ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 591 ทางถอย (1)
บทที่ 591 ทางถอย (1)
“คมดาบนี้ฟันทำลายดาวแม่ในอดีตของข้า ตั้งแต่มันปรากฏขึ้นมา จนกระทั่งดาวแม่ถูกฟัน กินเวลาถึงหนึ่งร้อยปี” เสียงของจวงจิ้วดังทุ้มต่ำ
ลู่เซิ่งเบือนหน้าไปมองด้านล่าง
บนผืนดินด้านล่าง สิ่งมีชีวิตจากแก้วผลึกรูปร่างคนตัวหนึ่งกำลังเงยหน้าจ้องมองดาบยักษ์ที่กดลงมาจากท้องฟ้าเขม็ง สิ่งมีชีวิตนี้มีดวงตาแค่ข้างเดียว แต่จิตสังหารกับความเคียดแค้นที่ฉายออกมาจากในดวงตาเข้มข้นเสียจนต่อให้เป็นลู่เซิ่งก็ยังอดตกใจไม่ได้
“ร้อยปีที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์ผลึกม่วงที่ใช้ชีวิตใต้ดาบยักษ์ต่างก็ใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวังอยู่ทุกชั่วขณะ
อัตราการก่ออาชญากรรมมีเพิ่มสูงขึ้นเป็นเส้นตรง วันสิ้นโลกมาถึงแล้ว วิธีการและทักษะมากมายนับไม่ถ้วนไม่อาจทำลายดาบยักษ์ได้ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยว
ไม่อาจทำลาย ไม่อาจเปลี่ยนทิศ ไม่อาจหลบหนี คนหลายแสนล้านคนถูกขังไว้บนดวงดาวดวงนี้”
“คนนับไม่ถ้วนใช้ชีวิตอย่างลุ่มหลงเมามาย ใช้ยาเสพติดกับเหล้าปรนเปรอตัวเอง ในเวลาแค่ร้อยปี เผ่าพันธุ์ผลึกม่วงที่รุ่งเรืองมาหลายหมื่นปีก็สิ้นสูญโดยสมบูรณ์”
จวงจิ้วบรรยายอย่างเรียบเฉย
“ข้าคือเผ่าผลึกม่วงที่กดปุ่มทำลายตัวเอง”
น้ำตาโลหิตไหลออกมาจากดวงตาของสิ่งมีชีวิตรูปร่างคนอย่างไร้สุ้มไร้เสียง
“ดาบยักษ์เล่มนี้…” ลู่เซิ่งลังเล สุดท้ายก็เอ่ยถาม
“เป็นมายาพิศวง” จวงจิ้วตอบ “นี่เป็นความทรงจำทำลายล้างของแดนอธนการสูงสุดในมายาพิศวงที่ข้าแบ่งปันกับท่าน”
“ดาบนี้มีชื่อว่า อนธการสาดแสงแห่งราตรีมายา”
ตูม!
ทันใดนั้นลู่เซิ่งก็ได้สติกลับมา ตนยังยืนนิ่งอยู่ในตำหนักใหญ่
ทว่าช่องแตกสีเทาตรงหน้าเล็กลงไปไม่น้อย
เขารีบโบกมือโยนหินผลึกหลายก้อนออกไปเพื่อเติมพลังให้ค่ายกล ช่องแตกสีเทาจึงค่อยขยายใหญ่ขึ้นจนเหมือนเดิม
“มายาพิศวงเป็นขอบเขตหนึ่ง สิ่งที่ข้าให้ท่านดู เป็นภาพเสมือนของผู้แข็งแกร่งระดับมายาพิศวงคนหนึ่งที่ข้าได้พบเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก แต่ต่อมาข้าพบศพของคนผู้นี้ในเขตดวงดาวแห่งหนึ่ง เขาตายมานานแล้ว” จวงจิ้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ถ้าหากท่านเห็นอนาคตไม่ชัด ก็หาองค์กรสักองค์กรเพื่อเข้าร่วม หรือไม่ก็กราบไหว้อาจารย์ดีๆ สักคนก็ได้ วิธีการสองอย่างนี้สามารถทำให้ท่านหลีกเลียงสถานการณ์คับขันในตอนนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
“สหายจวงได้โปรดชี้แนะด้วย” ลู่เซิ่งถามต่ออย่างฮึกเหิม
