ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 594 กับดัก (2)
บทที่ 594 กับดัก (2)
จิตชั่วร้ายของจวงจิ้วชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง แถมยังมีกลิ่นอายชั่วร้ายสองสายที่อยู่ด้านหน้ากำลังเข้าใกล้มาด้วยความเร็วสูง แม้จะรู้สึกว่ากลิ่นอายสองสายนี้อ่อนแอมาก แต่ลู่เซิ่งก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงการคุกคามอันแหลมคมที่ส่งมาจากในตัวพวกมัน
เห็นได้ชัดว่าที่อีกฝ่ายสามารถปรากฏตัวขึ้นตรงนี้ได้ จะต้องเป็นคนของสำนักนทีครามแน่ หนำซ้ำจะต้องซ่อนพลังเอาไว้ด้วย
กอปรกับความรู้สึกร้อนลวกจากรอยตราแห่งความเจ็บปวด
‘มากันครบทั้งสามฝ่ายเชียว…ดูเหมือนเราจะเนื้อหอมจริงๆ’ ลู่เซิ่งยิ้มเย็นชา ถ้าหากเป็นแค่การทดสอบ พวกเขาคงไม่มากันพร้อมหน้า เขาเชื่อมั่นว่าตนไม่ได้สำคัญถึงขนาดนี้
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ในที่สุดก็ทำท่าโยนออกไป ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรจำนวนมากที่ลอยอยู่กลางฝ่ามือพากันลอยวนไปวนมา
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาขบคิดถึงความสามารถอันเป็นไพ่ตายที่มีอานุภาพสูงสุดและเป็นของตัวเองโดยสมบูรณ์มาโดยตลอด
แม้เขาจะมีพลังแข็งแกร่ง แถมยังพัฒนาเร็วถึงขีดสุด แต่หากพูดถึงไพ่ตายที่สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้ ความจริงไม่มีสักอันเดียว
ในการแก้ปัญหานี้ เขาได้ใช้ช่วงเวลาพักผ่อนระหว่างกักตนและกางค่ายกลทุกครั้งลองผิดลองถูก จนในที่สุดก็ได้เป็นวิชาที่มีอานุภาพเท่าไหร่ก็ไม่ทราบออกมาวิชาหนึ่ง
วิชานี้ได้แต่ใช้ในสถานการณ์ที่เผชิญทางตันเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะมีความเสี่ยงสูงยิ่ง
ลู่เซิ่งจำได้ว่าตนเองบาดเจ็บไปทั่วร่างตอนที่สัมผัสกับกระบวนการนี้เป็นครั้งแรก
ครั้งนี้เนื่องจากต้องรับมือกับสถานการณ์คับขันที่กำลังจะมาถึง เขาจึงได้เตรียมไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรมากกว่าร้อยเม็ดเพื่อสร้างกระบวนการนี้ขึ้นอีกครั้ง
ฟ้าว…
เสียงแหลมที่เหมือนกับเสียงขับขานบทเพลงอันทรงพลังในโรงละครอุปรากรดังออกมาจากอากาศรอบๆ
เปรี้ยง
ไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรเม็ดหนึ่งระเบิดออกอย่างฉับพลัน ตามด้วยเม็ดที่สอง เม็ดทีสาม และเม็ดที่สี่…
ไข่มุกหลายเม็ดพากันระเบิด เพลิงสีทองที่กระจายออกมาจากด้านในหลอมรวมเป็นก้อนเดียวและเผาไหม้อากาศสีขาวด้านหน้าลู่เซิ่ง
ซู่
ไม่นานนัก ไฟสีทองก็เผาไหม้อากาศจนกลายเป็นช่องสีเทาขนาดเท่าฝ่ามือ
ถัดจากนั้น ช่องก็ขยายใหญ่ขึ้น ก่อนจะแผ่ขยายกลายเป็นช่องแตกขนาดปกติ
ช่องแตกขนาดมหึมาที่สูงเท่าหนึ่งคนครึ่ง
“ผู้ใด…ผู้ใดเป็นคนอัญเชิญข้า…” เสียงร้อนแรงแผดเผาที่เก่าแก่ ศักดิ์สิทธิ์ และยิ่งใหญ่ค่อยๆ ดังออกมาจากในช่องแตก
ลู่เซิ่งยกยิ้มมุมปากขณะมองดูเงาสัตว์เทพขนาดเล็กที่ค่อยๆ ปรากฏในช่องแตก
“ข้าเอง…ข้าคือพ่อเจ้า จงมา เสี่ยวปา (แปดน้อย) เรียกข้าว่าพ่อสิ!”
อสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรขนาดเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากช่องแตกงุนงง มันมีศีรษะเป็นเหยี่ยวยักษ์แปดข้างและร่างกายของราชสีห์ที่แข็งแกร่งทรงพลัง
พริบตาที่ได้ยินภาษาภัยพิบัติที่อีกฝ่ายส่งมา มันก็สงสัยว่าตัวเองคงหูฝาดไป
เผ่าอินทรีราชสีห์แปดเศียรที่ยิ่งใหญ่ ไร้คู่ต่อกร และแข็งแกร่งเสียจนทุกชีวิตต้องเกรงกลัวอย่างมัน ยังมีคนกล้าสบประมาทเป็นคนรุ่นหลังอยู่อีกหรือ
คงจะหูฝาดไป หรือไม่ก็นี่ไม่ใช่ภาษาภัยพิบัติ คงจะเป็นภาษาต่างดาวสักภาษาหนึ่งที่คล้ายภาษาภัยพิบัติ เพียงแต่ฟังดูเหมือนคำด่าเท่านั้น
มันคาดเดาในใจ
“ไม่ เจ้าไม่ได้หูฝาดหรอก” ลู่เซิ่งมองสัตว์เทพขนาดเล็กตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม และทำลายจินตนาการของมัน
“พูดถึงเจ้านั่นแหละ มา รีบเรียกพ่อสิ” เขาชี้ตนเองพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
อสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรงงงวย จากนั้นเพลิงโทสะสีทองก็เริ่มรวมตัวกันในดวงตาแปดคู่ด้วยความเร็วสูง
“เจ้าแมลงเล็กกระจ้อย! เจ้าถึงกับสบประมาทเผ่าอินทรีราชสีห์แปดเศียรที่เก่าแก่และมีเกียรติอย่างนั้นหรือ!? เจ้ากำลังหาที่ตาย! หาที่ตาย!” มันโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ก่อนจะยืนขึ้นด้วยขาสองข้างและส่งเสียงคำรามอย่างดุร้าย
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งตบอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรจนกลิ้งออกไปชนใส่ผนังหินด้านข้าง
“ไอ้กระจอกเอ๊ย! มีปัญญาก็เข้ามาเล่นงานข้าสิ! ข้าจวงจิ้วราชามารสวรรค์ลำดับที่ห้าแห่งโลกสรรพวิญญาณ ใครไม่กล้ามันเป็นไอ้กระจอก!”
เสียงยังไม่ทันขาด ลู่เซิ่งก็บีบรูปสลักอีกาสีดำในมือจนแหลก ร่องแยกสีเทาสายหนึ่งพลันเปิดขึ้นด้านหลัง จากนั้นเขาก็กระโดดถอยหายเข้าไปในร่องแยก
พลังของสัตว์เทพตัวน้อยแตกต่างกับบรรพบุรุษราวฟ้ากับเหว บวกกับเป็นแค่เงาลวง จึงถูกฝ่ามือฟาดจนมึนงง ทั้งยังชนเข้ากับผนังจนเลือดกำเดาไหลออกมา
“บังอาจ! บังอาจนัก!?” มันคำรามและยันตัวลุกขึ้นจากพื้น “จวงจิ้ว! เจ้าตายแน่! ตายแน่นอน! อ๊ากกก! อัคคีสวรรค์ทำลายล้าง!”
ตูม!
