ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 593 กับดัก (1)
บทที่ 593 กับดัก (1)
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วอยู่ด้านหน้าทางเชื่อม ขณะมองไปตามม่านกั้นสองฟากข้าง
เขาผ่อนลมหายใจเล็กน้อยแล้วก้าวเข้าไปในทางเชื่อม พื้นข้างใต้เป็นหินสีดำแข็งแกร่งซึ่งชุ่มชื้นและเย็นเยียบเล็กน้อย ทั้งยังเรียบลื่นคล้ายมีตะไคร่น้ำจำนวนหนึ่ง
‘ผ่านที่นี่ไปในระยะเวลาที่สั้นที่สุด…’ เขาหรี่ตาลงและเร่งฝีเท้า
นอกจากสายตาที่เร้นลับจำนวนมากจากสองฟากข้างของทางเชื่อมแล้ว ตลอดเส้นทางก็ไม่มีกับดักใดๆ อีก ราบรื่นเสียจนสร้างความระแวงให้แก่ลู่เซิ่ง
ตุบๆๆ…
เสียงฝีเท้าสะท้อนในทางเชื่อมเป็นระยะ
ซู่…
อยู่ๆ ความรู้สึกร้อนลวกอันเบาบางก็พุ่งมาจากบ่าของลู่เซิ่ง เขาชะงักฝีเท้าแล้วเอื้อมมือไปลูบตำแหน่งที่ความรู้สึกร้อนลวกส่งมา
“ท่านควรจะเร่งความเร็วอีกหน่อยนะ ถึงแม้ผู้คุมสอบจะช่วยแก้ผลสอบให้ท่าน แต่ถ้าผลงานในความเป็นจริงแย่เกินไปจะลำบากเอาได้” เสียงของมนุษย์ใบไม้เตือนขึ้นอีกครั้ง
“อื้อ ข้าเข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้า แต่ยิ่งเดินหน้าเท่าไหร่ ความรู้สึกร้อนลวกบนบ่าเขาก็ยิ่งรุนแรงเท่านั้น
จากนั้นเขาก็หยุดลงอย่างฉับพลัน
“เป็นอะไรไป” มนุษย์ใบไม้ถาม
“ไม่มีอะไร”
ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขาสัมผัสความผิดปกติได้แล้ว การทดสอบของสำนักใหญ่เหตุใดถึงได้เหมือนเด็กเล่นขนาดนี้ ไม่มีซักการทดสอบเดียว
และความรู้สึกร้อนลวกบนบ่านั้น…
ลู่เซิ่งมุ่งหน้าต่อไปโดยไม่แสดงสีหน้า แต่กลับแอบล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ คลื่นกลิ่นอายที่เบาบางจุดหนึ่งส่งออกมาจากในแขนเสื้อ
ทางเชื่อมมืดครึ้มลงเรื่อยๆ และเริ่มหักเลี้ยวไปทางซ้าย
คลื่นกลิ่นอายในแขนเสื้อของลู่เซิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ ไม่นานก็ค่อยๆ หายไป
‘หวังว่าจะไม่ต้องใช้สิ่งนี้…’ เขามองดูทางเชื่อมที่มืดสลัวกว่าเดิมตรงหน้าด้วยจิตใจที่หนักอึ้งอยู่บ้าง
“ตอนนี้ต้องเดินต่ออีกหรือ” ลู่เซิ่งส่งเสียงถาม
ทว่ามนุษย์ใบไม้ไม่ได้ตอบกลับ แสดงให้เห็นว่าหลังจากมาถึงที่นี่ มันก็ไม่สามารถติดตามต่อไปได้อีกแล้ว
ลู่เซิ่งเงียบเสียงลงแล้วมุ่งหน้าต่อไปพร้อมกับเริ่มค้นหามุมอับส่วนหนึ่ง
…
ปลายทางเชื่อม
ชายชราผอมแห้งหนึ่งสูงหนึ่งต่ำที่สวมใส่ชุดนักพรตนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ พวกเขาหลับตาทำสมาธิด้วยสีหน้าปลอดโปร่งขณะรอให้ลู่เซิ่งมาถึง
