ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 572 ระดับ (2)
บทที่ 572 ระดับ (2)
“สามสิบห้าหยวน” ด้านหลังบาร์เครื่องดื่มที่ทรุดโทรมสีเหลือง สาวเสิร์ฟจมูกเหยี่ยวคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตติดกระโปรงสีขาว กำลังเขย่ากระบอกผสมเหล้า จากนั้นก็เทเหล้าออกมาใส่แก้วที่อยู่ด้านหน้าเบาๆ
ด้านในมีเหล้าสีแดงอ่อนพร้อมกับตะกอนสีแดงเล็กๆ กระเพื่อมอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนที่เห็นนึกถึงพลาสมาของเลือดที่กึ่งแข็งตัว
ด้านหน้าบาร์เครื่องดื่ม ชายหนุ่มสวมเสื้อกันลมสีเทาคนหนึ่งเกาผมสั้นสีทองที่ยุ่งเหยิง พร้อมกับกดเงินไว้บนโต๊ะแล้วผลักออกไป จากนั้นก็ยกเหล้าขึ้นดื่มช้าๆ อยู่หลายคำ
“เบื้องบนต้องการอะไร โรงเรียนแพลตินัมมีกล้องอยู่หลายตัว พอลงมือแล้วพลาดค่อยมาหาฉัน งานยากจะตายชัก ค่าตอบแทนไม่พอหรอก…”
“ค่าตอบแทนเพิ่มได้ ในโรงเรียนมีสายอยู่ด้านใน ลงมือได้อย่างเต็มที่” สาวเสิร์ฟตอบอย่างราบเรียบ “แน่นอนว่าหากความยากลดลง ค่าตอบแทนของนายก็จะต้องแบ่งส่วนหนึ่งให้สายด้านในด้วย ไม่มีปัญหาสินะ”
“สายด้านในหรือ ก็ยังดี งั้นฉันรับ” ชายหนุ่มผมทองนวดจมูกพร้อมกับสูดน้ำมูกที่เกือบจะไหลออกมากลับไป จากนั้นก็ดื่มเหล้ารวดเดียวหมด คว่ำแก้วลงบนบาร์เครื่องดื่ม ก่อนจะหมุนตัวจากไป
“เด็กน้อยที่ยังไม่มีแม้แต่ชุดเกราะรับรอง ต้องให้นักท่องราตรีระดับเกราะขุนพลคนหนึ่งออกโรงเลยเหรอเนี่ย” สาวเสิร์ฟรำพึง
“นักท่องราตรีขาดอีกนิดเดียวก็จะเก็บทรัพยากรได้ครบแล้ว หลังปรับเปลี่ยนจะสามารถไปถึงระดับขุนพลเกราะมีฉายาได้แล้วใช่ไหม” สาวเสิร์ฟอีกคนเดินเข้ามาถามเบาๆ
“ใกล้เคียง เมืองแห่งนี้มีขุนพลเกราะมีฉายาอยู่ไม่กี่คน มีน้อยเกินไป หลังจากครั้งนี้ คาดว่าเบื้องบนจะเรียกขุนพลเกราะที่อยู่ในระดับแนวหน้ามา ถึงเวลานั้นคงยุ่งแน่” บริกรชายกล่าวพลางยักไหล่ “เพลิดเพลินกับช่วงเวลาว่างในตอนนี้ให้ดีเถอะ”
ความจริงขุนพลเกราะเป็นคำเรียกของผู้ที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งซึ่งทำชุดเกราะตามแบบของตัวเอง
มนุษย์จำพวกนี้ฝึกฝนและเติบโตจากเกราะทหารและเกราะขุนพลแบบที่กำหนดไว้ มนุษย์ประเภทนี้จะค่อยๆ พบจุดเด่นและจุดอ่อนของตัวเองในการฝึกฝนอันยาวนาน จากนั้นก็จะออกแบบชุดเกราะระดับขุนพลที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด
เกราะขุนพลแตกต่างจากเกราะทหาร ตรงที่ต้องมอบให้ระดับนายทหารขั้นสัญญาบัตร ทั้งยังมีมาตรฐานที่ไม่เลวในด้านการออกแบบวัสดุ
