ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 569 พลังผสาน (1)
บทที่ 569 พลังผสาน (1)
ครั้งนี้สาขาที่จัวหลินอยู่มาชมโรงงานสร้างเกราะเบาแห่งหนึ่ง เขาจึงถือโอกาสยืมเครื่องแบบนักเรียนหญิงมาให้อวี๋ซา เพื่อพาเธอมาเปิดหูเปิดตา แต่นึกไม่ถึงว่าจะประสบอุบัติเหตุกลางทาง
สะเก็ดไฟกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมากระแทกใส่ท้ายทอยของจัวหลินอย่างอธิบายไม่ได้ จากนั้นจัวหลินก็สลบไปทันที
ลู่เซิ่งนวดท้ายทอย ทำท่าเจ็บปวดทรมาน
พอนักเรียนที่อยู่รอบๆ เห็นเขาไม่เป็นอะไร นักเรียนที่ตอนแรกคิดจะไปหาอาจารย์ก็หยุดการเคลื่อนไหว
“ไปที่ห้องพยาบาลดีกว่านะ เดี๋ยวจะเป็นหนักกว่านี้” ซาเจี๋ยหัวหน้าห้องและหัวหน้ากลุ่มกล่าวพลางขมวดคิ้ว
“อีกเดี๋ยวฉันจะไปเอง” ลู่เซิ่งลุกขึ้นแล้วพยักหน้า
ครั้นคนอื่นๆ เห็นว่าเขายังยืนได้อยู่ ก็ไม่รุมล้อมเข้ามาอีก พากันจัดระเบียบกลุ่มใหม่ หัวหน้าห้องซาเจี๋ยพาทุกคนนำกลุ่มรับชมโรงงานต่อ
ชั้นเรียนก็เป็นแบบนี้ ดูเหมือนจะเป็นนักเรียนห้องเดียวกัน แต่ความจริงแล้วหากผ่านมหาวิทยาลัยสี่ปีไปเมื่อไหร่ ถ้าไม่ใช่มีนักเรียนที่โดดเด่นโผล่มา นักเรียนส่วนใหญ่ก็ไม่มีความผูกพันอะไรกันนัก
มีแต่ลูกหลานตระกูลกับกลุ่มลูกคนรวยเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะรวมตัวกันเพื่อเส้นสาย คนอื่นๆ แค่พยายามทุกวันเพื่อเรียนให้จบก็ถือว่าไม่เลวแล้ว จึงไม่มีเวลาไปดูแลกันเอง
ยิ่งอย่าว่าในชั้นเรียนชั้นหนึ่งจะมีนักเรียนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่จบได้ ทุกคนต่างก็แย่งชิงโควตานี้จนหัวร้างข้างแตก
ลู่เซิ่งปล่อยให้อวี๋ซาประคองอยู่ด้านหลังกลุ่ม พร้อมกับทบทวนความปรารถนาและผลกรรมของจัวหลินไปด้วย
‘โลกใบนี้น่าสนใจนิดหน่อย มนุษย์ใช้ร่างกายที่อ่อนแอเปราะบางควบคุมเกราะรบที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด ถึงแม้จะมีปืนเหมือนกัน แต่ก็อ่อนด้อยกว่าเกราะรบมาก ทว่าความแข็งแกร่งมากเกินไปของเกราะรบก็ทำให้ความแตกต่างระหว่างคนด้วยกันหดสั้นถึงขีดสุดด้วย หากผู้ใหญ่คนหนึ่งกับเด็กคนหนึ่งควบคุมเกราะรบระดับเดียวกันมาสู้กัน ขอแค่มีทักษะดีพอ เด็กก็สามารถฆ่าผู้ใหญ่ได้เหมือนกัน’
ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก เริ่มทบทวนผลกรรมความปรารถนาของจัวหลิน
‘ขอดู…ความปรารถนาหน่อยนะ…สืบหาความจริง ล้างแค้น!? ความจริงหรือ’
เมืองเซลลีนเมื่อสิบหกปีก่อนเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ ว่ากันว่าการระเบิดครั้งนั้นเป็นฝีมือของผู้ก่อการร้ายที่มีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ทราบว่ามีเป้าหมายอะไร แต่คล้ายเพื่อลอบสังหารบุคคลสำคัญคนหนึ่ง
การระเบิดส่งผลต่อสิ่งก่อสร้างจำนวนไม่น้อยในบริเวณใกล้ๆ ก่อให้เกิดผลลัพธ์สะเทือนขวัญที่มีคนตายราวหกสิบกว่าคน มีคนได้รับบาดเจ็บมากกว่าร้อยคน
และสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่จัวหลินอยู่ก็มีคนที่ตายไปเพราะการระเบิดสามสิบกว่าคน ส่วนใหญ่เป็นเด็กกำพร้าในนั้น
เพื่อนสนิทของจัวหลินตายในการสังหารหมู่ครั้งนั้นจนหมด
ดังนั้นความปรารถนาของเขาจึงเป็นการตามหาฆาตกรตัวจริงเพื่อแก้แค้น!
