ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 576 ลงมือ (2)
บทที่ 576 ลงมือ (2)
“ขอบคุณคุณลุงด้วยครับ” ลู่เซิ่งค่อยพยักหน้าอย่างพอใจ
“เธอพอใจก็ดีแล้ว”
คุณลุงที่สูบบุหรี่คนนี้มองดูลู่เซิ่งเดินเข้าไปพิจารณาเกราะรบหลังจากประกอบอย่างละเอียด จากนั้นก็สวมใส่โดยไม่สนใจใคร
“การประกอบจบลงแล้ว ผมไปก่อนนะ ขอบคุณที่ช่วยนะครับ” ลู่เซิ่งบอกลาอย่างมีมารยาท
“อย่าลืมว่ายังมีสิทธิ์ในการเบิกฟรีในบัตรนักเรียนของเธออยู่อีกเจ็ดร้อยเทอคอยน์นะ” คุณลุงพ่นควันบุหรี่พร้อมกล่าวอย่างราบเรียบ
“อืม ไม่ลืมแน่ครับ” ลู่เซิ่งตอบจากด้านในชุดเกราะ
จากนั้นลู่เซิ่งก็ออกจากห้องประกอบ แต่ไม่ได้ไปทดสอบประสิทธิผลหลังการประกอบที่เขตทดสอบเหมือนนักเรียนคนอื่น กลับเปลี่ยนไปยังห้องประกอบที่ว่างเปล่าไม่มีใครอีกห้องหนึ่ง
พลังผสานของเขามีขอบเขตกว้างถึงพันเมตร สามารถใช้เป็นความสามารถต่อต้านการสอดแนมได้โดยสิ้นเชิง
หลังจากตรวจสอบแล้วว่าในห้องไม่มีเจ้าหน้าที่ประกอบ ลู่เซิ่งก็ล็อกประตูอย่างแน่วแน่
ห้องประกอบเหล่านี้มีระบบการเข้ารหัส เพื่อให้นักเรียนประกอบคนเดียวได้
เมื่อครู่ลู่เซิ่งรับชมกระบวนการประกอบทั้งหมดของคุณลุงสูบบุหรี่คนนั้นผ่านพลังผสาน จึงพอทำเป็นแล้ว
เขาถอดชุดเกราะออก แล้วเดินเข้าไปในห้องควบคุม
ห้องควบคุมเป็นห้องกระจกเล็กๆ ที่อยู่ตรงข้ามกับพื้นที่ประกอบ ด้านในมีเสาหินสีขาวต้นหนึ่งตั้งอยู่ บนเสาฝังคอมพิวเตอร์ง่ายๆ ไว้เครื่องหนึ่ง แสงสีขาวบนหน้าจอดูสะดุดตาเล็กน้อยในห้องที่มืดครึ้ม
ลู่เซิ่งยื่นมือไปจิ้มด้านข้างหน้าจอ
“โปรดเลือกติดตั้งส่วนประกอบ” ในคอมพิวเตอร์มีเสียงสังเคราะห์พื้นฐานดังมา
“เกราะประกอบกันกระสุน” ลู่เซิ่งตอบอย่างราบเรียบ
“เลือกเสร็จสิ้น โปรดเลือกจำนวนที่จะใช้ประกอบ”
ลู่เซิ่งคิดเล็กน้อย
“เอาสักยี่สิบชุดก่อนก็ได้”
“ยืนยันว่าจะประกอบเกราะประกอบกันกระสุนยี่สิบชุดใช่หรือไม่”
“ยืนยัน” ลู่เซิ่งหยิบบัตรแม่เหล็กของตัวเองออกมารูดเงินส่วนหนึ่งที่ขาดเข้าไป
หนึ่งชุดหนึ่งร้อยเทอคอยน์ ยี่สิบชุดก็คือสองพัน นี่เป็นวิธีการประกอบที่คุ้มค่าที่สุดที่เขาคิดออกแล้ว
โลหะผสมแผ่นหนาหลายแผ่นถูกวางซ้อนกันบนผิวของชุดเกราะอย่างต่อเนื่อง คาวมหนาของเกราะเพิ่มขึ้นถึงสองเมตรกว่าๆ ตามเวลาที่ผ่านไป
เป็นเพราะประกอบเพิ่ม ชุดเกราะจึงสูงถึงสามเมตรกว่าๆ กว้างสองเมตร ใหญ่โตมหึมา
“เติมเทอคอยน์” ลู่เซิ่งหยิบบัตรแม่เหล็กออกมาใส่ช่องเสียบ