เกราะขุนพลทุกชนิดที่ปรับปรุงโดยใช้สิ่งนี้เป็นพื้นฐานจึงแสดงอานุภาพได้ไม่น้อย เพราะมีจุดเด่นที่เข้ากับขุนพลเกราะได้ดีถึงขีดสุด
หากมนุษย์ใช้มันได้ดี ก็จะกลายเป็นขุนพลที่สู้หนึ่งต่อสิบ หรือถึงขั้นรับหน้าที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในยุทธการทางการรบที่สำคัญได้ เนื่องจากมีพลังเหี้ยมหาญ จึงเทียบได้กับทหารหน่วยรบพิเศษในหมู่มนุษย์
ในสหพันธรัฐอัลเลน ขุนพลเกราะได้รับฉายามากมาย ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าขุนพลเกราะมีฉายา
นักท่องราตรีซื้อบุหรี่ซองหนึ่งในร้านชำตรงมุมโค้งแห่งหนึ่งหลังออกจากบาร์ แล้วหยิบบุหรี่ออกมาสูบ
‘ใกล้จะถึงการสอบใหญ่ของโรงเรียนแพลตินัมแล้ว เลือกวันหลังจากการสอบใหญ่ก็แล้วกัน ความผ่อนคลายหลังความตึงเครียดจะเป็นช่องโหว่ที่หาได้ง่ายที่สุด’ เขาหยิบม้วนกระดาษม้วนเล็กๆ ออกจากแขนเสื้อ แล้วนำมากางออก ด้านบนเป็นภาพวาดขาวดำภาพหนึ่งกับลายมือแนะนำคร่าวๆ ส่วนหนึ่ง
ภาพเหมือนบนภาพวาดคือจัวหลินในฝ่ายยานเกราะของโรงเรียนแพลตินัม
…
‘ไหนดูหน่อยว่ารางกายร่างนี้ปรับตัวเข้ากับการยกระดับได้เร็วขนาดไหน’ ลู่เซิ่งนั่งลงบนเตียงพลางมองกรอบของดีปบลู
‘มนุษย์เหล็กสามระดับยกระดับหนึ่งขั้น’
กรอบพร่ามัวพร้อมกับที่เขาเพ่งความคิด แล้วชัดเจนทันที
[มนุษย์เหล็กสามระดับ: ระดับหนึ่งขั้นสอง (พลังผสานชุดเกราะ: ระดับอ่อนแอขั้น 4)]
การเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดถึงขีดสุดปรากฏบนผิวอีกครั้ง ลู่เซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ รู้สึกว่าการยกระดับน้อยกว่าครั้งก่อนแล้ว
‘เอาอีก’
เขาเพ่งความคิดอีกรอบ กรอบชัดขึ้นอีกครั้งหลังจากพร่ามัว
[มนุษย์เหล็กสามระดับ: ระดับหนึ่งขั้นสาม(พลังผสานชุดเกราะ: ระดับอ่อนแอขั้น 4)]
‘การยกระดับครั้งนี้ลดลงแล้ว ไม่สามารถทำให้พลังผสานยกระดับขึ้นได้…เป็นปัญหาของวิธีการฝึกฝน หรือเพราะร่างนี้มีศักยภาพไม่พอกันแน่’ ลู่เซิ่งนิ่วหน้า
‘ต่อดีกว่า ดูว่าจะยกระดับได้มากสุดเท่าไหร่’
พอตกลงใจได้ ลู่เซิ่งก็เพิ่มระดับต่อ เมื่อมีสื่อการสอนและขั้นตอนอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ความจริงเครื่องมือปรับเปลี่ยนกำลังลดระยะเวลาการฝึกฝนของวิธีฝึกฝนอย่างใหญ่หลวงอยู่ โดยทำให้การฝึกฝนที่ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองปีถึงจะฝึกฝนจนยกระดับได้ไปถึงสภาพสมบูรณ์ในเวลาที่สั้นสุดขีด
เป็นเพราะไม่ใช่การเรียนรู้ จึงเปลืองพลังงานน้อยมาก
[มนุษย์เหล็กสามระดับ: ระดับหนึ่งขั้นสี่ (พลังผสานชุดเกราะ: ระดับอ่อนแอขั้น 4)]
