสีดำออกมา พร้อมกลับคืนสู่ร่างเดิม
เขาสงบจิตใจ มองเห็นทุกที่มีแต่รูพรุน ตอนแรกรอบๆ คือทุ่งราบรกร้างสีเหลืองหม่น ตอนนี้กลายเป็นเนินเขาบุบสลายไปแล้ว
‘เป็นร่างแยกอย่างที่คิดไว้ แต่ร่างแยกถึงกับใช้โลกศัสตราได้ ราชาอริยะที่หนึ่งบุกตะลุยในต้าอินมาหลายปี นับว่าไม่ธรรมดาเหมือนกัน’
“ท่านพ่อ!”
ใกล้ๆ หลุมใหญ่ไกลออกไป ลู่หนิงกระโจนเข้ามาพร้อมกับน้ำหูน้ำตาที่ไหลพราก
ลู่เซิ่งกอดเขาเอาไว้
“บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ให้พ่อดูหน่อย!”
“ไม่…ข้าไม่เป็นไร แต่อาจารย์ข้า…ท่านอาจารย์…” ลู่หนิงน้ำตาไหลทะลัก
ลู่เซิ่งหยีตา ในการช่วยเหลือครั้งนี้ ทันทีที่เขาช่วยลูกชาย เขาก็สัมผัสถึงตาเฒ่าที่จิตวิญญาณเป็นแสงเจ็ดสีได้ทันที
กลิ่นอายนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับกลิ่นอายจิตวิญญาณในต้าอิน เป็นคลื่นที่ทั้งประหลาดทั้งอบอุ่นเป็นอย่างมาก
“อาจารย์เจ้า” เขาถาม “เจ้าเอาอาจารย์มาจากไหน”
ลู่หนิงจุกในลำคอ เขาก้มหน้าลงอย่างหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง อาจารย์ใกล้จะตายอยู่แล้ว เขากลัวว่าจะถูกท่านพ่อลงโทษจนเป็นเหตุให้การช่วยเหลือล่าช้าออกไป หากเป็นแบบนั้นลู่หนิงจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเด็ดขาด
เขาตัดสินใจเด็ดขาด เล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ได้วิธีการโคจรลึกลับนั้นมาได้อย่างไร ไปถึงการกระตุ้นจิตวิญญาณของจ่างชิงจื่ออย่างอธิบายไม่ได้ในภายหลัง
“จ่างชิงจื่อหรือ” ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย “ไม่ต้องรีบร้อน ให้ข้าตรวจสอบก่อน”
เขากวาดจิตวิญญาณออกไปในรัศมีหลายร้อยลี้รอบๆ ไม่นานก็รวมอยู่ที่สถานที่สามแห่ง
สถานที่แรกคือสถานที่ที่ร่างแยกของราชาอริยะที่หนึ่งถูกทำลาย หรือก็คือจุดที่โลกศัสตราแตกเป็นเสี่ยงๆ ตรงนั้นเป็นหลุมใหญ่ที่ลึกถึงร้อยหมี่ ด้านในไม่มีอะไรสักอย่างเดียว การพังทลายของโลกศัสตราเหมือนจะนำเอาสิ่งที่หลงเหลือทั้งหมดไป จนเหลือแค่หลุมใหญ่เท่านั้น
ลู่เซิ่งกวาดจิตวิญญาณอยู่สิบกว่ารอบ พอไม่พบสินสงครามใดๆ จึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็เจอบุรุษตาสีน้ำเงินกับบุรุษปีกสีดำที่ถูกเขาพาตัวเข้าไปในโลกมารจิต
ทั้งสองนอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าตกตะลึง แสดงให้เห็นว่าจิตวิญญาณถูกโลกมารจิตดูดซับไปแล้ว พวกเขาเลยเสียชีวิต หลงเหลือไว้แต่ร่างกายเท่านั้น
ลู่เซิ่งโบกมือยกตัวลู่หนิงขึ้น แล้วลอยตัวเข้าไปเก็บร่างสองร่างขึ้นมา จากนั้นก็เจอกลุ่มแสงหลากสีที่จ่างชิงจื่อผู้นั้นทิ้งเอาไว้อีกด้านหนึ่ง