“เอาเกราะต้านรังสีแบบเบาอีกห้าสิบชุด” ลู่เซิ่งเห็นว่าความหนาใช้ได้แล้ว จึงกล่าวต่อ
“ยืนยันเกราะต้านทานรังสีห้าสิบชุดใช่หรือไม่”
“ยืนยัน”
ห้าสิบชุดนี้คือหนึ่งหมื่นเทอคอยน์ สำหรับลู่เซิ่งในตอนนี้ นี่ไม่นับเป็นอะไร เพราะเขารวย
ขณะที่ดำเนินการประกอบ ลู่เซิ่งได้คำนวณความสูงและความหนาของกรอบประตูที่จะออกไปอย่างคร่าวๆ ทราบว่าจะประกอบเพิ่มไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นชุดเกราะจะใหญ่เกินไปจนเดินออกจากประตูไม่ได้ แถมยังเอาเข้าหอพักไม่ได้ด้วย การซ่อนจะกลายเป็นปัญหา
‘ยังไงก็ยังมีเงินเหลือๆ’ เขามองดูภาพแนะนำการติดตั้งชุดเกราะโดยพื้นฐานสำหรับมือใหม่ที่แขวนอยู่บนผนัง
บนภาพเป็นการติดตั้งพื้นฐาน นอกจากเกราะกันกระสุนที่ถูกที่สุดแล้ว ยังมีการติดตั้งดาบโล่ระดับพื้นฐาน รวมถึงระบบการระเบิดขับเคลื่อนอย่างง่ายๆ ด้วย
‘จะติดอาวุธเพิ่มดีไหมนะ’ ลู่เซิ่งคิด ‘ช่างเถอะ อาวุธไม่ต้องก็ได้’
‘จากนั้นเป็นการเพิ่มแรงขับเคลื่อน เอาพลังขับเคลื่อนที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่การระเบิดในระยะห่างสั้นๆ สองร้อยชุดก่อนก็แล้วกัน’
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ลู่เซิ่งพินิจดูชุดเกราะอันแข็งแกร่งที่ตนสร้างขึ้นมาอย่างพอใจ และทดลองควบคุมชุดเกราะระยะไกลผ่านพลังผสานที่มีขอบเขตกว้างขวางดู
แกร๊ก
ชุดเกราะขยับเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ความสูงสี่เมตรกว่าๆ กับความหนาสองเมตรกว่าๆ ทำให้มันกลายเป็นยักษ์ที่ห้องประกอบเกือบจะรองรับไม่ไหวโดยสมบูรณ์
ลู่เซิ่งขยับมือขวา สัมผัสได้ว่าบนมือมีน้ำหนักอยู่ครึ่งกรัม เมื่อบวกรวมทั้งตัวแล้วมีน้ำหนักทั้งหมดสี่กรัมกว่าๆ
‘เป็นอย่างที่คิด พลังผสานสามารถลดทอนน้ำหนักของชุดเกราะได้ในระดับหนึ่ง’ เขามองการคำนวณน้ำหนักที่อยู่ทางขวาของจอ
‘น้ำหนัก: 23,341 ดีลอน’
ถ้าคำนวณตามหน่วยน้ำหนักของโลกใบนี้ ลู่เซิ่งแบกน้ำหนักชุดเกราะตามความจริงประมาณสี่สิบห้าตัน
‘ครั้งนี้พลังป้องกันของชุดเกราะน่าจะเพียงพอแล้ว จากนี้เอาพลังป้องกันหนึ่งในสิบมาสร้างสนามพลังบนตัวดู’
ลู่เซิ่งหลับตาสัมผัสพลังผสานรอบๆ ตัวอย่างตั้งใจ
พลังผสานที่ก่อนหน้านี้เลือนรางล่องลอย เวลานี้เหมือนมีความรู้สึกจับต้องได้ รวมตัวอยู่รอบๆ และกลายเป็นสนามพลังที่จับต้องได้ด้วยความเร็วสูง
‘ถึงยังไงก็เป็นชุดเกราะที่โรงเรียนแจกให้ ไม่มีที่เก็บ ถูกคนเจอได้ง่ายมาก…’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงปัญหานี้
