ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 589 อนธการสาดแสง (1)
บทที่ 589 อนธการสาดแสง (1)
ผิวของก้อนทองขาวเรืองแสงอ่อนๆ ตลอดเวลา ดูเหมือนกับโลหะพิเศษบางชนิด
‘นี่คือทองขาวนอกดาว เป็นโลหะแกนกลางที่ใช้สร้างราชาแห่งแสงสว่าง’ ลู่เซิ่งคีบมันเอาไว้ในมือพลางพินิจพิจารณา
‘มันสามารถเชื่อมต่อพลังผสานของคนหลายร้อยคนเข้าด้วยกันจนกลายเป็นองค์ประกอบรวมหลังจากเปลี่ยนให้เป็นของเหลวได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ’
สำหรับเขา ความจริงพลังผสานเป็นพลังจิตวิญญาณส่วนหนึ่ง หรือหมายความว่า มันเชื่อมต่อส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากเข้าด้วยกันจนกลายเป็นองค์ประกอบรวมที่ยิ่งใหญ่ไพศาลได้
เรื่องนี้ไม่มีอักขระค่ายกลหรือเทวลักษณ์คอยช่วยเหลือ เพียงอาศัยแค่วัตถุดิบเท่านั้น
‘ยังนึกไม่ออกว่าจะเอามาใช้ยังไง เก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งเก็บทองขาวนอกดวงดาวเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มตรวจสอบการยกระดับพลังจิตวิญญาณที่ได้รับจากโลกชุดเกราะในครั้งนี้
เขาใช้ความคิด ตรงหน้าพลันมืดสนิท เข้าสู่โลกมารจิตในพริบตา
…
ซากปรักหักพังสีดำและเศษหินกองเต็มพื้น จันทร์เสี้ยวสีขาวบริสุทธิ์ดวงหนึ่งลอยกลับด้านบนท้องฟ้า
ลู่เซิ่งลอยอยู่กลางอากาศ มองดูตึกพักอาศัยในเขตเล็กๆ ที่กลายเป็นซากปรักหักพังด้านล่างพร้อมกับคิดใคร่ครวญ
ครู่ต่อมา เขาก็ทิ้งตัวลงพื้นเบาๆ แล้วชี้ซากกำแพงบนพื้น
ซู่…
ศพบุรุษที่สีหน้าซีดขาวพลันปรากฏด้านหน้าเขา เป็นศพของเขาเอง
ลู่เซิ่งจ้องมองศพของตัวเองพักหนึ่ง จากนั้นก็ชี้ไปอีกทาง
ซู่…
ศพมากมายโผล่ขึ้นมา บ้างก็เป็นสตรี บ้างก็เป็นบุรุษ บ้างก็เป็นชายชรา ไม่นาน ศพจำนวนนับไม่ถ้วนก็กองอยู่เต็มซากปรักหักพังรอบๆ
ศพพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นเผ่ามาร ศพกองรวมกันจนแทบกลายเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ซึ่งกำลังเพิ่มจำนวนและสูงขึ้นเรื่อยๆ
ลู่เซิ่งลดมือลงพร้อมกับเดินไปท่ามกลางซากศพ ไม่ทราบเดินอยู่นานเท่าไหร่ เขาพลันชะงักฝีเท้า ด้านหน้ามาถึงจุดสิ้นสุดของโลกมารจิตแล้ว รอบนอกเป็นเงาดำมืดสลัวที่แผ่ขยายไปยังส่วนลึกที่มองไม่เห็น
‘ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม โลกใบนี้…กำลังขยายตัวตามจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นของเรางั้นเหรอ โลกใบนี้ แทนที่จะบอกว่าเป็นโลกของเรา ควรบอกว่าเป็นโลกที่เกิดขึ้นเพราะเราดีกว่า มันไม่ใช่ของเรา แต่เกิดขึ้นจากตัวเรา’
ลู่เซิ่งพลันกระจ่างแจ้ง
ซ่า…
อยู่ๆ ฝนเม็ดเล็กๆ ก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า