ลู่เซิ่งได้ทราบเหตุการณ์จากปากลู่หนิงแล้ว จึงค่อนข้างรู้สึกดีต่อจ่างชิงจื่อผู้นี้ แม้ปัญหาจะเกิดขึ้นเพราะเขา แต่คนผู้นี้มีความรับผิดชอบ สุดท้ายยังคุ้มครองลูกชายของตนอย่างสุดชีวิตอีก นิสัยไม่เลว
เขาตรวจสอบคร่าวๆ เพียงใส่ยาหอมที่ใช้ช่วยฟื้นฟูจิตวิญญาณเข้าไปก็พอแล้ว อาการบาดเจ็บไม่ได้รุนแรงนัก
“ไม่ต้องห่วง อาจารย์เจ้าไม่เป็นไรแล้ว แต่ในเมื่อข้าเจอตัวเข้าแล้ว อาจารย์จอมเอาแต่ใจของเจ้ามีความสามารถอะไรมาเป็นอาจารย์ให้เจ้า พ่อขอพิจารณาอย่างละเอียดก่อน” ลู่เซิ่งยิ้มพร้อมกล่าวเบาๆ
“ข้าอยากให้เขาเป็นอาจารย์ให้ข้า!” ลู่หนิงร้อง
“นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า” ลู่เซิ่งโบกมือโปรยปราณมารกลุ่มหนึ่งออกมาห่อหุ้มกลุ่มแสงหลากสีเพื่อเก็บขึ้นมา
“เอาล่ะ กลับไปเถอะ ต่อจากนี้ควรไปจัดการธุระหลักอีกอย่างหนึ่ง” ลู่เซิ่งเงยหน้า แล้วมองไปยังชายแดนอันเป็นทิศทางของแคว้นนวกระจ่าง
การเป็นศัตรูกับสำนักอริยะที่หนึ่งในครั้งนี้ เขาจะต้องแจ้งต่อหลี่ซุ่นซีก่อน ตัวเขาไม่กลัวราชาอริยะที่หนึ่ง แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายใช้แค่ร่างแยกก็แทบกดดันให้เขาลงมือสุดกำลังได้แล้ว ถ้าหากร่างหลักมา เกรงว่าโลกศัสตราจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า พลังอันเด็ดขาดที่ต้องการก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าเดิมเช่นกัน
‘ดูเหมือนต้องยกระดับพลังต่ออีกแล้ว’
ลู่เซิ่งหวนนึกถึงการต่อสู้กับราชาอริยะที่หนึ่งเมื่อก่อนหน้านี้ คนที่เขาสู้ด้วยน่าจะเป็นจิตวิญญาณแกนหลักที่ตั้งอยู่ในอาณาจักรอัสนีปฐพีแผดเผาเหมือนกับร่างของเขาในโลกมารจิต
คิดจะเจาะทะลวงโลกศัสตรา การตามหาและแก้ไขช่องโหว่เป็นวิธีการที่ดี่ที่สุด ส่วนช่องโหว่ที่เจอก็ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ หากเป็นของอันตรายที่พวกเจ้าแห่งอาวุธติดตั้งไว้
ถ้าไม่มีพลังมากพอ ก็ถือว่าตาย
หลังจัดการเรื่องที่ลู่หนิงหายตัวไปสำเร็จ ลู่เซิ่งกำลังจะพาคนกลับวังมาร ในที่สุดมารหยินทั้งเก้าก็ค้นพบความผิดปกติ มีทัพที่ไม่ใช่ของแคว้นนวกระจ่างกำลังบุกโจมตีบริเวณใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก
หลังจากลู่เซิ่งทราบเรื่อง ก็ให้กระทิงปวดร้าวซึ่งเป็นหนึ่งในมารหยินใต้อาณัติของตนเองออกโรงแก้ไขวิกฤตการณ์
หลังจากที่พวกร่างแยกของราชาอริยะที่หนึ่งพ่ายศึก ทัพใหญ่ของสำนักไตรอริยะก็ถอยทัพ ก่อนจะประจัญหน้ากับมารหยินอยู่ที่เดิม
มารหยินทั้งเก้าของลู่เซิ่ง แต่ละตัวมีขนาดมหึมา ตัวที่น่าตกใจมากที่สุดในนี้คือกระทิงปวดร้าว แค่โครงสร้างกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งของมันก็สามารถพรรณนาระดับพลังของพวกมารหยินในปัจจุบันให้เห็นได้คร่าวๆ แล้ว