พลังผสานของลู่เซิ่งกลับทำให้เขาควบคุมน้ำหนักของชุดเกราะที่หนักอึ้งสุดๆ ได้ แต่นี่ก็ทำให้นักเรียนคนอื่นๆ มองพลังของเขาออกทันทีเช่นกัน มิวายจะได้กลายเป็นตัวประหลาด และโดนเพ่งเล็งกว่าเดิม
‘ต่อจากนี้ ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้แล้ว…’ ลู่เซิ่งเตรียมวิธีแก้ไขไว้แล้ว
เขามองชิ้นส่วนประกอบอื่นๆ บนหน้าจอ
ระบบขุดแร่อย่างง่าย และแหวนควบคุมชุดเกราะระยะไกล
…
ลู่เซิ่งเดินออกจากหน่วยธุรการอย่างเชื่องช้าในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา บนร่างมีแค่เครื่องแบบนักเรียนทั่วไปเท่านั้น ชุดเกราะของเขาได้แอบดำลงน้ำออกจากห้องประกอบ ผ่านแม่น้ำใต้ดินของแหล่งน้ำเย็นด้านในไปแล้ว
ด้วยพลังผสานอันยิ่งใหญ่ของลู่เซิ่ง แม้ชุดเกราะจะมีขนาดใหญ่ แต่ก็หลบพ้นกล้องวงจรปิดได้อย่างง่ายดาย ขณะเดียวกันก็ควบคุมจากระยะไกลได้อย่างคล่องแคล่วราวกับมนุษย์ จึงออกจากหน่วยธุรการและไปถึงใกล้ๆ ลานขยะนอกโรงเรียนได้อย่างสบาย
เนื่องจากว่าชุดเกราะใหญ่เกินไป ลู่เซิ่งจึงให้มันอยู่ในแม่น้ำใต้ดิน หากไม่ได้ใช้งานอะไรก็จะแช่ไว้อย่างนั้น โดยปล่อยให้มันขุดแร่ที่อยู่รอบๆ มาหลอมละลายกับร่างของตัวเอง
ชุดเกราะของโลกใบนี้แปลกประหลาดเป็นพิเศษ ไม่จำเป็นต้องมีระบบพลังงานใดๆ แบตเตอร์รี่แหล่งพลังงานส่วนใหญ่ล้วนใช้ไปกับชิ้นส่วนภายนอก เพื่อเพิ่มพลังระเบิดและความทนทานให้แก่ชุดเกราะเท่านั้น
แต่ตัวชุดเกราะเป็นสิ่งที่ไม่ต้องใช้แหล่งพลังงานหลัก เพียงอาศัยพลังผสานในการขับเคลื่อนเพียงเท่านั้น
พอเป็นแบบนี้ลู่เซิ่งจึงไม่ต้องออกค้นหาพลังขับเคลื่อนจากแบตเตอรี่อีก ถึงอย่างไรเขาก็มีพลังผสานมากพอ สามารถใส่ได้หลายวันโดยไม่มีปัญหา
ถึงอย่างไรเป้าหมายในตอนแรกสุดของลู่เซิ่งก็ไม่ใช่การใช้ชุดเกราะต่อสู้อยู่แล้ว แต่เป็นการนำสนามพลังหนึ่งในสิบส่วนที่มันมอบให้มาป้องกันตัวต่างหาก
ลู่เซิ่งนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาวริมทางนอกประตูหน่วยธุรการสักพัก พอซ่อนชุดเกราะไว้ที่ก้นทะเลสาบเสร็จ จึงค่อยลุกขึ้นมาปัดฝุ่นบนกางเกง เตรียมจะกลับไป
ส่วนการสอบใหญ่ที่กำลังจะมาถึงซึ่งต้องสวมชุดเกราะสำหรับนักเรียน เขาไม่คิดจะเข้าร่วมการทดสอบอยู่แล้ว เหมือนกับที่เขาไม่คิดคืนเงินกู้ดอกเบี้ยสูงนั่นเอง
เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อใช้ชีวิตไปวันๆ