ไม่นานระดับการฝึกฝนและระดับพลังผสานของลู่เซิ่งก็อยู่ในระดับเดียวกัน ซึ่งก็คือขั้นสี่
การยกระดับในครั้งนี้ลดลงกว่าเดิม
ลู่เซิ่งสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของร่างกายดู คล้ายกับร่างกายยังรับไหว จึงปรับเปลี่ยนและยกระดับต่อไป
‘ยกระดับมนุษย์เหล็กสามระดับ’
ชิ้ง! กรอบพร่ามัวแล้วชัดขึ้นใหม่
[มนุษย์เหล็กสามระดับ: ระดับหนึ่งขั้นห้า(พลังผสานชุดเกราะ: ระดับอ่อนแอขั้น 5)]
ในที่สุดพลังผสานก็ยกระดับขึ้นหนึ่งขั้น
ลู่เซิ่งกลับไม่ได้ดีใจแต่อย่างไร หากปรับเปลี่ยนต่อไปอย่างอดทน
เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงข้อจำกัดของร่างกายแล้ว ในทางเดียวกัน พลังอาวรณ์ที่เสียไปก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
หลังมาถึงขั้นห้า ก็ใช้พลังอาวรณ์ถึงหนึ่งหน่วยแล้ว
‘ยกระดับมนุษย์เหล็กสามระดับต่อ’
ไม่นานนัก พลังผสานก็ได้ทะลวงจากระดับอ่อนแอขั้นห้าถึงระดับกลางขั้นหนึ่ง ระดับกลางขั้นสอง และระดับกลางขั้นสาม
จากนั้นก็หยุดชะงัก
‘นี่คือขีดจำกัดของร่างกายร่างนี้’ ตอนนี้ลู่เซิ่งยกระดับติดต่อกันอย่างรวดเร็ว และเข้าใจคร่าวๆ แล้วว่าพลังผสานนี้เป็นสิ่งใด
มันเป็นสนามพลังรวม เป็นสนามพลังประหลาดที่ร่างกาย วิญญาณ และจิตมารรวมตัวกัน และสร้างขึ้นตามธรรมชาติด้วยสัดส่วนที่แน่นอน
สนามพลังชนิดนี้สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้แก่พลังสัมผัสและพลังควบคุมต่อวัตถุรอบๆ ตัวได้ในระดับสูงสุดผ่านการใช้พลังจิตและพลังกาย
การยกระดับขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งของมนุษย์เหล็กสามระดับทำให้โครงสร้างกล้ามเนื้อบนตัวเขานูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น รูปร่างสมส่วนธรรมดาก็ขยายขึ้นเป็นนักเรียนร่างกำยำที่มีกล้ามเนื้ออยู่บ้าง
‘ร่างกายเริ่มปรับตัวตามไม่ไหวแล้ว ความเร็วของกระบวนการเผาผลาญสารอาหารเพิ่มขึ้นเป็นห้าเท่าจากเดิม ไม่อาจไปต่อได้อีกแล้ว ต้องใช้เวลาตกตะกอนและปรับตัวก่อน’ ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจออกยาวๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเทน้ำให้ตัวเองอีกแก้วหนึ่ง
เพราะผลข้างเคียงของการยกระดับมนุษย์เหล็กสามระดับ แม้พละกำลังและความอดทนของรางกายร่างนี้จะเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของคนออกกำลัง
ดีที่จัวหลินไม่ได้มีงานสังคมเพิ่มเติม สองสามวันต่อมา อวี๋ชาก็มาที่โรงเรียนเพื่อนำเครื่องแบบที่ซักสะอาดแล้วมาคืนให้ ลู่เซิ่งจึงอาศัยข้ออ้างนี้ไปคืนเครื่องแบบให้เซี่ยเฉิง