ทัพสำนักไตรอริยะใช้คาถาอาคมโจมตีร่างของกระทิงปวดร้าว แต่กลับไม่ได้ผลแม้แต่น้อย
ทัพต้นไม้ใหญ่กับกระทิงยักษ์สีดำประจันหน้ากันอยู่บนพื้นดินพักหนึ่ง หลังทราบว่าพวกบุรุษตาสีน้ำเงินที่เป็นแนวหน้าถูกฆ่าแล้ว ทัพต้นไม้ใหญ่ไม่เพียงไม่ถอยเท่านั้น กลับเริ่มเพิ่มกำลังพล
กองทัพจำนวนมากยึดครองแนวชายแดนของแคว้นนวกระจ่างมากกว่าครึ่ง โดยทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
หลังลู่เซิ่งตรวจสอบจำนวนที่แน่ชัดได้แล้ว ก็ส่งมารหยินทั้งเก้าไปรอบๆ เพื่อใช้อานุภาพสะกดชายแดน ป้องกันไม่ให้กองทัพของสำนักอริยะที่หนึ่งบุกจู่โจม
ส่วนตัวเขานำลู่หนิงกับจ่างชิงจือกลับสำนักมารกำเนิด
อาณาเขตที่ใช้สู้กับร่างแยกของราชาอริยะที่หนึ่งเมื่อก่อนหน้านี้เป็นส่วนที่ค่อนข้างรกร้างของแคว้นนวกระจ่าง เห็นได้ชัดว่าราชาอริยะที่หนึ่งได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่อาจทำร้ายผู้บริสุทธิ์ไว้แล้ว ดังนั้นจึงเลือกอาณาเขตที่มีภูมิประเทศโล่งกว้าง
น่าเสียดายที่สุดท้ายก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่ลู่เซิ่งอยู่ดี
…
สำนักไตรอริยะ ในถ้ำบนภูเขาลึกลับแห่งหนึ่ง
มังกรสีขาวน้ำนมตัวหนึ่งส่ายหางอย่างช้าๆ อยู่ที่ส่วนลึกด้านในถ้ำ มังกรยาวร้อยหมี่ กว้างสิบกว่าหมี่ เห็นเขาโค้งหกข้างบนศีรษะของมันได้อย่างเลือนรางผ่านม่านน้ำ
ชายชราผอมแห้งที่สวมชุดขนสัตว์สีฟ้าคนหนึ่งนั่งอยู่บนผิวบึง
ชายชรามีแผลเป็นสีแดงฉานในแนวตั้งสองสายอยู่กลางหว่างคิ้ว ซึ่งลากตั้งแต่สันจมูกไปจรดแนวตีนผม เหมือนกับถูกมีดสองเล่มเฉือน
“สำนักมารกำเนิด…ลู่เซิ่ง” เสียงถอนหายใจดังออกจากปากชายชรา เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“นึกไม่ถึงว่าโลกนี้จะมีสหายร่วมเส้นทางโผล่มาอีกคนอย่างไร้สุ้มเสียง”
“องค์ราชา จู่ๆ ทางแคว้นนวกระจ่างก็มีลู่เซิ่งโผล่มา เกรงว่าจะเป็นอุปสรรคต่อแผนการใหญ่”
ตอนนี้มีบุรุษสตรีวัยกลางคนหลายคนที่สวมเกราะดำยืนอยู่ริมบึงลึก บุรุษเครายาวคนหนึ่งในนี้ลูบเคราพลางพูดพึมพำ
“เพียงแต่ไม่ทราบว่าองค์ราชาทรงคิดจะเผด็จศึกเจ้าสำนักมารกำเนิดผู้นั้นหรือไม่”
ราชาอริยะที่หนึ่งที่นั่งอยู่บนผิวบึงส่ายหน้าน้อยๆ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ความอันตรายของการสู้กันด้วยโลกศัสตราไม่อาจดูแคลนได้ ระดับต่ำกว่าเจ้าแห่งอาวุธล้วนเป็นได้แค่มดปลวก ต่อให้มีคนมาก ก็ถูกดึงเข้าโลกศัสตราได้ในพริบตา รังแต่จะเพิ่มวิญญาณตายโหงเปล่าๆ นี่เป็นสาเหตุหลักที่ข้าไม่ได้ออกคำสั่งให้โจมตีแคว้นนวกระจ่างอย่างเป็นทางการ”
“องค์ราชาตรัสถูกต้องแล้ว ถ้าหากลู่เซิ่งนั่นร่วมมือกับประกายขั้วโลก ก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าแคว้นนวกระจ่างอาจกลายเป็นโรงบดเนื้อ ต่อให้มีกองทัพเท่าไหร่ก็ไม่พอถม” สตรีวัยกลางคนกล่าวเห็นด้วยเสียงทุ้ม