“ตำแหน่งที่ท่านอยู่ในตอนนี้ ดูจากการส่งข่าวสารแล้วน่าจะอยู่ที่สำนักนทีคราม ข้าไม่ค่อยคุ้นกับทางนั้นมากนัก แต่ข้าสามารถแนะนำผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริงสักหลายคนให้ท่านได้ ส่วนจะเข้าไปในสำนักของเขาเหล่านั้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถของท่านเองแล้ว แน่นอนว่าจะกราบเข้าสำนักก็ได้ นี่ขึ้นอยู่กับว่าปัญหาที่ท่านเจอเข้ายุ่งยากขนาดไหน” จวงจิ้วเป็นคนตรงๆ คนหนึ่ง ไม่นานก็ช่วยหาวิธีแก้ไขให้ลู่เซิ่งได้แล้ว นอกจากรูปแบบการกระทำของเขาจะเลือดเย็นไปสักหน่อย ก็ดูไม่เหมือนราชามารสวรรค์แม้แต่น้อย
“กราบอาจารย์กับเข้าสำนักอย่างนั้นหรือ…” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย มารดาแห่งความเจ็บปวดมีขุมกำลังมากเกินไป ตอนนี้เขาไม่สามารถสู้ได้เลย วิธีการเพียงหนึ่งเดียวคือการหนีไปให้ไกลเป็นการชั่วคราว
แต่ต่อให้จะเป็นเช่นนี้ อาศัยสถานะของศิษย์สำนักธรรมดาๆ ก็ไม่แน่ว่าจะสยบกองกำลังของมารดาแห่งความเจ็บปวดได้
“คนที่ข้าไปล่วงเกินเข้าคือหนึ่งในสามสันตะปาปาใต้อาณัติของมารดาแห่งความเจ็บปวด ไม่ได้ล่วงเกินตัวสันตะปาปาโดยตรง เพียงแต่เป็นผู้เข้มแข็งสองสามคนในสังกัดของเขา” ลู่เซิ่งบอกกล่าวตามตรง “ขอบังอาจถามสหายจวงว่าสำนักระดับใดถึงจะแก้ไขปัญหาระดับนี้ได้”
“มารดาแห่งความเจ็บปวด…นี่ยุ่งยากบ้างแล้ว…” จวงจิ้วลังเลขึ้นมา
ลู่เซิ่งหัวใจเต้นตึกตัก เป็นกังวลอยู่บ้าง
“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ”
ทางช่องแตกเงียบงันไปนาน…
“…ขอโทษด้วย ข้าหามาสักพักแล้ว…แต่ยังหาไม่เจอว่ามารดาแห่งความเจ็บปวดเป็นสำนักไหน บนแผนที่ดวงดาวเพียงระบุสำนักนทีครามเอาไว้เท่านั้น…” เสียงของจวงจิ้วประดักประเดิดอยู่บ้าง
“จะว่าไป สำนักนทีครามเป็นสำนักที่ศิษย์คนหนึ่งของข้าเพิ่มเข้าไปชั่วคราวโดยไม่ได้ตั้งใจตอนออกท่องเที่ยวเมื่อก่อนหน้านี้…แต่เป็นเพราะว่าเล็กเกินไป แผนที่ดวงดาวจึงไม่แสดงให้เห็น…”
ลู่เซิ่งอึดอัดใจ ไม่รู้ควรพูดอะไรดี…
“ไม่ใช่บอกว่าผู้อยู่ในระดับมายาพิศวงล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรอกหรือ” ลู่เซิ่งอดถามเบาๆ ไม่ได้ “มารดาแห่งความเจ็บปวดคือมายาพิศวง ว่ากันว่าสามสันตะปาปาใต้อาณัติของนางก็เป็นมายาพิศวงเช่นกัน…”
ครั้งนี้ทางนั้นเงียบงันไปนานมาก…
จากนั้นเสียงกระซิบที่เคร่งขรึมก็ดังมา…
“ความจริงข้าเองก็เป็นมายาพิศวงเหมือนกัน…”
ลู่เซิ่งลืมตาโต รู้สึกสมองทำงานไม่ทันบ้างแล้ว
“มายาพิศวงยังแบ่งได้อีกหลายระดับ…เหมือนกับระดับมนุษย์ธรรมดาที่ท่านอยู่สามารถแบ่งระดับของสารกายออกเป็นสิบกว่าระดับย่อย มายาพิศวง…มีทั้งหมดสิบสองระดับย่อย…มันเป็นคำเรียกรวมๆ ของระดับใหญ่…” จวงจิ้วอธิบายอย่างจนใจ