ลู่เซิ่งรู้สึกได้ถึงคลื่นที่คุ้นเคย จึงรีบเงยหน้าขึ้นมอง
ชั้นเมฆแผ่นหนาค่อยๆ เคลื่อนไหวในท้องฟ้ายามราตรี และสาดฝนจำนวนมากที่เหมือนกับปุยนุ่นลงมา
‘เราครอบครองความอัศจรรย์ของน้ำอยู่ส่วนหนึ่ง ท้องฟ้าก็เลยมีฝนตกเหรอ’ ความเข้าใจของลู่เซิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เขามองศพที่เหลืออีกรอบ
‘ในเมื่อความเข้าใจที่เรามีต่อน้ำกลายเป็นฝน หรือว่าความเข้าใจที่เรามีต่อไฟหยินจะเป็นศพพวกนี้โดยธรรมชาติ’
เขาสงสัยขึ้นเป็นครั้งแรก สิ่งที่มีเยอะที่สุดในนี้คือศพ และสิ่งที่เขาเข้าใจปรุโปร่งที่สุดก็คือไฟหยิน ในฐานะแกนกลางของขอบเขตปฐมภพ ไฟหยินเป็นพลังงานที่เขาย้อนรอยไปถึงธรรมชาติและต้นกำเนิด
พลังงานชนิดนี้ แม้แต่การเต้นของอนุภาคทุกอนุภาค เขาก็ยังควบคุมได้อย่างง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
‘บางทีเราอาจมองข้ามจุดหนึ่งมาโดยตลอด นั่นก็คือธรรมชาติของไฟหยินคืออะไรกันแน่ มันถือกำเนิดมาจากไหนกันแน่’ ลู่เซิ่งเกิดคำถาม บางทีศพพวกนี้อาจเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เขาหาคำตอบของคำถามเจอก็ได้
ต่อจากนั้นเขาก็ย้ายตำแหน่งติดต่อกัน ไม่นานก็เข้าใจขนาดอย่างเป็นรูปธรรมของโลกมารจิตในปัจจุบัน โลกมารจิตในตอนนี้ดูท่าทางจะใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าของก่อนหน้านี้
ซึ่งสะท้อนถึงระดับการเพิ่มพลังอย่างบ้าคลั่งของจิตวิญญาณในเวลานี้
‘ดูจากตอนนี้ เกรงว่าอัตราการสะสางผลกรรมของเจ้าแห่งอาวุธคนอื่นๆ จะต่ำกว่าเรามาก การที่ร่างแยกของราชาอริยะที่หนึ่งถูกเราฆ่าตายได้ คงเป็นเพราะผลกรรมที่เขาสะสางได้จริงๆ มีไม่เยอะเท่าไหร่’
ลู่เซิ่งใช้ความคิดเพื่อถอยออกมาจากโลกมารจิตอีกรอบ ก่อนจะกลับถึงวังมาร
‘ต้องไปหาสือจื้อซิงเพื่อทำความเข้าใจว่ามุขนายกประจำเขตมีพลังขนาดไหนสักรอบแล้ว ไม่อย่างนั้นเกิดคำนวณผิดพลาดขึ้นมาล่ะก็…’
เขาจัดระเบียบอุปกรณ์บนตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตรวจสอบความสามารถที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงของตนเองในตอนนี้
‘ไพ่ตายที่เราใช้ได้ในตอนนี้ อย่างแรกคือราตรีเหมันต์คำรามในร่างหมาป่ามารร้อยเศียร อย่างที่สอง คือคร่าวิญญาณ อานุภาพเทพ และทำลายดวงดาว วิชาดาบที่แก่นหยางสร้างขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ อย่างที่สาม คือพลังของเทวลักษณ์ สิ่งที่ควบคุมได้โดยสมบูรณ์คือเทวลักษณ์วารีลี้ลับกับเกล็ดหิมะ อย่างอื่นเพียงแค่เข้าใจนิดหน่อย ไม่ได้เข้าใจปรุโปร่ง เทวลักษณ์วารีลี้ลับเพียงอย่างเดียวสามารถสร้างดวงตาแห่งเก๋อซังน่าได้ การรวมกลุ่มของพลังชนิดนี้ดูเหมือนจะแสดงความน่าอัศจรรย์ได้ไม่น้อย จำเป็นต้องศึกษาต่อไป อย่างที่สี่คือกลืนสมุทร วิชาการทำลายในอาณาเขตใหญ่ที่ใช้วิชาความสามารถที่หลงเหลือจากโลกพลังวิญญาณกระตุ้น อย่างที่ห้า สุดท้ายคือสภาพหยางโชติช่วงและสภาพสมบูรณ์ของร่างหลัก นี่เป็นสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด สามารถแสดงพลังทางกายเนื้อทั้งหมดของเราได้’
ลู่เซิ่งจัดระเบียบอย่างชัดเจน
‘ไพ่ตายพวกนี้ ถ้าตัดกลืนสมุทรออกไป ที่เหลือล้วนเป็นไพ่ตายที่ใช้เดี่ยวๆ ไม่สร้างภาระให้แก่ร่างหลัก ถ้าจัดการไม่ได้จริงๆ ถึงค่อยจะเป็นเวลาที่ต้องใช้การหยุดเวลาและโลกมารจิต’
ความสามารถพวกนี้ดูเหมือนเยอะ แต่ความจริงยังขาดท่าไม้ตายที่จะเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินผลแพ้ชนะในระดับเดียวกัน
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ แล้วพยายามผสานไพ่ตายที่ผสานกันได้เข้าด้วยกันเพื่อดูว่าจะเพิ่มอานุภาพได้หรือไม่
ไตร่ตรองอยู่สักพัก เขาก็นึกวิธีหนึ่งได้จากสภาพในตอนใช้ร่างหลักสมบูรณ์ของเขา
‘บางทีอาจจะทำแบบนี้ได้…’
…
โลกแห่งความเจ็บปวด เมืองอักขระทมิฬ
บนเมืองเล็กที่อึมครึมทรุดโทรม ลู่เซิ่งซึ่งพันผ้าคลุมสีดำไว้อย่างแน่นหนาและปิดบังใบหน้าไว้ในผ้าสีดำ เร่งฝีเท้าเดินไปตามถนนสายหลักเพื่อไปยังอารามใบไม้ไหวในเมือง
เมื่อครู่เขาไปยังตึกสำนักงานของสือจื้อซิงเมื่อก่อนหน้านี้มา ด้านในว่างเปล่าไม่เหลือใครสักคน แสดงให้เห็นว่ากลับเขตลัทธิที่เก้ากันหมดแล้ว
สือจิ้งซิงบอกเขาไว้นานแล้วว่า ตนใกล้จะต้องกลับเขตลัทธิหลักแล้ว นึกไม่ถึงว่าเที่ยวนี้จะไม่ได้เจอหน้ากันอีก
เมื่อไม่เจอคน ลู่เซิ่งได้แต่มุ่งหน้าไปหาเฮยจินที่อารามใบไม้ไหวด้วยความลังเล นี่เป็นเจ้านายคนที่สองที่เขาเตรียมสวามิภักดิ์
เฮยจินหาเมืองประกายนครซึ่งเป็นเมืองเล็กแห้งแล้งที่อยู่ใกล้ๆ ตามคำแนะนำของเขา และตอนนี้สิ่งก่อสร้างพื้นฐานในเมืองก็ได้ดำเนินตามครรลองที่ถูกต้องแล้ว
เขาได้สร้างผลงานใหญ่ ดังนั้นแม้แต่เฮยจินก็ยังแสดงท่าทีเป็นมิตรอย่างยิ่งกับเขา แม้จะไม่นับว่าสนิทชิดเชื้อ แต่อย่างน้อยก็นับเป็นคนแปลกหน้าไม่ได้อีกแล้ว
ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านนอกอารามใบไม้ไหวและมองเข้าไปด้านใน
ผมสีดำที่เหมือนกับสาหร่ายกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในบ่อน้ำขนาดยักษ์ด้านในอารามอย่างช้าๆ ผมดำค่อยๆ ยกขึ้น จากนั้นสานทอกลายเป็นร่างสตรีเปลือยเปล่าอย่างรวดเร็ว ดูจากรูปร่างและเงาหลัง ไม่นึกว่าจะเป็นเฮยจินผู้เป็นเจ้าของที่นี่
“เข้ามาเถอะ” เฮยจินหันหน้าไปมองลู่เซิ่งที่อยู่นอกอาราม