‘สังคมที่ใช้แค่เกราะรบแบบนี้ ความแตกต่างของเกราะรบจะตัดสินทุกอย่าง ไหวพริบส่วนตัวมีความสำคัญกว่าเดิม ยุ่งยากจริงๆ…’ ลู่เซิ่งอึดอัดใจเล็กน้อย เริ่มลองหยั่งเชิงกฎในโลกด้านนอกของที่นี่ดู
แต่ข้อมูลที่แก่นหยางป้อนกลับมากลับไม่ค่อยดีนัก
กฎเกณฑ์ของที่นี่แข็งแกร่งและแปลกประหลาดถึงขีดสุด พลังงานผิดธรรมซาติทั้งหมดจะถูกลดทอนและจำกัดถึงขั้นเหลือเชื่อ อย่าว่าแต่กำลังภายในหรือสารกาย ต่อให้เป็นเลือดลมขั้นพื้นฐาน ก็ถูกจำกัดสภาพเอาไว้จนคงสภาพไว้ไม่ได้
‘ยังดีที่การไหลของเวลาไม่เลว มีแต่การไหลของเวลาในโลกแบบนี้เท่านั้นที่เร็วที่สุดจริงๆ ด้วย หนึ่งวันของต้าอินเท่ากับสี่สิบกว่าวันของที่นี่ ใช้ได้ๆ’ ลู่เซิ่งเดินตามกลุ่มไปพลาง ใคร่ครวญหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ไปพลาง
หากคิดจะทำลายการจำกัดของกฎเกณฑ์และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของที่นี่ เพื่อให้ร่างหลักปรากฏตัวได้อย่างสมบูรณ์ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองปี
แน่นอนว่าถ้าเป็นเพียงแค่แก้ไขการจำกัดทีละนิดๆ ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร
‘ในเมื่อมาที่นี่แล้ว ก็ใช้กฎเกณฑ์ของที่นี่แก้ไขปัญหาเอาก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งใช้จิตวิญญาณกวาดไปทั่วร่างกายร่างนี้ทั้งด้านในด้านนอก และเริ่มปรับแต่งอาการบาดเจ็บภายในรวมถึงปัญหาต่างๆ ของกายเนื้อร่างนี้อย่างละเอียด
อวี๋ซาคอยประคองเขาอยู่ด้านข้าง ใบหน้ายังฉายแววเป็นห่วงเล็กน้อย
ระหว่างที่กำลังชมดูโรงงาน นักเรียนส่วนใหญ่หยิบกระดาษกับปากกาออกมาจดความเข้าใจและข้อมูล ข้อมูลและวิธีการสร้างเกราะรบของที่นี่เป็นความเข้าใจขั้นสูงที่ไม่เลวสำหรับนักเรียนที่ใช้เกราะรบในการต่อสู้จริง ซึ่งอาจจะช่วยเร่งการเติบโตให้แก่การควบคุมเกราะรบในวันหน้าของพวกเขาก็ได้
ลู่เซิ่งกวาดตามองสองสามครั้ง ก็เข้าใจวิธีการสร้างเกราะรบของที่นี่คร่าวๆ แล้ว
ส่วนใหญ่แล้วไม่ต่างจากเกราะจักรกลเท่าไหร่ ความจริงส่วนหลักสุดคือวัตถุดิบและแกนหลักสำหรับควบคุม
สองสิ่งนี้ไม่อาจแยกจากกัน ส่วนที่เหลือไม่ต่างจากโรงงานระบบสายพานบนโลกใบเก่าเท่าไหร่
“เอาล่ะ การรับชมในวันนี้จบลงแค่นี้ ทุกคนแยกย้ายกันกลับหอพักก่อน จากนั้นให้ทุกคนส่งความรู้สึกหลังเข้าชมมากกว่าสามพันตัวอักษรให้อาจารย์หลุยส์ด้วย