“เช่นนั้นเจ้ามีวิธีการอะไร” บุรุษวัยกลางคนคนก่อนหน้าขมวดคิ้วกล่าว
“วิธีการ…มีแต่ต้องร่วมมือกับสำนักอริยะที่เหลือเท่านั้น อาศัยสำนักอริยะที่หนึ่งของพวกเรามีพลังไม่เพียงพอ” นางส่ายหน้าพลางกล่าวอย่างช้าๆ
“ตามที่ข้ารู้ สำนักมารกำเนิดกับบุตรอริยะแห่งสำนักอริยะที่สามเคยร่วมเป็นร่วมตายกัน การปฏิบัติการของพวกเราทำให้เกิดความขัดแย้งกับลู่เซิ่ง เกรงว่าจะสร้างความไม่พอใจให้แก่สำนักอริยะที่สาม…” บุรุษเตือน
“กล่าวถึงที่สุด เป็นเพราะขุมกำลังของแคว้นนวกระจ่างอยู่เหนือความคาดหมายของเรา ข้าว่า พวกเราเปลี่ยนเป้าหมายดีกว่า”
มีคนโพล่งขึ้น พอกล่าวคำพูดนี้ออกไป ทุกคนก็คล้ายฉุกใจได้
ราชาอริยะที่หนึ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง นั่งเงียบๆ อยู่บนบึงน้ำ
ทุกคนปรึกษากันสักพักหนึ่ง จากนั้นก็มองดูราชาอริยะเป็นระยะ
“ได้ยินมาว่าองค์ราชาเคยทรงคิดส่งร่างแยกไปยังแคว้นนวกระจ่าง บางทีอาจสั่งให้ร่างแยกออกหน้าสะกดสถานการณ์ได้” มีคนกล่าว
ราชาอริยะที่หนึ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง พอนึกถึงร่างแยกที่ตายอย่างอนาถ ใจก็กระตุกทีหนึ่ง
“ร่างแยกมีธุระสำคัญ ยังไม่สะดวกเคลื่อนไหว”
“อย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็น่าเสียดาย ถ้าหากองค์ราชาแบ่งร่างแยกไปจัดการได้ ทางแคว้นนวกระจ่างคงไม่ตกสู่สภาพยื้อยันกันแบบนี้” คนเสนอค่อนข้างเสียดาย
“ถูกต้องแล้ว ในฐานะเจ้าแห่งอาวุธเหมือนกัน ด้วยพลังขององค์ราชา แค่เจ้าแห่งอาวุธที่เพิ่งเลื่อนขั้น จะต้องจับตัวไว้ได้แน่” อีกคนพยักหน้าเห็นด้วย
“ทุกคนโปรดรอก่อน ดูว่าองค์ราชาจะตัดสินใจอย่างไร”
ฉับพลันนั้นระดับสูงของสำนักอริยะทั้งหมดต่างมองไปยังราชาอริยะที่หนึ่งที่นั่งอยู่
สักพักใหญ่ๆ แม้ราชาอริยะจะทำหน้าไร้อารมณ์ แต่ในใจกลับจนปัญญาและกระอักกระอ่วน
เขาได้ลอบส่งร่างแยกไปช่วยเหลือพวกบุรุษตาสีน้ำเงินเพื่อจัดการสำนักมารกำเนิดซึ่งเป็นเภทภัยที่อันตรายที่สุดในแคว้นนวกระจ่างแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าจะถูกลู่เซิ่งกำจัดทิ้ง ร่างแยกโดนทำลาย ตอนนี้การศึกติดอยู่ในสภาพติดพัน
เขาไม่เข้าใจเลยว่าร่างแยกถูกทำลายได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ต่อให้ลู่เซิ่งจะเลื่อนเป็นระดับเจ้าแห่งอาวุธแล้ว แต่ก็เป็นแค่ระดับธรรมดาเท่านั้น
แม้ร่างแยกจะมีพลังแค่หนึ่งในสามส่วนของร่างหลัก ก็ไม่มีทางแพ้อย่างราบคาบแบบนี้
หลังจากลังเลสักพัก เขาก็เอ่ยขึ้นช้าๆ
“สภาพการณ์ยังไม่ชัดเจน คอยสังเกตไปก่อนสักสองสามวัน เรื่องเปลี่ยนเป้าหมายเร่งรีบเกินไป ไม่จำเป็นต้องพูดถึง”
“ตามพระประสงค์องค์ราชา!”