เปลวไฟสีทองผืนใหญ่ระเบิดออกมาจากตัวมัน ก่อนจะหลอมละลายผนังรอบๆ จนถล่มด้วยความเร็วสูง
เปลวไฟกลายเป็นวิญญาณไฟที่เหมือนกับจับต้องได้หลายตัว พวกมันมีท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นเปลวเพลิง ต่างก็มีหน้าตาที่สมบูรณ์แบบและร่างกายที่เหมือนเปลวเพลิง ทั้งยังส่งเสียงขับขานบทเพลงเหมือนกับปีศาจสาว
อยู่กลางเพลิงสีทอง วิญญาณไฟนับไม่ถ้วนหัวเราะร่าพลางร้องเพลง ขณะเผาม่านกั้นและผนังหินบนทางเชื่อมรอบๆ จนทะลุได้อย่างง่ายดาย
“แจ้งเตือน!”
“แจ้งเตือน!”
“อารามปรากฏปฏิกิริยาของเปลวเพลิงพลังงานสูง ได้รับความเสียหายสามในพันส่วน ระดับการคุกคามเหนือปกติ”
“เปิดใช้ระบบทำลายบางส่วน”
“ยามลาดตระเวนออกเคลื่อนไหว”
“ผู้ทำลายสายพันธุ์ออกเคลื่อนไหว”
เสียงบุรุษที่ทุ้มต่ำและเย็นชาหลายสายสะท้อนในทางเชื่อมอย่างต่อเนื่อง
อสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรกำลังคำรามอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับปลดปล่อยเพลิงโทสะทั้งหมดของตัวเองออกมา
“เดรัจฉาน! บังอาจก่อเรื่องในอารามหรือ!”
อยู่ๆ แสงสีเงินสายหนึ่งก็กลายเป็นดาบคมกริบ ทะลวงเปลวเพลิงในพริบตา แล้วโจมตีใส่ข้างลำตัวมันอย่างหนักหน่วงเหมือนกระสุนปืนใหญ่
เปรี้ยง!
อสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรร้องโหยหวน ถูกพละกำลังอันมหาศาลกระแทกลงกับพื้นและไถลออกไปไกล จากนั้นก็ถูกแรงดึงดูดไร้รูปร่างสายหนึ่งตรึงไว้กับพื้น
เปลวเพลิงสีทองผืนใหญ่หายไป หมอกสีขาวนับไม่ถ้วนกระจายออกมาทำลายวิญญาณไฟอย่างรวดเร็ว
ชายชราหนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยปรากฏตัวขึ้นริมทางเชื่อมที่ถูกหลอมละลาย พลางจับจ้องอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรที่ลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบากด้วยความเย็นชา
“ตัวอะไรกัน” มู่ชิงขมวดคิ้วถามเสียงขรึม “มารสวรรค์น้อยระดับชูศัสตราผู้นั้นเล่า”
“ไม่แน่ใจ หรือว่าเด็กน้อยนั่นจะเปลี่ยนร่างเป็นมัน” หนานซู่ซูที่มีร่างเตี้ยกว่าเอ่ยอย่างสงสัยเช่นกัน
หนานซู่ซูนิ่วหน้าขณะจ้องมองสัตว์เทพตัวน้อยที่กำลังคืบคลานขึ้นจากพื้น
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามันดูคุ้นตาอยู่บ้าง…”
“อย่างนั้นหรือ อาจจะเป็นเผ่าพันธุ์หายากที่เคยอ่านเจอในคัมภีร์ก็ได้” มู่ชิงที่ตัวสูงเอ่ยอย่างไม่นำพา “จับกลับไปลงโทษก่อนค่อยว่ากัน เลือดที่มีคุณสมบัติเป็นไฟบนตัวมันไม่แน่ว่าจะช่วยปรับปรุงโอสถเผาหทัยของเจ้าได้”
“ท่านพูดถูก” หนานซู่ซูพยักหน้าเอ่ยอย่างเห็นด้วย
ตอนแรกอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรโมโหถึงขีดสุดอยู่แล้ว พอมาได้ยินคำพูดของสองคนนี้อีก เพลิงโทสะก็สุมในอกเหมือนลูกระเบิดที่ใกล้จะระเบิด เลือดทั่วร่างคล้ายจะปะทุออกไปตามความโกรธในสมอง
“พวกเจ้า…พวกเจ้า…!” มันนึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าบนโลกจะยังมีคนที่สามหาวแบบนี้อยู่อีก
สวบ!