“มายาพิศวงหมายถึงระดับที่ใช้ความเป็นมายาล้วงลึกเข้าไปในความพิศวง ขอแค่มีความสามารถในการทำความเข้าใจความเป็นความตายในขั้นแรก และสร้างวัฏจักรในโลกรูปจิตขึ้นได้ ก็จะเรียกว่ามายาพิศวงได้ ระดับนี้ต่อให้จิตวิญญาณถูกทำลาย รอยตราวิญญาณสูญสลาย ขอแค่โลกรูปจิตยังทำงานอยู่ ผ่านไปแค่ไม่กี่ปีก็จะสามารถให้โลกรูปจิตสร้างและเรียนรู้ตัวตนใหม่ขึ้นมาได้ เมื่อจิตไม่ดับสูญ ชีวิตนิรันดร์ก็ไม่ดับสูญ”
เมื่อจิตไม่ดับสูญ ชีวิตนิรันดร์ก็ไม่ดับสูญ…” ลู่เซิ่งเกิดความเข้าใจอย่างเลือนรางขณะไตร่ตรองประโยคนี้
การที่จวงจิ้วอยู่ในระดับมายาพิศวงเช่นกันอยู่เหนือกว่าจินตนาการของเขาไปไกลโข
และฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย เหมือนกับว่าแม้แต่สำนักนทีครามก็ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงสักนิด
นี่น่าตื่นตระหนกไปหน่อยแล้ว
“มารดาแห่งความเจ็บปวด…ใกล้เคียงกับสำนักนทีคราม ว่ากันว่าพลังไม่แตกต่างกันเท่าไหร่” ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกพร้อมกับกล่าวต่อ
“อย่างนั้นก็ง่ายแล้ว ไม่อย่างนั้นท่านลองดูว่าสามารถกราบเข้าสำนักมารดาวิญญาณที่ข้าอยู่ได้หรือไม่ เพียงแต่อยู่ไกลไปสักหน่อยก็เท่านั้น นอกจากนั้นยังมีผู้ปกครองสุวรรณอัคคีในเขตดวงดาวใกล้ๆ กำลังเปิดรับศิษย์อยู่ ท่านลองไปเข้าร่วมการคัดเลือกดูก็ได้ สุวรรณอัคคีเป็นผู้เข้มแข็งระดับมายาพิศวงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเขตดวงดาวที่ท่านอยู่ โด่งดังมาตั้งแต่เจ็ดแปดแสนปีก่อนแล้ว ครั้งกระโน้นเขาได้ทำลายดาวเคราะห์สามสิบสองดวงเพราะความแค้นในคราวเดียว”
“ผู้ปกครองสุวรรณอัคคีหรือ…” ลู่เซิ่งรู้สึกเหมือนว่าตนได้สัมผัสโลกที่กว้างใหญ่ใบใหม่เข้าแล้ว
“ในสิบสองระดับย่อยของระดับมายาพิศวงมีการแบ่งเป็นสามช่วงใหญ่ ช่วงสุดท้ายในนี้คือระดับของผู้ปกครองหรืออนธการ เรื่องพวกนี้ยังเร็วเกินไปที่ท่านจะสัมผัส จัดการปัญหาในตอนนี้ของท่านก่อนเถอะ” จวงจิ้วไตร่ตรองอย่างเรียบง่าย
“หากท่านรีบ ข้าจะส่งคนไปรับท่านหนีทันที ทางสำนักนทีครามเพียงบอกกล่าวกันก็พอ หากให้พวกเขาช่วยเหลือก็จะง่ายขึ้นมาก แต่ถ้าท่านไม่รีบ ก็ไปเข้าร่วมการคัดเลือกรับศิษย์ของผู้ปกครองสุวรรณอัคคีก่อนก็ได้ สุวรรณอัคคีมีนิสัยเป็นมิตรมาก ท่านไม่ต้องห่วงว่าจะเกิดปัญหาใหญ่อะไรขึ้น หากเข้าร่วมไม่ได้อย่างมากสุดก็ถอยกลับมาซะก็พอ”
ลู่เซิ่งเริ่มพิจารณาดู ถ้าหากทุกอย่างเป็นอย่างที่จวงจิ้วบอกจริงๆ อย่างนั้นก็ง่ายดายมาก ปัญหาจะกลายเป็นว่า เขาควรจะออกจากต้าอินหรือดาวปรภพดีหรือไม่
“พิจารณาดูให้ดีเถอะ น้ำใจที่ข้าติดค้างท่าน ถ้าครั้งนี้ไม่ใช้ดีๆ ล่ะก็ จะไม่มีครั้งที่สองแล้ว” จวงจิ้วเตือนอย่างจริงใจ