ทุกคนพลันพากันก้มหน้าลงเพื่อเคารพอย่างนอบน้อม
…
แคว้นนวกระจ่าง เขตจันทราสารท
ด้านในสวนดอกไม้ด้านหลังวังมาร ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมด้านในศาลา อีกด้านหนึ่งมีเงาคนที่เรืองแสงเจ็ดสีนั่งขัดสมาธิอยู่เช่นกัน เงาคนผมขาวโพลน ท่าทางแก่หง่อม เป็นจ่างชิงจื่ออาจารย์จอมเอาแต่ใจที่ลู่หนิงแอบกราบเอง
“ขอถามว่าสหายร่วมเส้นทางจ่างชิงจื่อมาจากที่ใด มาที่แคว้นนวกระจ่างของข้าเพราะจุดประสงค์ใด” ลู่เซิ่งถาม “ผู้แซ่ลู่ไม่ชอบทำอะไรอ้อมค้อม ขอให้ตอบตามตรงด้วย”
จ่างชิงจื่อยิ้มหนักใจ ตอนแรกนึกว่าตนเองเจอเมล็ดพันธุ์ที่ดี สามารถช่วยให้อีกฝ่ายเติบโตขึ้นได้ทีละก้าวๆ จากนั้นก็กลับคืนสู่ความเจิดจรัสในตอนแรก กลับนึกไม่ถึงว่าบิดาของเมล็ดพันธุ์จะแข็งแกร่งว่าตนไม่รู้กี่เท่า
“เจ้าสำนักลู่ตรงไปตรงมาจริงๆ” จ่างชิงจื่อส่ายหน้าน้อยๆ “ขอไม่ปิดบัง ข้ามาจากนอกดวงดาว ไม่ใช่คนในดาวปรภพแห่งนี้ เพียงแต่ถูกลากเข้ามาที่นี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะอุบัติเหตุ”
“อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หรือ”
“ถูกต้อง” จ่างชิงจื่อพยักหน้า “เจ้าสำนักลู่เคยได้ยินกฎเกณฑ์ตาข่ายดำมาก่อนหรือไม่”
“กฎเกณฑ์ตาข่ายดำหรือ” ลู่เซิ่งประหลาดใจเล็กน้อย “มันคืออะไร ผู้แซ่ลู่ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
จ่างชิงจื่อลูบเครา “กฎเกณฑ์ตาข่ายดำเป็นม่านฟ้าป้องกันที่มารดาแห่งความเจ็บปวด เจ้าของดาวปรภพติดตั้งเอาไว้ มีความสามารถพิเศษในการป้องกันสิ่งที่มีอันตราย และดึงดูดสิ่งพิเศษ ขอไม่ปิดบัง วิชาที่ข้าฝึกฝนมีความพิเศษ กฎเกณฑ์ตาข่ายดำจึงเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิต แล้วดึงตัวข้าเข้ามาที่นี่”
“มารดาแห่งความเจ็บปวดหรือ” ลู่เซิ่งจิตใจเคร่งขรึมเล็กน้อย แม้จ่างชิงจื่อจะมีพลังไม่เท่าไหร่ แต่ความรู้กลับเหนือกว่าใครในต้าอิน เห็นได้ว่ามาจากอารยธรรมนอกดวงดาวที่เจริญยิ่งกว่า
……………………………………….