ลู่เซิ่งก้าวเท้าเข้าอารามโดยไม่พูดอะไรสักคำ ไม่เจอกันมาระยะหนึ่ง ในวังเต็มไปด้วยเส้นผมสีดำ ดูแปลกประหลาดและน่าขนลุกกว่าเดิม
“ช่วงก่อนหน้านี้มีปัญหาเกิดขึ้นตอนผู้ใช้วิชาชั่วร้ายที่ข้ารับสมัครเข้ามาเก็บอาวุธเทพ พอไม่มีเจ้าคอยช่วยเหลือดูแล ก็เกิดปัญหาได้ง่ายๆ อย่างที่คิดไว้” เฮยจินกล่าวอย่างจนใจเล็กน้อย
“นอกจากนี้ ข้าก็ได้ยินเรื่องของเจ้ามาแล้วเช่นกัน ไม่ว่าเจ้าซ่อนความลับอะไรไว้ ควรจะซ่อนไว้ให้ดีก่อนที่มุขนายกประจำเขตจะมาถึงดีกว่า จะจัดการทิ้งหรือรายงานเบื้องบนก็ได้ ไม่อย่างนั้น…ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก” เฮยจินกำชับเขาด้วยความปรารถนาดีอย่างหาได้ยาก
“ท่านรู้แล้วหรือ” ลู่เซิ่งงงงัน
“เจ้ายกระดับได้เร็วเกินไป เร็วจนข้าตกใจ เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปี เจ้าก็มาถึงระดับเจ้าแห่งอาวุธแล้ว” เฮยจินค่อยๆ ออกจากบ่อน้ำ ท่อนขาขาวผ่องเรียวยาว เหยียบลงบนอิฐข้างบ่อน้ำ ผมยาวที่เหมือนกับสาหร่ายห้อยลงมาปกคลุมหน้าอกและจุดลับระหว่างสองขา แต่ไม่ได้ปิดบังส่วนอื่น
“แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้า ข้าไม่สนใจ ข้าเพียงกังวลว่าเกิดเจ้าตายไป ข้าจะหาคนมีความสามารถที่ดีกว่าเจ้ามาช่วยข้าดูแลเมืองไม่ได้เท่านั้น” เฮยจินเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
สีหน้าของนางเหมือนเรียบเฉยยิ่ง ความปรารถนาใดๆ ก็จืดจางเหมือนกัน คล้ายกับเพียงเกิดความสนใจเล็กน้อยต่อการสร้างเมืองใหม่เท่านั้น
“อย่างนั้นท่านสามารถให้คำแนะนำแก่ข้าได้หรือไม่ เกี่ยวกับมุขนายกประจำเขต” ลู่เซิ่งถามอย่างนอบน้อมมีมารยาท
ผมสีดำจำนวนมากบนร่างเฮยจินประสานกันกลายเป็นกระโปรงลำลองสีดำที่งามประณีต
“มุขนายกประจำเขตหรือ…” นางโบกนิ้ว จากนั้นด้านหลังลู่เซิ่งกับด้านหลังตัวนางก็มีเส้นผมสีดำจำนวนมากลอยขึ้นมาเกี่ยวกันกลายเป็นเก้าอี้พิงหลังสองตัวเพื่อให้คนทั้งสองนั่งลงพักขา
“ไนติงเกลเป็นคนใจดำ อิจฉาริษยาคนมีความสามารถ แถมยังเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ที่สามารถเป็นมุขนายกประจำเขตได้ นอกจากเบื้องหลังของตระกูลในระดับหนึ่งแล้ว ยังเป็นเพราะพรสวรรค์และพลังเหนือธรรมดาของตัวเขาเองด้วย”
“หมายความว่า ถ้าเกิดเจอหน้า ข้าจะไม่มีโอกาสได้แก้ตัวเลยงั้นหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วกล่าว
“นอกจากงอมือให้จับ ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าสามารถหนีการไล่ล่าของเขาได้ ไม่ว่าเจ้าจะหนีไปไกลขนาดไหน รอยตราแห่งความเจ็บปวดก็จะจับตัวเจ้ากลับมาคุมขังได้อยู่ดี” เฮยจินเอ่ยอย่างราบเรียบ “ต่อให้เจ้าไปโลกด้านนอก นอกเสียจากว่าเจ้าจะไม่กลับมาตลอดกาล ไม่อย่างนั้นขอแค่ไปถึงต้าอิน ก็จะถูกลากเข้าสู่โลกแห่งความเจ็บปวดและถูกจับไปตัดสินความผิดในพริบตา”