นอกจากนี้ก็ไม่มีเรื่องราวอื่นๆ อีก ทุกๆ วันนอกจากไปกินข้าวอย่างมูมมามที่โรงอาหาร เขาก็พักผ่อนอยู่ในหอพัก ไม่ได้สนทนากับใคร
บางทีอาจเป็นเพราะยกระดับขึ้นไม่มาก บวกกับมีแก่นหยางคอยซ่อมแซมด้านในร่างกายและปรับปรุงคุณสมบัติร่างกายให้ วันที่สี่ลู่เซิ่งก็ฟื้นความเร็วของกระบวนการเผาผลาญสารอาหารกลับมาที่เดิม
จากนั้นก็เริ่มการยกระดับรอบใหม่
กลางดึก เขาตื่นขึ้นมาเพราะนอนไม่หลับ ก่อนจะเทน้ำแก้วหนึ่งเพื่อดื่ม พอรู้สึกว่าร่างกายฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว ก็ถือโอกาสขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า
ความมืดก่อนฟ้าสางในเวลาตีสี่ ท้องฟ้ามืดสนิท ไม่มีแสงจันทร์
ลู่เซิ่งหามุมหนึ่งแล้วทรุดนั่งลง
‘บางครั้งเวลาไม่มีเรื่องอะไร การจุติลงมายังโลกด้านนอกเพื่อผ่อนคลายจิตใจก็นับว่าไม่เลวเหมือนกัน’ เขาฉีกถุงคุกกี้ออก บีบอัดแล้วยัดเข้าปาก
‘ดีปบลู’
ลู่เซิ่งนึกในใจ ด้านหน้าปรากฏกรอบดีปบลูทันที
ขณะกำลังจะยกระดับพลังผสานต่อ อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็ได้กลิ่นคาวเลือดที่ลอยมาตามลม
‘ในโรงเรียนเอากลิ่นคาวเลือดมาจากไหน’ เขาพลันระวังตัวขึ้นมา
ตุบ…ตุบ…
เสียงฝีเท้าเผ่วเบาดังมาจากขอบดาดฟ้าที่อยู่ไกลออกไป
ลู่เซิ่งหดตัวอยู่ตรงมุมหนึ่ง ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่เห็น
“เอาของมาหรือยัง”
“อือ เอามาหมดแล้ว”
ผู้ชายน้ำเสียงเย็นชาสองคนคุยกันเบาๆ
“มือหนึ่งจ่ายเงินอีกมือมอบของ”
“ยินดีที่ได้ร่วมงาน”
“ยินดีที่ได้ร่วมงาน…หือ?! แก!”
อยู่ๆ ผู้ชายคนหนึ่งก็ส่งเสียงกระอัก พูดยังไม่ทันจบ เสียงก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งหยีตา ได้ยินเสียงร่างมนุษย์ล้มลง กับเสียงของมีคมถูกดึงออกจากร่างกาย เขาลุกขึ้นมาด้วยความตกใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้ขยับเขยื้อน
ไม่นานนักตรงดาดฟ้าก็มีเสียงแล่เนื้อดังครืดๆๆ ไม่ถึงสิบนาที ทุกอย่างก็จบลง
จากนั้นเสียงฝีเท้าก็ค่อยๆ ออกห่าง ลงบันไดไป คล้ายว่าจากไปแล้ว
ลู่เซิ่งค่อยๆ เดินออกมาด้วยสีหน้าที่ยังเหมือนเดิม เหลียวมองดูรอบๆ นอกจากกลิ่นคาวเลือดจางๆ ในอากาศแล้ว ที่นี่ก็ไม่เหลือร่องรอยใดๆ อีก
‘น่าสนใจ’ เขาฉีกยิ้มพร้อมกับลงบันได ก่อนจะเจอเถียถ่าที่กำลังเดินขึ้นมาพอดี
เพื่อนบ้านที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามของเขาคนนี้ถือกระบองเหล็กขนาดเท่าแขนท่อนปลายไว้ในมือ กำลังขึ้นบันไดมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ลู่เซิ่งยิ้มให้เขา ก่อนจะลงบันไดเฉียดผ่านด้านข้างเขา