“ขอข้าคิดดูก่อนได้หรือไม่” ลู่เซิ่งเอ่ยเสริม
“ได้สิ ขอเตือนท่านอีกสักประโยค ข้าแนะนำให้ท่านเข้าสู่รอบท้ายๆ ในการคัดเลือกศิษย์ของผู้ปกครองสุวรรณอัคคีได้นะ ไม่จำเป็นต้องผ่านการทดสอบช่วงแรกก็ได้ ถ้าจะเข้าร่วมสำนัก นอกจากสำนักมารดาวิญญาณที่ข้าอยู่แล้ว ท่านจะเลือกสำนักนทีคราม สำนักวิญญาณไตรอริยะ หรือสำนักแปลงวายุก็ได้ สำนักพวกนี้เป็นสำนักที่ไม่ต่างจากสำนักนทีครามมาก ถือว่าใช้ได้ในเขตดวงดาวของท่าน”
“สำนักวิญญาณไตรอริยะหรือ” ลู่เซิ่งเกิดความเฉลียวใจในตอนที่ได้ยินชื่อชื่อนี้ แค่ฟังดูชื่อนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับสำนักไตรอริยะก็ได้
“ถ้าข้าเลือกกราบอาจารย์ หมายความว่ามีโอกาสที่จะได้เข้าไปอยู่ใต้สังกัดของสุดยอดผู้เข้มแข็งกระมัง” ลู่เซิ่งถามกลับ
“ใช่”
“ถ้าจะเข้าร่วมสำนักค่ายพรรค รับประกันได้หรือไม่ว่าจะเข้าร่วมได้แน่นอน” ลู่เซิ่งถามต่อ
“แน่นอน ข้าขอให้สหายสนิทแนะนำให้ท่านได้ การเข้าสำนักไม่มีปัญหา แต่หากจะรับภารกิจหรือยกระดับสถานะ นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของท่านเองแล้ว ท่านต้องแยกแยะให้ชัดเจน ผู้ปกครองสุวรรณอัคคีมีศิษย์แค่สามคนเท่านั้น ถ้าหากท่านเข้าสำนักได้ก็จะเป็นคนที่สี่ ทรัพยากรการเติบโตที่ได้รับจะมีเยอะกว่าสำนักอื่นๆ มากโข ถ้าเป็นสำนัก ต่อให้ท่านเป็นศิษย์หลักผู้ได้รับการสืบทอด แต่เมื่อเทียบกับอย่างแรกแล้ว จะต่างกันราวฟ้ากับเหว” จวงจิ้วอธิบาย
“ไม่เป็นไร ข้าเอนเอียงไปทางเข้าร่วมสำนักมากกว่า” ลู่เซิ่งมีแผนการของตัวเอง เขามีความลับยิ่งใหญ่เกินไป ต่อให้กลายเป็นศิษย์ของผู้ปกครองสุวรรณอัคคี ก็อาจจะเกิดปัญหาขึ้นเพราะการยกระดับได้เหมือนกัน
ไม่สู้เข้าร่วมสำนักก่อนชั่วคราว แล้วอาศัยจังหวะที่ยังไม่ดึงดูดความสนใจมากไปกว่านี้ออกจากเขตดวงดาวเขตนี้ไปยังสถานที่อื่น พร้อมกับปิดบังชื่อแซ่และฝึกฝนอย่างเงียบๆ
ถึงอย่างไรการยกระดับของเขาในตอนนี้ก็พึ่งพาการจุติไปยังต่างโลกเป็นหลักอยู่แล้ว ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมที่ตนเองอยู่มากนัก
“เช่นนั้นท่านอยากจะเข้าร่วมสำนักไหน สำนักพวกนี้ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่สำนักนทีครามแข็งแกร่งกว่าหน่อยนึง ท่านลองดูเองก็แล้วกัน” แม้จวงจิ้วจะไม่เข้าใจ แต่ก็เคารพการเลือกของเขา
ไม่นานข้อมูลอย่างเป็นรูปธรรมของสำนักสองสามสำนักนี้ก็ถูกส่งออกมาจากช่องแตกสีเทา
ระบบของสำนักใหญ่ในเขตดวงดาวแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสำนักทั่วไป
ลู่เซิ่งแปลกใจอยู่บ้างหลังจากเห็นข้อมูล