แยกย้ายได้” หัวหน้าห้องชาเจี๋ยโบกมือ จากนั้นก็หมุนตัวขึ้นรถยนต์สีดำคันหนึ่งหลังจากมอบหมายการบ้านที่อาจารย์ฝากไว้เสร็จ
นักเรียนคนอื่นๆ มีอยู่ไม่น้อยที่มีรถมารอรับส่งด้านนอกโรงงาน
นักเรียนที่เหลืออีกราวครึ่งหนึ่งรวมถึงลู่เซิ่ง ล้วนเป็นแค่คนธรรมดาและลูกหลานจากครอบครัวทั่วไป ต่างแยกย้ายไปทางใครทางมัน
ลู่เซิ่งซึ่งถูกอวี๋ชาประคองอยู่พิจารณาถนนหนทางและร้านรวงของที่นี่
สองฟากข้างของถนนสีเทาอมน้ำเงินคือร้านขายเครื่องมือช่างที่บ้างก็ปิดบ้างก็เปิด มีร้านขายขนมร้านหนึ่งแทรกอยู่ หน้าร้านมีคนต่อแถวยาว ครึกครื้นเป็นพิเศษ
ไฟริมถนนเป็นตะเกียงเจ้าพายุแบบยุโรปยุคกลาง ด้านนอกเป็นสีดำ ส่วนบนเป็นที่ครอบกระจกสี่ด้าน ด้านในเปิดแสงไฟไว้
ถนนสะอาดและเป็นระเบียบ รถที่ผ่านไปมาคล้ายๆ กับยุโรปในช่วงปฏิวัติอุสาหกรรม เสียงเครื่องยนต์ดังมาก ความเร็วไม่ได้สูงนัก ยังมีรถม้าจำนวนไม่น้อยแทรกตัวอยู่เป็นระยะ ด้านข้างแขวนป้ายที่ระบุว่ารถว่างเอาไว้
‘เป็นโลกที่ประหลาดจริงๆ’ ลู่เซิ่งส่ายหน้า ก่อนจะโบกรถม้าคันหนึ่งพร้อมกับอวี๋ซา แล้วก้าวขึ้นไป
“ไม่ต้องหรอกหลินหลิน รถม้าแพงมาก พวกเราเดินกลับก็ได้” อวี๋ซาคิดจะห้าม แต่ก็ไม่ทันการณ์แล้ว ลู่เซิ่งฉุดนางขึ้นไปบนรถม้า
ทั้งสองนั่งอยู่แถวหลังของรถม้าสี่ที่นั่ง หันหน้าเข้าหาลม ผมจึงถูกพัดจนตั้ง
“ก็ได้ๆ นั่งรถก็ได้ ขอโทษด้วยนะหลินหลิน ฉันลืมไปว่าเธอเพิ่งเป็นลม ร่างกายยังไม่ไหว…” อวี๋ซาพลันได้สติ กล่าวอย่างค่อนข้างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ปีนี้ฉันอายุยี่สิบแล้ว ควรจะคิดวิธีหาเงินสักที จะปล่อยให้เธอเลี้ยงตลอดไปไม่ได้หรอก”
“แต่ว่า…” อวี๋ชานิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ลืมตาโต เธอดีใจอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็เกิดความกลัวขึ้น
หลินหลินเป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนแพลตินัม หน้าตาหล่อเหลา ทั้งยังหุ่นดี หากว่าเขาหาเงินเองได้ อย่างนั้นเธอก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเขาแล้วสิ
แล้ววันหน้า ถ้าไม่มีความสัมพันธ์ระดับนี้ หลินหลินจะยังคบกับเธออยู่อีกไหม
อวี๋ซายิ่งคิดยิ่งกลัว ยิ่งคิดยิ่งกังวล
เทียบกันแล้ว เธอไม่มีอะไรเลย หน้าตาก็งั้นๆ ถึงรูปร่างจะพอใช้ได้ แต่ว่านักเรียนหญิงที่รูปร่างดีในโรงเรียนก็มีมากมายเหลือเกิน การออกกำลังกายเป็นเวลานานทำให้ร่างกายของพวกนักเรียนเรียกได้ว่างดงาม ส่วนเธอ…