อยู่ๆ หอกยาวสีเงินเล่มหนึ่งก็พุ่งตรงออกมาจากบนทางเชื่อม แล้วแทงเข้าไปในท้ายทอยของอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรอย่างแม่นยำ ก่อนจะเจาะทะลุทรวงอกและตอกมันไว้กับพื้น บนด้ามหอกยาวสลักคำว่าทำลายเอาไว้ด้วย
โฮก!
ในที่สุดอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เงยหน้าส่งเสียงร้องคำราม
“ตาย! พวกเจ้าตายให้หมดซะ!” มันขู่คำรามอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่ร่างกายจะระเบิดกลายเป็นจุดแสงสีทองนับไม่ถ้วนอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ หลังจากมันหายตัวไป เปลวไฟสีทองในทางเชื่อมก็ดับลงโดยสิ้นเชิง
มู่ชิงกับหนานซู่ซูต่างก็ขมวดคิ้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น เด็กน้อยนั่นเล่า” มู่ชิงถามเสียงขรึม ผู้เข้มแข้งระดับชูศัสตราไม่มีทางตายง่ายขนาดนี้
“ไม่แน่ใจ…ประโยคสุดท้ายที่มันพูดหมายถึงอะไร” หนานซู่ซูรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย
‘อารามกำจัดเสร็จสิ้น ปลดการเฝ้าระวัง’ เสียงอัตโนมัติของอารามดังมาอีกครั้ง
“หรือว่าจะหนีไปได้” หนานซู่ซูเอ่ยอย่างสงสัย
ตึกๆ!
ทันใดนั้นหัวใจเขาก็เต้นอย่างแรง ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น มู่ชิงที่อยู่ด้านข้างก็ผุดสีหน้างงงันและกุมหน้าอกเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น!”
ทั้งสองรีบกระจายจิตผ่านใต้ดินและยื่นขยายไปยังนอกอารามอย่างรวดเร็ว
พริบตาที่เห็นภาพด้านนอกชัดเจน สีหน้าของทั้งสองก็ซีดขาวในบัดดล…
…
หอฟ้าเมฆา
พวกเซียนถาอวี่ลุกขึ้นยืนอย่างไม่รู้ตัวขณะมองดูเปลวเพลิงสีเทาที่แท่นพันคันฉ่องแสดงให้เห็น
“ไม่ใช่แล้ว เมื่อครู่ลู่เซิ่งนั่นหยุดอยู่ตรงมุมอับ พอออกมาก็กลายเป็นสภาพนี้…หัวอินทรีแปดข้าง ร่างสิงโต…นี่เป็นภาพลักษณ์อะไรกัน” ถึงแม้ถาอวี่จะต่อสู้กับผู้เข้มแข็งนอกเขตแดนอยู่ที่ชายแดนมาโดยตลอด แต่เผ่าพันธุ์น่ากลัวซึ่งเป็นการดำรงอยู่ที่เหมือนเทพนิยายอย่างอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรนี้ ต่อให้เป็นทั่วทั้งสำนักนทีคราม ก็มีคนที่รู้จักไม่มากนัก
ยิ่งอย่าว่าแต่สมาชิกระดับกลางธรรมดาๆ อย่างนาง
“ถึงขนาดหลอมละลายผนังกับพื้นของอารามได้ เปลวไฟนี้แข็งแกร่งมาก…” บุรุษที่อยู่ด้านข้างชมเชย
ในแท่นพันคันฉ่อง ณ เวลานี้ สัตว์ประหลาดสีทองตัวนั้นถูกอาจารย์อาสองคนจัดการลงอย่างง่ายดาย คนทั้งสามในห้องควบคุมหลักจึงค่อยโล่งใจเล็กน้อย
“ตายไปแบบนี้ ต่อให้มีปัญหาก็คงไม่ร้ายแรงอะไรมาก” ถาอวี่หัวเราะ “เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกอาจารย์อาได้สมบัตินั้นหรือไม่”
“จิตวิญญาณยังอยู่ก็พอแล้ว” ศิษย์น้องที่อยู่ด้านข้างยิ้มแย้ม
“พูดถูกแล้ว…” ถาอวี่ยิ้มตาม
ตึกๆ
อยู่ๆ ความหวาดกลัวอันรุนแรงก็ทำให้นางต้อมยกมือกุมอก
“เกิดอะไรขึ้น?!”