“ที่ศิษย์พี่มู่ชิงกลับมาในครั้งนี้ เพราะเรื่องหรูเสวี่ยกระมัง อายุเท่านี้นางน่าจะถึงเวลาแต่งกับคู่ฝึกบำเพ็ญแล้ว” ชายชราร่างเตี้ยเอ่ยสัพยอก
“ยังดีๆ ถ้าไม่ใช่ที่นี่ต้องการคนกะทันหัน ตอนนี้ข้าอาจจะกำลังอยู่บนเส้นทางดวงดาวไปงานแต่งงานแล้วก็ได้ กลับเป็นศิษย์น้องหนานซู่ซู ศิษย์เอกของเจ้าขโมยโอสถคืนวิญญาณของเจ้าไป ตอนนี้ยังจับตัวไม่ได้กระมัง” ชายชราร่างสูงลูบเคราพลางกล่าวอย่างเกียจคร้าน
“ยาก…ศิษย์คนนั้นของข้าได้รับการอบรบจากข้าหลายพันปี พลังฝึกปรือไม่ต่างจากข้าเท่าไหร่ ขอแค่รอโอกาสเหมาะๆ ก็อาจจะทะลวงจากระดับชูศัสตราเข้าสู่ระดับลวงตาได้แล้ว กอปรกับเขารู้จักวิชาความสามารถของข้าที่เป็นอาจารย์ดีดุจฝ่ามือ ตอนนี้คิดหาตัวกลับมาให้เร็วที่สุดนั้นยากมาก” หนานซู่ซูที่มีร่างเตี้ยกว่าส่ายหน้าอย่างจนใจ
“จะว่าไป ครั้งนี้ที่เชิญพวกเราสองคนมาโดยเฉพาะ ก็เพื่อรับมือกับผู้บำเพ็ญอิสระระดับชูศัสตราทั่วไปคนเดียวกระมัง สำนักทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่รึเปล่าเนี่ย” มู่ชิงไม่พอใจเล็กน้อย
“ว่ากันว่าราชามารสวรรค์ลำดับห้าแห่งโลกสรรพวิญญาณเข้ามาสอดมือ ช่วยไม่ได้ ความจริงภารกิจหลักของพวกเราไม่ใช่การสู้กับเด็กน้อยคนนั้น แต่เป็นการรบกวนการสอดมือข้ามมิติของราชามารสวรรค์ลำดับที่ห้าต่างหาก”
หนานซู่ซูอธิบาย “เด็กน้อยคนนี้ได้รับความสำคัญจากราชามารสวรรค์ แสดงให้เห็นว่าบนตัวเขาจะต้องมีความลับอยู่แน่ แถมเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่เสียด้วย ดังนั้นภารกิจของพวกเรายังมีการนำเอาสิ่งของที่เด็กน้อยคนนี้ซุกซ่อนไว้มาด้วย”
เหนือกว่าเจ้าแห่งอาวุธเป็นการปะทะกันทางจิต ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ ทั้งสองที่เป็นระดับลวงตา ต่อให้อยู่ในสำนักนทีครามก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่แถวหน้า เหนือศีรษะมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สะกดพวกเขาได้
ดังนั้นสมควรรับมือเรื่องนี้ได้อย่างผ่อนคลาย
คุยกันสักพัก อยู่ๆ หนานซู่ซูก็นิ่วหน้าเล็กน้อย
“เหตุใดนานขนาดนี้แล้วยังมาไม่ถึงอีก หรือว่าเด็กน้อยนั่นจะรู้แกวแล้ว”
“เข้าไปดูดีไหม” มู่ชิงรู้สึกว่านานเกินไปเช่นกัน
ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากันพร้อมกับก้าวเข้าไปในทางเชื่อม ก่อนที่จะหายไปจากที่เดิมดุจสายฟ้าฟาด
…
จวงจิ้วนั่งอยู่บนบัลลังก์หยกที่มีหนามแหลมนับไม่ถ้วนติดอยู่ หมอกน้ำแข็งลอยวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเขา ร่างกายกึ่งโปร่งแสงของวิญญาณสีดำขับขานบทเพลงอยู่ในบริเวณรอบๆ อย่างแผ่วเบา