อวี๋ชาก้มหน้า ขาสองข้างถูกัน พลันรู้สึกทุกข์ใจเล็กน้อย
“เป็นอะไรไปน่ะ” ลู่เซิ่งประหลาดใจอยู่บ้าง แต่พอนึกอีกที หากดูจากความสัมพันธ์ของจัวหลินกับอวี๋ซา เขาก็ทราบถึงความผิดหวังในใจเธอทันที
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” เขายื่นมือไปหยิกแก้มของอวี๋ซา “เธอกลัวฉันจะไปถูกใจนักเรียนหญิงคนอื่นในโรงเรียนใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องห่วง เทียบกับการผูกมิตรเพื่อผลประโยชน์ที่ไม่ยั่งยืนแบบนั้นแล้ว ความรักระหว่างพวกเราเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด”
แม้อวี๋ซาจะยังคงกังวลเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ อารมณ์ก็ดีขึ้นบ้าง เธอยื่นมือไปกุมมือลู่เซิ่ง แล้วนำมาวางไว้บนขาอ่อนของตัวเองเบาๆ
“ถ้าเธอต้องการ…ฉัน…ฉันให้ได้นะ…” เหมือนเธอจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง จึงก้มหน้าที่แดงก่ำลงพร้อมกล่าวอย่างอายๆ
“ไม่เป็นไร พวกเราทำตามที่ตกลงกันเถอะ” ลู่เซิ่งยิ้มแล้วโอบกอดเธอไว้
ขณะนั่งรถม้า ลู่เซิ่งคอยตรวจสอบทิวทัศน์ของเมืองเมืองนี้ไปด้วย
โรงเรียนแพลตินัมตั้งอยู่ในเมืองสวิตแมน เมืองอันดับสองของสหพันธรัฐอัลเลน ที่นี่มีโรงงานแปรรูปโลหะชนิดพิเศษที่ใหญ่ที่สุด และมีเหมืองแร่อัลลอยที่ใหญ่ที่สุดด้วย
ไม่เพียงแต่โรงเรียนแพลตินัมเท่านั้น ยังมีโรงเรียนทหารขนาดกลางอีกสองแห่งที่ลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่เช่นกัน
ความรู้สึกที่เมืองสวิตแมนมอบให้กับลู่เซิ่งเหมือนกับลอนดอนในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ใต้ชั้นเมฆที่มีหมอกหนาเต็มไปด้วยฝุ่นละอองที่ลอยตลบอบอวล สภาพพื้นดูเหมือนสะอาดเป็นระเบียบ แต่ถ้าสังเกตเห็นดี จะพบว่ามีฝุ่นสีดำไม่น้อยปกคลุมผิวถนนบางๆ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ทุกคนสวมใส่ชุดอย่างเหมาะสม แต่ไม่ว่าจะยากดีมีจนก็ล้วนใส่ชุดที่สะอาดและเรียบร้อย โดยใช้สีดำอมเทาเป็นหลัก คนจรจัดมีอยู่น้อยมาก
หลังจากที่รถม้าเคลื่อนไปยังโรงเรียน อวี๋ชาก็ลงรถกลางทางแล้วกลับไปที่ห้องเช่าของเธอ เธอหางานทำใกล้ๆ โรงเรียนเพื่อจัวหลิน โดยมอบเงินเดือนเกือบทั้งหมดให้จัวหลินใช้จ่ายในโรงเรียน แต่ตัวเองกลับใช้ชีวิตอย่างกระเบียดกระเสียร