“หยุดก่อน!” เถียถ่าพลันเรียกเขาด้วยเสียงเฉียบขาด
“มีอะไร” ลู่เซิ่งหันไปอย่างสงสัย
“นายใช่ไหม” เถียถ่าจ้องมองลู่เซิ่งสักพัก ก่อนกล่าวเสียงเย็น “เมื่อครู่ฉันเห็นบิลลี่ขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าด้วยตาตัวเอง ตอนนี้เซนเซอร์ของเขาหายไปแล้ว”
“บิลลี่หรือ ใครกัน” ลู่เซิ่งไม่รู้จัก แต่ก็แสดงออกอย่างผ่อนคลายมาก
ถ้าหากเป็นก่อนหน้า หากจัวหลินที่เย็นชาเผชิญกับเถียถ่าที่มีพลังผสานในระดับกลางขั้นสี่ จะต้องนึกกลัวโดยไม่รู้ตัวแน่
เถียถ่าไม่ใช่แค่มีพลังผสานมากกว่าเขาเท่านั้น รูปร่าง พละกำลัง และทักษะการต่อสู้ล้วนอยู่คนละระดับกับเขา
อีกฝ่ายเป็นหัวกะทิที่ถูกจัดอยู่ในระดับสูงของทุกชั้นปี เบื้องหลังยังมีอำนาจของตระกูล ส่วนเขาจัวหลิน เป็นแค่หนึ่งในนักเรียนธรรมดาที่ไม่โดดเด่นแม้แต่น้อยเท่านั้น
“ไม่รู้จักเหรอ” เถียถ่าสีหน้าอึมครึมลง “หวังว่านายจะพูดความจริง ฉันจะตรวจสอบทุกอย่างจนรู้เรื่องแน่ อีกเดี๋ยวไปบอกเฉวียนสือฮุยซะว่า ไม่ช้าก็เร็ว ฉันจะจับจุดอ่อนของหล่อน จากนั้น…จะฆ่าหล่อนทิ้งให้ได้!”
ลู่เซิ่งเงียบ เขาไม่รู้ว่าเฉวียนสือฮุยเป็นใคร แต่ดูจากท่าทางแค้นนักแค้นหนาของเถียถ่า แสดงว่าน่าจะเป็นคนที่อันตรายถึงขีดสุดในโรงเรียน
“ถ้าฉันบอกว่าที่ฉันมาโผล่แถวนี้เป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆ นายจะเชื่อไหม” ลู่เซิ่งยังคิดจะเถียงให้ตัวเอง
“นายว่ายังไงล่ะ” เถียถ่าผุดสีหน้าเยาะเย้ย จากนั้นก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าต่อโดยไม่สนใจลู่เซิ่งอีก
ลู่เซิ่งคร้านจะพูดมาก เห็นได้ชัดว่าเขาโดนลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่อธิบายไม่ได้เข้าให้แล้ว
หลังจากแยกกับเถียถ่า เขาก็ลงบันไดต่อ ตอนเดินไปถึงลิฟท์ ประตูลิฟท์กำลังอ้าอยู่ นักเรียนหญิงผอมสูงคนหนึ่งยืนอยู่ในลิฟท์โดยกดปุ่มเปิดประตูค้างไว้
สิ่งที่ประหลาดก็คือ เธอกำลังหลับตาพริ้มเหมือนงีบหลับ
ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้าห่างจากนอกประตูลิฟท์หลายเมตรขณะมองดูนักเรียนหญิงคนนั้น
คนคนนี้ไว้ผมยาวสีดำถึงไหล่ ใบหน้านวลเนียนงดงาม ดวงตาข้างหนึ่งปิดผ้าปิดตาสีม่วง มุมปากเหมือนกับอมยิ้มตลอดเวลา
สิ่งที่ประหลาดที่สุดก็คือ เธอสวมเสื้อกันลมสีเทาตัวหนึ่งทับด้านนอกเครื่องแบบ
“ไม่เข้ามาหรือไง” อีกฝ่ายค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านนอกลิฟท์
“คนที่เถียถ่ากำลังตามหาคือเธอเหรอ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วพลางคาดเดา
……………………………………….