‘ตอนนี้ควรไปสืบหาคนร้ายตัวจริงได้แล้ว…’
ลู่เซิ่งกลับไปเก็บข้าวของที่หอพัก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังหอพักที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อตามหาซาเจี๋ยที่ปกปิดบางอย่างกับเขา
…
หอพักหมายเลขสอง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ด้านในห้อง ซาเจี๋ยวางไพ่ใบสุดท้ายบนจุดยอดของสิ่งก่อสร้างที่ทำจากไพ่ซึ่งอยู่บนโต๊ะด้านหน้าอย่างระมัดระวัง
“คนของม่านเหล็กเป็นคนก่อปัญหาขึ้นจริงๆ คดีฆาตกรรมเมื่อคืนดำเนินมาเป็นเวลาสามวันแล้ว ความอดทนของโรงเรียนถึงขีดจำกัดแล้วนะ” ซาเจี๋ยเอ่ยเบาๆ อย่างเย็นชา
มุมห้องด้านหลังเขามีผู้ชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่งยืนกอดอกอยู่
“พวกเรานึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีคนมาตรวจสอบคดีในอดีต ถึงอย่างไรก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว” เขาพูดเสียงทุ้มต่ำ
“นั่นเป็นเรื่องของพวกแก ฉันช่วยแค่ครั้งเดียว จะไม่มีครั้งที่สองอีก” ซาเจี๋ยเอ่ยอย่างเย็นชา
“มากพอแล้ว แผนการในตอนแรกคือกำจัดเจ้านั่นหลังการสอบใหญ่ ตอนนี้นึกไม่ถึงว่านอกจากคนคนนั้น จะยังมีคนเข้าร่วมการตรวจสอบอีก…” ชายฉกรรจ์เอ่ยเสียงทุ้ม “รอเดี๋ยว มีคนมา” เขาผลุบหายไปในม่านหน้าต่างด้านหลังตู้เสื้อผ้าทันที
ซาเจี๋ยงุนงง เวลานี้ทุกคนควรจะทดสอบชุดเกราะใหม่อย่างกระตือรือร้นอยู่สิ
ใครกันที่มาหาเขา
“ใคร” ซาเจี๋ยลุกขึ้นพูดเสียงดัง
“ว่าไงซาเจี๋ย ฉันเอง จัวหลิน” เสียงของลู่เซิ่งดังมาจากด้านนอกประตู
“จัวหลินเหรอ นายมีธุระอะไร” ซาเจี๋ยรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเป็นตรงไหน
“คืออย่างนี้ ฉันมีปัญหาเล็กๆ เกี่ยวกับชุดเกราะน่ะ เลยอยากให้หัวหน้าห้องช่วยหน่วย” ลู่เซิ่งตอบอย่างจริงจัง
ซาเจี๋ยหยีตา เห็นชายวัยฉกรรจ์จากม่านเหล็กเดินออกมา ชักมีดสั้นขึ้นมาถือไว้ แล้วโบกมือทำท่าปาดคอมาทางเขา
ซาเจี๋ยรู้สึกผิดปกติ เขากับจัวหลินไม่ใช่คนรู้จักกัน ความสัมพันธ์เองก็เหินห่าง อยู่ๆ อีกฝ่ายก็มาหา บอกว่าต้องการขอคำปรึกษา ยังไงก็เป็นเรื่องโกหกแน่ๆ
ซาเจี๋ยมองผ่านรูประตูไปด้านนอก เห็นลู่เซิ่งยืนอยู่นอกประตูจริงๆ ความระมัดระวังในใจจึงหายไป
แกร๊ก
ประตูเปิดออก ซาเจี๋ยยืนอยู่ตรงปากประตู ขวางทางเข้าประตูเอาไว้
ทั้งสองยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่หน้าประตู