ลู่เซิ่งไม่ได้ลงรถตาม หลังมองตามจนอวี๋ซาจากไป เขาก็รอจนกระทั่งถึงประตูโรงเรียน จึงค่อยๆ ลงจากรถ
ประตูของโรงเรียนแพลตินัมเป็นรูปสลักโลหะรูปคนสีดำขนาดใหญ่สองตัว ซึ่งกลายเป็นเสาค้ำประตู ประตูเหล็กขนาดยักษ์ตรงกลางรูปสลักเป็นประตูเข้าออก
ตอนนี้ประตูเหล็กเปิดอ้าอยู่ หลังลู่เซิ่งจ่ายเงินแล้ว ก็เดินเข้าโรงเรียนพร้อมกับนักเรียนที่เข้าๆ ออกๆ อย่างคุ้นเคย
ตึกเรียนและตึกทดลองหลายแห่งมีฐานเป็นสีขาวหลังคาเป็นสีดำ ไม่ต่างจากมหาวิทยาลัยทั่วไปเท่าไหร่
นักเรียนในโรงเรียน ผู้ชายจะสวมเสื้อเชิ้ตตัดเข้ารูป กางเกงขายาว และเนคไท ส่วนผู้หญิงจะสวมเชิ้ต กระโปรง และถุงน่อง
มองดูคร่าวๆ ไม่เหมือนเข้ามาในโรงเรียนทหาร แต่เหมือนเข้ามาในโรงเรียนของพวกดารามากกว่า
ลู่เซิ่งเดินกลับหอพักผ่านถนนหลักอย่างคุ้นเคย ไม่นานก็เจอห้องของตัวเอง ก่อนจะเข้าไปแล้วล็อคประตูห้อง
จุดดีเพียงหนึ่งเดียวในโรงเรียนก็คือ นักเรียนทุกคนจะอยู่หอคนเดียว ไม่มีข้อยกเว้น
ทันทีที่เข้ามาในห้อง สายตาของเขาก็มองไปยังเกราะรบติดตั้งภายนอกที่เป็นโลหะสีขาวขนาดบางที่แขวนตรงมุมผนังทันที
นอกจากเกราะชุดนี้แล้ว ห้องก็เปิดโล่งและสว่าง ไม่แตกต่างจากหอในมหาวิทยาลัยทั่วไป
ห้องนอน ห้องเรียน ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ สิ่งใดควรมีก็มีครบครัน เพียงแค่ไม่มีห้องรับแขกเหมือนกับที่พักอาศัยทั่วไปเท่านั้น
ลู่เซิ่งเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าเกราะรบ แล้วยื่นมือไปสัมผัสผิวของมันเบาๆ
เย็นเยียบและเรียบเนียนราวกับผ้าไหม
เขาพลิกส่วนไหล่ของเกราะดู ด้านใต้มีคำเล็กๆ สลักเอาไว้
‘รูปแบบบางเบาสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน—หมายเลขเกราะรบ X17—ให้นักเรียนใช้สำหรับฝึกฝน ’
‘นี่คือเกราะรบของโลกใบนี้เหรอ’ ลู่เซิ่งพลิกดูอย่างละเอียดด้วยความสนใจ และปลดมันลงจากผนัง
เกราะรบมีน้ำหนักประมาณสิบกว่ากรัม ส่วนหัวเป็นหมวกเกราะโลหะที่เรียบง่าย เป็นทรงกลมเหมือนกับหมวกกันน็อก
ส่วนตัวเหมือนกับชุดรัดรูป ใช้โลหะสีขาวห่อหุ้มร่างกายไว้ง่ายๆ ตรงข้อต่อและจุดอ่อนมีตัวป้องกันสีขาวชนิดพิเศษนูนขึ้น
โครงสร้างทั้งหมดเรียบง่ายถึงขีดสุด
‘ขอดูความลับที่แท้จริงของโลกใบนี้หน่อยเถอะ’ ลู่เซิ่งยื่นมือไปกดตรงหว่างคิ้วของเกราะรบ
……………………………………….