ถาอวี่งุนงงเล็กน้อย ก่อนจะมองเห็นว่าสองคนที่อยู่รอบๆ ต่างก็กุมอกเหมือนกับนาง
“รีบดูท้องฟ้าเร็ว!” สีหน้าของศิษย์น้องหัวล้านพลันกลายเป็นหวั่นสะพรึงถึงขีดสุด
ถาอวี่กับบุรุษรีบมองกล้องสังเกตการณ์กลางท้องฟ้าที่อยู่บนแท่นพันคันฉ่อง
ตึกๆ! เกิดเสียงหัวใจดังขึ้นอีกรอบ
ม่านตาของทั้งสองหดตัวในทันใด
…
จวงจิ้วเดินไปยังอารามทีละก้าวๆ ด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น
สำหรับเขา การมาเอาสมบัติในสถานที่เล็กๆ นี้เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเท่านั้น
‘ขอข้ามอบบทเรียนให้เจ้าสักบทเถอะ มารสวรรค์น้อยผู้ไร้เดียงสา…’ เขาสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของเส้นทางการทดสอบแล้ว จึงปรับทิศทางเล็กน้อยและเร่งความเร็วเดินไปยังทิศทางนั้น
ฟู่
ดาบมารลงอักขระอันประณีตที่เหมือนกับไม้บรรทัดสีม่วงรวมตัวและขยายยาวออกมาจากในมือเขา
โฮก!
อยู่ๆ เสียงคำรามอันดุร้ายก็สั่นสะเทือนมาจากอากาศ
จวงจิ้วผุดสีหน้างุนงง รู้สึกว่ากลิ่นอายของเสียงนี้ไม่คุ้นอยู่บ้าง
เขาพลันเงยหน้าขึ้น
ไม่ทราบว่าร่องแยกสีทองสายหนึ่งค่อยๆ ปรากฏออกมาเมื่อใด
ฟ้าว…
พายุทรายพัดขึ้น ท้องฟ้าค่อยๆ มืดสลัวลง
“นี่คือ…?!” จวงจิ้วผุดสีหน้างงงวย
แสงสีทองพลันสว่างจ้า
ตูม!
แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งลงมา กลายเป็นเปลวไฟบิดเบี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนที่เผาไหม้อากาศได้ในพริบตา พร้อมกับปกคลุมอาณาเขตหลายล้านลี้รอบๆ
มิติทั้งหมดรอบๆ ถูกสั่นสะเทือนจนแหลกสลายกลายเป็นร่องแยกมิติที่สับสน
ไฟสีทองกลบกลืนทุกสิ่งในชั่วอึดใจเหมือนกับมหาสมุทร
สิ่งที่จวงจิ้วเห็นเป็นครั้งสุดท้ายก็คือ มีร่องแยกสีทองสายหนึ่งเปิดขึ้นอย่างฉับพลัน อุ้งมือยักษ์สองข้างอันน่ากลัวที่เหมือนบดบังฟ้าปกคลุมดวงตะวันได้จับขอบร่องแยกไว้พร้อมกับฉีกมันให้กว้างขึ้นกว่าเดิม จากนั้นศีรษะอินทรีขนาดมหึมาขนาดปกคลุมท้องฟ้าทั้งผืนก็มุดออกมา
“จงเซ่นสรวงให้แก่ภาพเสมือนของข้าเถอะ!” ดวงตาของอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรมีเปลวเพลิงสีทองแห่งโทสะกะพริบอยู่ มันอ้าปาก ไฟสีทองก้อนใหญ่รวมตัวและหมุนวนอยู่ในด้านในปากอย่างบ้าคลั่ง
“อสูรอินทรีราชสีห์…แปดเศียร!” เขาจดจำสัตว์ยักษ์น่ากลัวที่เคยทำลายเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตมานับไม่ถ้วนชนิดนี้ได้ในทันที
เขาพลันเข้าใจว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้จบสิ้นแล้ว
……………………………………….