ในภาพน้ำมันบนฝาผนังในวังมีวงดนตรีหลายวงกำลังบรรเลงเสียงเพลงที่อึมครึมและลึกลับคลอไปด้วย
‘ใช้เวลาสิบกว่าปีก็ทะลวงสู่ระดับชูศัสตราได้แล้ว สุดยอดจริงๆ…มิน่ามายาพิศวงอย่างมารดาแห่งความเจ็บปวดอะไรนั่นถึงได้ต้องการตัว’
จวงจิ้วลูบคาง
‘ตอนแรกที่ให้ช่องทางติดต่อกับเด็กน้อยนั่น เพราะคิดแค่ว่าจะระบุโลกที่เขาอยู่เพื่อดูว่าจะหาดาวเคราะห์อาณานิคมเพิ่มได้หรือไม่เท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องเหนือความคาดหมายที่ไม่เลวแบบนี้’
ข้อตกลงคนละครึ่งที่ทำกับสำนักนทีครามมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะเชื่อ ในฐานะราชามารสวรรค์ ไม่ว่าคนไหนก็เป็นตัวตนที่เหยียบย่ำกระดูกนับไม่ถ้วนเพื่อปีนป่ายสู่จุดสูงสุดทั้งนั้น
คำพูดไม่เป็นคำพูดคือจริยธรรมพื้นฐานของมารสวรรค์
จวงจิ้วโบกมือไล่วงดนตรีวิญญาณให้ออกไปอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะค่อยๆ ลุกจากบัลลังก์หยก
‘คำนวณเวลาดูน่าจะพอประมาณแล้ว สถานที่บัดซบนี่ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว ถ้าไม่ใช่เพื่อเอาวิญญาณกับสมบัติของเด็กน้อยนั่นมาล่ะก็ ข้าคงไม่ส่งร่างแยกมาถึงทีนี่หรอก รีบจัดการรีบกลับดีกว่า’
จวงจิ้วอ้าปากพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลมหายใจสีม่วงขยายใหญ่ขึ้นด้านหน้าเขาอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็รวมตัวเป็นซุ้มประตูโค้งผลึกม่วงบานหนึ่ง
ม่านแสงผืนใหญ่ที่เกิดจากเส้นสายสีขาวบริสุทธิ์กำลังกะพริบอยู่หลังประตู
“ผังค่ายกลป้องกันอัตโนมัติของหอฟ้าเมฆาหรือ น่าสนใจนิดหน่อย” จวงจิ้วยกยิ้มมุมปาก แล้วก้าวหายเข้าไปในเส้นสายสีขาวบริสุทธิ์โดยตรง
เวลาเพียงพริบตา ฟ้าดินตรงหน้าก็เปลี่ยนไป
รอบๆ กลายเป็นทุ่งหญ้ากว้างขวางใต้เมฆขาวฟ้าครามแล้ว
วังสีขาวขนาดยักษ์รูปกางเขนตั้งตระหง่านอยู่บนทุ่งหญ้าไกลออกไป
วังแห่งนี้มีทั้งหมดมากกว่าร้อยชั้น เหมือนกับภูเขาลูกย่อมๆ อันประณีตที่มนุษย์สร้างขึ้นเมื่อมองดูไกลๆ
เงาดำขนาดยักษ์ทอดตัวลงมา บดบังอาณาเขตส่วนหนึ่งด้านหน้าจวงจิ้วให้เป็นความมืดสลัวผืนหนึ่ง
“อารามฟ้าเมฆาหรือ” จวงจิ้วกวาดตามองด้านล่างตำหนัก ค่อยพบว่าตำหนักแห่งนี้ลอยอยู่กลางอากาศ
ฐานด้านล่างห่างจากพื้นถึงสิบกว่าหมี่
‘คลื่นอยู่ที่นี่ ดูเหมือนตำแหน่งที่ใบไม้แห้งรับเขาขึ้นหอฟ้าเมฆาจะอยู่ที่นี่สินะ หมายความว่า เส้นทางการทดสอบนั้นอยู่ที่นี่เช่นกัน ดีเลย ข้าจะได้ไม่ต้องลำบาก’
จวงจิ้วดีดนิ้ว แสงสีดำที่มีทรายสีเงินแทรกอยู่เป็นจำนวนมากลอยฟุ้งขึ้นมารอบๆ ตัวอย่างฉับพลัน แสงสีดำวนเวียนและสานเกี่ยวกันรอบๆ ตัวเขา แล้วจับตัวกลายเป็นชุดเกราะสีดำชนิดพิเศษที่ใช้สัญลักษณ์จันทร์เสี้ยวเป็นหลัก