“มีวิธีการแก้ไขหรือไม่” ลู่เซิ่งถามเสียงทุ้ม “พลังของมุขนายกประจำเขตเป็นอย่างไร”
“เหนือกว่าระดับชูศัสตรา เป็นผู้เข้มแข็งระดับลวงตา ถ้าหากเจ้าคิดใช้พลังยุทธ์ต่อต้านล่ะก็ ควรจะวางแผนแบบเลวร้ายที่สุดที่อาจจะกลายเป็นทาสของเขาตลอดกาลไว้ด้วย เกิดว่าแพ้ในการต่อสู้กับผู้เข้มแข็งระดับลวงตา นอกจากจะตายแล้ว เจ้ายังจะต้องกลายเป็นทาสของอีกฝ่าย จิตวิญญาณถูกทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์” เฮยจินเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“ระดับลวงตา…นี่คือระดับอะไรกัน” ลู่เซิ่งพลันหนักใจ ถามเสียงทุ้ม
เฮยจินมองเขาอย่างแปลกใจ “ชูศัสตราเป็นการหลอมจิตวิญญาณของตัวเองถึงขีดสูงสุด ต่อจากนั้นก็ใช้มันเป็นแกนกลางในการควบคุมโลกรูปจิตเพื่อดึงดูดสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ จากนั้นก็เลียนแบบและสร้างโลกต่างๆ ขึ้นมา นี่ก็คือระดับลวงตา เป็นระดับก่อนถึงมายาพิศวง”
“ดูดซับสรรพสิ่งและสรรพสัตว์…” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว “แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีสิ่งมีชีวิติชนิดใดถูกดูดซับเป็นจำนวนมากตอนอยู่ในต้าอินมาก่อน…”
“แน่นอนว่าไม่ได้ทำในเขตของตัวเอง” เฮยจินกล่าวอย่างมีเหตุมีผล “เรื่องแบบนี้ย่อมต้องไปยังโลกด้านนอก เรื่องเหล่านี้ยังเร็วไปสำหรับเจ้า ไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจหรอก เจ้าเพียงต้องรู้ว่า พลังของผู้เข้มแข็งระดับลวงตาลากเจ้าเข้าโลกรูปจิตได้ในพริบตา พวกเขามีอายุขัยยาวนานมาก ต่อให้เป็นผู้เข้มแข็งระดับลวงตาที่เด็กที่สุด อายุก็ปาไปมากกว่าหมื่นปีแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถใช้พลังของตัวเองเอาชนะอีกฝ่ายได้”
“อย่างนั้นหรือ…” ลู่เซิ่งหยีตา หากแต่ไม่ได้พูดอะไร
“แน่นอน ถ้าหากเจ้าอยากสวามิภักดิ์กับข้า ข้าจะพิจารณาขอความเมตตาให้เจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษ ขอแค่เจ้ามอบความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้าให้ก็พอ นี่เป็นสิ่งที่ไม่ว่าทำอย่างไรเจ้าก็ปกปิดไว้ไม่ได้” เฮยจินเอ่ยอย่างราบเรียบ “เจ้าเองก็อย่านึกว่าไนติงเกลจะฮุบไว้คนเดียว ต่อให้เป็นข้า ก็เกรงว่าจะไม่มีสิทธิ์เก็บไว้เช่นกัน เจ้าดึงดูดความสนใจของระดับบนเข้าแล้ว บริวารของสันตะปาปาแห่งความมืดมน ซึ่งเป็นเจ้าของป่าแห่งความมืดครึ้มได้จับตาดูเจ้าแล้ว”
“สันตะปาปาแห่งความมืดมน…นั่นเป็นการดำรงอยู่แบบไหนกัน” ลู่เซิ่งสังหรณ์ใจไม่ดีบ้างแล้ว
……………………………………….