“หัวหน้าห้อง ฉันมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับชุดเกราะจากนายน่ะ” ลู่เซิ่งยิ้มแล้วเดินกดดันเข้าใส่ซาเจี๋ย
“คุยกันนอกประตูเถอะ” ซาเจี๋ยขวางลู่เซิ่งไว้
“นอกประตูเหรอ เอ่อ ปัญหานี้เป็นเรื่องส่วนตัวสักหน่อย ฉันไม่อยากให้คนได้ยินเยอะ” ลู่เซิ่งทำหน้าอ้อนวอน
ซาเจี๋ยรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง แต่เพราะลู่เซิ่งเดินรุกเข้าใส่ เขาจึงได้แต่ต้องหลบ
ทั้งสองเข้าไปในห้อง ซาเจี๋ยค่อยๆ ปิดประตูลง ดวงตาสาดประกายดุร้าย
หันกลับมา ผู้ชายจากม่านเหล็กซ่อนตัวจนไม่เห็นร่องรอยไปแล้ว ทางลู่เซิ่งนั่งลงบนโซฟาอย่างไม่เกรงใจ
ซาเจี๋ยโบกมือ ทำสัญญาณมือไปทางม่านหน้าต่างเบาๆ
“จัวหลิน ตอนนี้นายน่าจะพูดได้แล้วมั้งว่านายมาถามอะไรฉัน” เขาพลิกมือชักมีดสั้นคมเดียวที่เปล่งประกายสีม่วงออกมาจากเอวด้านหลัง แล้วซ่อนไว้ด้านหลังไม่ให้ใครเห็น พร้อมกับเดินเข้าหาลู่เซิ่ง
จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าคนจากม่านเหล็กอยู่กับเขา ส่วนจัวหลิน ถ้าหากว่าอีกฝ่ายเห็นร่องรอย อย่างนั้นก็ได้แต่ฆ่าอีกฝ่ายทิ้งสถานเดียว
ถึงอย่างไรในโรงเรียนใกล้ๆ นี้ก็มีคนของตระกูลไป๋เข้าออก นักเรียนที่หายสาบสูญไปมีเกินสี่คนแล้ว หากให้ตระกูลไป๋แบกรับเพิ่มอีกสักชีวิตหนึ่งคงไม่เป็นไร
“ซาเจี๋ย” อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็ทำหน้าประหลาด “บอกมาตามจริงเถอะ ก่อนหน้านี้นายสะกดรอยตามฉันทำไม”
“สะกดรอยหรือ”
…
หอพักหญิงที่อยู่ตรงข้ามกับหอพักของซาเจี๋ย
เซี่ยเฉิงกับเพื่อนสนิทอีกสองคนกำลังปรึกษาแผนการเที่ยวในครั้งนี้อยู่
เพื่อนสนิทคนหนึ่งเห็นลู่เซิ่งกับซาเจี๋ยคุยกันในหอพักฝั่งตรงข้าม โดยที่คนหนึ่งกำลังยืนและคนหนึ่งกำลังนั่งตอนเปิดม่านหน้าต่าง
“นั่นมันซาเจี๋ยนี่ ที่นี่เห็นห้องของหัวหน้าห้องได้เลยเหรอเนี่ย ไม่เลวจริงๆ” เพื่อนสนิทเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายสองของเจี๋ยกรุ๊ปเชียวนะ คุณหนูแบบนี้ปกติใช้ชีวิตยังไงกันแน่ น่าสนใจจริงๆ”
“งั้นเหรอ” เซี่ยเฉิงยิ้มๆ พร้อมกับลุกขึ้นมองไปทางม่านหน้าต่าง
‘ทำไมจัวหลินถึงได้อยู่กับซาเจี๋ยล่ะ’ เธอประหลาดใจเล็กน้อย
“นั่นมัวจัวหลินนี่นา เขาคุยกับคุณชายใหญ่เจี๋ยในระดับเดียวกันเลยนี่ เขาน่าจะเป็นคุณชายจากบริษัทไหนสักที่ล่ะมั้ง” นักเรียนหญิงอีกคนพูดพลางขมวดคิ้ว ก่อนจะขยับเข้ามาดูสถานการณ์ในห้องฝั่งตรงข้ามเช่นกัน
เซี่ยเฉิงขมวดคิ้วไม่ได้พูดอะไร
……………………………………….