‘อารามฟ้าเมฆาขัดขวางข้าไม่ได้หรอก’ จวงจิ้วยิ้มพร้อมกับบินไปยังทิศทางของอารามอย่างรวดเร็ว แล้วหายไปในพริบตา
หลังจากเขาจากไปได้ไม่กี่วินาที เงาดำหลายสายก็ปรากฏขึ้นบนอาณาเขตที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้
“ที่นี่สินะ จงเคลื่อนไหวตามข้อตกลงที่ได้ทำไว้กับสำนักนทีคราม” เงาดำที่เป็นผู้นำค่อยๆ เผยร่าง เป็นสตรียั่วยวนที่สวมชุดเกราะสีม่วงคนหนึ่ง
สตรีผู้นี้มีแค่ชุดเกราะฉลุลายที่สานขึ้นจากโลหะสีม่วงปกปิดจุดสำคัญสามจุดไว้เท่านั้น เปิดเผยขาเรียวยาวกับเอวคอดกิ่ว และความยิ่งใหญ่อันน่าภาคภูมิโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
ถ้าหากดูแค่ร่างกายของนาง คล้ายไม่มีคนรู้ว่านางมาจากโลกแห่งความเจ็บปวด แต่ว่าหางยาวสีม่วงที่ประกอบขึ้นจากท่อนกระดูกซึ่งยื่นออกมาจากก้นกบก็ได้เปิดเผยสถานะของนางออกมาอย่างสมบูรณ์
“ใต้เท้าหงเหยา จะเคลื่อนไหวอย่างไร ได้โปรดชี้แนะด้วย” เงาดำที่อยู่ด้านข้างเข้ามาถามเบาๆ
สตรีส่ายหางยาวไปมาพลางยื่นลิ้นสีแดงมีแฉกออกมาเลียริมฝีปาก
“สำนักนทีครามวางแผนไว้ได้ไม่เลว ที่นี่อยู่ใกล้กับโลกจิตพิสุทธิ์ที่เป็นรังของพวกเขามาก ไม่ว่าพวกเราจะมีแผนอะไร ก็สามารถสั่งขุมกำลังจำนวนมากพอมาพลิกสถานการณ์ได้ทันเวลา แต่ต่อให้พวกเขาคำนวณถูก พวกเราก็จะยังส่งคนมาอยู่ดี”
“สำนักนทีครามอยากจะได้ผลประโยชน์ แต่ไม่อยากแบกชื่อเสียงเลวร้าย ในโลกนี้ไหนเลยมีเรื่องดีแบบนี้” หงเหยาหัวเราะเสียงเย็น
“อย่างนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี” เงาดำอีกสายเอ่ยถาม
หงเหยาหัวเราะเย็นชา “พวกเราต้องการตัวคน เพียงแต่ควรลงมือเวลาไหนและลงมือด้วยวิธีไหน ต้องดูสถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรมเสียก่อน…จวงจิ้วเป็นราชามารสวรรค์อันดับห้าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในโลกสรรพวิญญาณ ต่อให้สิ่งที่มาที่นี่จะเป็นแค่ร่างแยกร่างเดียว ทว่าก็มีพลังน่ากลัวสุดเปรียบปานอยู่ดี พวกเราจะปะทะกับเขาตรงๆ ไม่ได้ ให้สำนักนทีครามสู้กับเขาไปก่อน ทางเราหาโอกาสจับคนก็พอ” หงเหยาหยิบรูปสลักสีดำขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่งออกมา
รูปสลักแกะสลักบุรุษร่างสูงใหญ่สวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่ง
ส่วนหัวของบุรุษมีดวงตาเพียงข้างเดียว ด้านหลังมีสิ่งของที่เหมือนกับหนวดจำนวนนับไม่ถ้วนจัดเรียงตัวในลักษณะใบพัดที่เหมือนกับม่านกำบัง