สำนักนทีครามยังดี เป็นระบบสำนักแบบดั้งเดิม แต่สำนักที่เหลือไม่เหมือนแล้ว กฎของสำนักวิญญาณไตรอริยะก็คือ ให้วิชาลับวิญญาณไตรอริยะหนึ่งชุด ศิษย์ที่เข้าสำนักจะต้องแบ่งแยกร่างตัวเองเป็นวิญญาณอริยะสามชนิดจากนั้นก็หลอมรวมเป็นหนึ่งกับดวงจันทร์ของจักรวาลนั้นๆ เพื่อฝึกร่างไตรอริยะชนิดพิเศษให้สำเร็จ
ความจริงคือการแบ่งวิญญาณของตัวเองออกเป็นคนสามคน จากนั้นก็แยกกันฝึกฝนพลังพิเศษที่แตกต่างกันสามชนิด ก่อนจะนำมารวมกันในตอนสุดท้าย
พอลู่เซิ่งเห็นรูปร่างอันน่าขยะแขยงของร่างไตรอริยะก็ไม่อยากจะมองดูอีกเป็นครั้งที่สอง ดวงตาหกข้าง ปากสามข้าง รูจมูกและหูงอกอยู่บนร่างอย่างไม่เป็นระเบียบ ดูเหมือนกับเสียบอวัยวะของมนุษย์ลงไปยังตำแหน่งต่างๆ บนร่างอย่างมั่วๆ
ถัดจากนั้นเป็นสำนักแปลงวายุ สำนักนี้มีความพิเศษยิ่งกว่า โดยเน้นการทำความเข้าใจธรรมชาติของการเลื่อนไหล ศิษย์ส่วนใหญ่ไร้ระเบียบวินัย ไม่มีเส้นทางการรับศิษย์ ไม่มีวิชาอย่างเป็นรูปธรรม เพียงมอบทิศทางใหญ่ทิศทางหนึ่งให้ท่านเท่านั้น
และนอกจากสาขาหลักของสำนักแล้ว ก็ไม่มีสาขาย่อยที่ตั้งอยู่ในสถานที่อื่นๆ อีก
เงื่อนไขของพวกเขาคือ จะต้องควบคุมแก่นสารของสายลมให้ได้หลังจากเข้าสำนัก เรื่องนี้ทำให้ลู่เซิ่งตัดมันทิ้งทันที ตอนนี้เขาเพิ่งบรรลุแก่นสารของไฟหยิน หากต้องไปทำความเข้าใจแก่นสารของสายลมอีก จะเสียเวลามากเกินไปและลงทุนมากเกินไปจนไม่คุ้มค่า
“ยังมีอีกหรือไม่ สำนักพวกนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่”
จวงจิ้วไตร่ตรอง “ความจริงยังมีอีกสำนักอยู่ที่ชายขอบของเขตดวงดาวที่ท่านอยู่ ท่านเข้าร่วมขุมกำลังนี้ได้ เพียงแต่ ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะปรับตัวได้หรือไม่…”
“โปรดบอก” พอได้ยินจวงจิ้วบอกแบบนี้ ลู่เซิ่งก็สนใจขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ขุมกำลังนี้มีกองกำลังแข็งแกร่งกว่าสำนักนทีครามเสียอีก แต่ว่าคุณสมบัติของมันมีความพิเศษอยู่บ้าง ที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้แนะนำให้ท่านรู้จัก เป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง” จวงจิ้วเว้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
“มีความพิเศษตรงไหนหรือ” ลู่เซิ่งสนใจกว่าเดิม ขุมกำลังที่ทำให้ผู้เข้มแข็งมายาพิศวงระดับจวงจิ้วรู้สึกยุ่งยากได้ จะต้องมีระดับที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
จวงจิ้วลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็อธิบายว่า “มันมีชื่อว่านครตราชั่ง ผู้ที่จะเข้าร่วมต้องเป็นคนที่มีทั้งความยุติธรรมกับคุณธรรมอันเด็ดขาดจากใจ ถึงจะเข้าร่วมได้”
……………………………………….