หากมองดูอย่างละเอียด จะพบว่าหนวดเหล่านี้กำลังขยับขยุกขยิกอยู่จริงๆ
“มารดาแห่งความเจ็บปวดโปรดประทานพลังให้ข้า…” หงเหยากอดรูปสลักและค่อยๆ หลับตาอธิษฐาน ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“มารดาแห่งความเจ็บปวดโปรดประทานพลังให้ข้า…” เงาดำที่เหลือวิงวอนอธิษฐานอยางศรัทธาเช่นกัน
ควันโปร่งแสงหลายสายกระจายออกมาจากรูปสลัก แล้วปกคลุมร่างกายของทุกคนอย่างเท่าๆ กัน ไม่นานนัก เงาดำทั้งหมดรวมถึงหงเหยาก็ค่อยๆ กลายเป็นโปร่งแสง กลิ่นอายทั้งหมดบนร่างอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย
…
สถานที่สักแห่งหนึ่งในทางเชื่อม
ลู่เซิ่งหยุดยืนอยู่ที่เดิม ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรขนาดเล็กๆ มากกว่าร้อยเม็ดลอยขึ้นจากในมือ
ผิวภายนอกของไข่มุกแต่ละเม็ดเป็นสีดำอมม่วง แกนกลางมีเปลวไฟสีทองจุดหนึ่งลุกไหม้อยู่
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ไข่มุกทั้งหมดนี้ต่างกำลังสั่นสะเทือนด้วยความถี่อันประหลาดชนิดหนึ่ง และกะพริบแสงชนิดพิเศษที่เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวดับเหมือนกับการหายใจ
‘ถึงแม้จะเสี่ยงสุดๆ แถมการทดลองก็ไม่ได้เสถียรมาก แต่เรื่องราวมาถึงวันนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว พวกเจ้าไม่เมตตา ก็อย่าโทษข้าไม่มีคุณธรรมก็แล้วกัน…’
เขาสัมผัสปัญหาผ่านความร้อนจากรอยตราแห่งความเจ็บปวดที่อยู่บนร่างได้แล้ว มีแต่ตอนที่ตัวตนจากโลกแห่งความเจ็บปวดเข้าใกล้ด้วยความเร็วสูงเท่านั้น รอยตราถึงจะแสดงปรากฏการณ์เช่นนี้
นอกจากนั้น แม้พลังผสานอันยิ่งใหญ่ที่เขาได้มาจากโลกชุดเกราะจะไม่อาจควบคุมทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ ได้อย่างแม่นยำเหมือนจิตวิญญาณ แต่หลังจากผสมวิธีการใช้นี้เข้าไปในจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของเขาในเวลานี้ ก็ทำให้การสัมผัสสภาพแวดล้อมรอบๆ ของเขากว้างขวางขึ้นกว่าเดิม
วิธีการสัมผัสแบบพิเศษของพลังผสานทำให้อาณาเขตการรับรู้ของเขาแทบจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว
ปัจจุบันอาณาเขตการรับรู้ตามปกติของเขาในฐานะเจ้าแห่งอาวุธคือราวๆ พันหมี่ ทว่าหลังจากหลอมรวมพลังผสานเข้าไปและใช้วิธีการรับรู้พิเศษชนิดนี้แทน ลู่เซิ่งก็สัมผัสถึงคลื่นกลิ่นอายทุกชนิดที่เข้ามาในอาณาเขตสามพันหมี่ได้ในพริบตา
นอกจากนั้นยังมีความเร้นลับถึงขีดสุดด้วย
แม้พลังผสานจะไม่มีประโยชน์ใดๆ อีกนอกจากการรับรู้ แต่แค่สัมผัสกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้ก็ถือว่าไม่เลวมากแล้ว
……………………………………….