ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 610 เผาไหม้ (2)
บทที่ 610 เผาไหม้ (2)
พวกกระต่ายเทาที่ได้รับการชะระล้างเริ่มกันกระจายตัวเพื่อยึดครองดินแดนอย่างรวดเร็ว
ฝูงสัตว์ตัวเล็กธรรมดานำกลุ่มฝูงสัตว์ใหญ่เคลื่อนทัพเข้าไป ใครกินหญ้าผู้นั้นรอด ใครกินเนื้อจับมาหาหัวหน้าให้หมด
มิอาจไม่บอกว่าผลลัพธ์การเพิ่มเลือดลมของด้ายกระตุ้นวิญญาณน่าหวั่นสะพรึงถึงขีดสุด กระต่ายเหล่านี้ได้ไปถึงขีดจำกัดที่ยีนของพวกมันจะไปถึงได้แล้ว การพัฒนาต่อจากนี้ตัดสินจากคุณสมบัติร่างกายก่อนกำเนิด ต่อให้เป็นลู่เซิ่งก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
นอกจากจะผสมด้ายกระตุ้นวิญญาณเข้าไปในตัวบริวารแล้ว ลู่เซิ่งยังได้มอบวิชารุมโจมตีส่วนหนึ่งให้แก่พวกมันด้วย
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ลู่เซิ่งมอบหญ้าปลุกใจที่ตนผสมออกมาได้โดยบังเอิญให้แก่พวกกระต่ายในกลุ่มพิทักษ์กฎ
พวกมันเกิดการหลั่งฮอร์โมนเพิ่มขึ้นหลังจากกินเข้าไป แรง ความเร็ว และพลังระเบิดต่างก็เพิ่มขึ้นจนเหนือกว่าก่อนหน้านี้สี่เท่ากว่าๆ
ตอนแรกพวกมันถูกด้ายกระตุ้นวิญญาณดันจนเหมือนกับลูกบอล พอมีหญ้าปลุกใจนี้เพิ่มมาอีก พวกกระต่ายเทาก็เริ่มบุกตะลุยไปรอบๆ พร้อมกับตาสีแดงก่ำ เพื่อช่วยลู่เซิ่งบรรลุแผนการขยายลัทธิ
ตัวลู่เซิ่งวันๆ กินๆ นอนๆ จนร่างกายใหญ่ขึ้นทุกที แต่เป็นเพราะยังมีกลุ่มพิทักษ์กฎแห่งลัทธิที่ได้รับการชำระล้าง การกวาดล้างป่าจึงยังคงดำเนินต่อไปได้โดยที่เขาไม่ต้องดูแล
หลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว อาณาเขตทั้งหมดในรัศมีหลายร้อยลี้รอบๆ ถูกขุมกำลังของลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์ยึดครองอย่างหยาบๆ
กระต่ายและสิ่งมีชีวิตกินหญ้าชนิดอื่นๆ ที่ได้รับการปรับปรุงจนกลายพันธุ์จากลู่เซิ่งต่างก็ตัวใหญ่ขึ้นหลายเท่า
กระต่ายเทาถูกกดดันมานาน ตอนนี้พอได้รับพลังมา ย่อมไม่ปล่อยคู่แค้นเก่าไว้ กอปรกับมีการสนับสนุนจากเผ่ากวางที่ซื่อสัตย์ที่สุด
สัตว์ที่ได้รับการชำระล้างเหล่านี้มีพลังเหี้ยมหาญจนน่ากลัว หลังจากกวาดล้างป่ารอบๆ เสร็จ ลู่เซิ่งก็ได้สั่งให้บริวารขับไล่สัตว์กินเนื้อทั้งหมดมาไว้ด้วยกัน
หลังจากบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย ในที่สุดราชาหมีดำกับราชาเสือที่สู้หลังชนฝาก็ล้มลงในหุบเขาแห่งหนึ่งเพราะการกลุ้มรุมอย่างหนักหน่วง ก่อนจะถูกเหล่ากระต่ายเทาลากไปบวงสรวงให้แก่ลู่เซิ่ง
ลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ได้ย้ายไปอยู่ที่โถงศิลาขรุขระที่เหมือนกับโบราณสถานอันงดงามของพวกมนุษย์แล้ว
…
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสองเดือน…
ราชาเสือกับราชาหมีดำมีแต่บาดแผลทั่วร่าง ถูกกระต่ายเทาสี่ตัวลากเข้ามาในโถงศิลา
พวกมันถูกจองจำมานาน ในที่สุดก็ถึงเวลาไต่สวนสักที
กระต่ายเทาสองตัว ตัวหนึ่งไว้ขนสั้น หน้าตาเย็นชา อีกตัวหนึ่งยิ้มอย่างเย็นเยียบ บนหูมีรอยแผลเป็นขนาดยาว
กระต่ายสองตัวนี้เป็นกระต่ายเทาที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากหัวหน้าเผ่า
พวกมันรับหน้าที่เป็นองครักษ์ข้างกายลู่เซิ่ง
“เรียนท่านปราชญ์ สองตัวนี้ก็คือราชาหมีดำและราชาเสือขอรับ”
ในแสงสว่างอันมืดสลัว ราชาหมีดำยังมองไม่เห็นชัดว่าเป็นใคร ก็ได้ยินเสียงราบเรียบและทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังในโถงศิลาช้าๆ ว่า
“อ้อ พาพวกมันเข้ามาใกล้หน่อย”
เสียงของลู่เซิ่งค่อยๆ ดังมา สะท้อนในโถงศิลาอย่างต่อเนื่อง
“ขอรับ” กระต่ายเทาสองตัวลากราชาหมีดำกับราชาเสือไปด้านหน้า
ผัวะ!
“คุกเข่า!” กระต่ายเทาตัวหนึ่งถีบใส่ข้อพับของราชาหมีดำอย่างแรงจนอีกฝ่ายตัวสั่น เกือบจะคุกเข่าลงจริงๆ
“พบปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของพวกข้าแล้ว ยังกล้าเงยหน้าอีก!? ข้าจะถลกหนังเจ้า!” กระตายเทาที่อยู่อีกด้านฟาดหัวราชาเสือ พละกำลังอันมหาศาลทำให้ราชาเสือตัวสั่น แต่ศักดิ์ศรีของราชาแห่งสรรพสัตว์ทำให้มันกัดฟันไม่ยอมคุกเข่าลง
“ไอ้พวกขยะ! มีปัญญาก็มาสู้กับข้าตัวต่อตัวสิ!” ราชาหมีดำแผดเสียงและดิ้นหลุดจากกระต่ายเทา
แม้กระต่ายเทาจะดูดซับด้ายกระตุ้นวิญญาณไปแล้ว แต่อย่างไรก็มีข้อจำกัดก่อนกำเนิด ทำให้พละกำลังด้อยกว่าราชาหมี เป็นเหตุให้ต้องถอยหลังไปหลายก้าวหลังถูกดิ้นหลุด
“หาที่ตายเหรอ!?” กระต่ายเทาตัวนี้พลันโมโห ม้วนขนบนมือเตรียมจะเข้าไปจัดการ
“พอแล้ว…” เสียงอ่อนโยนทุ้มต่ำดังขึ้นในโถงศิลาอย่างพอเหมาะพอเจาะ
เสียงของลู่เซิ่งดังมาจากในความมืด
กระต่ายสีเทาสองตัวไม่ยอม พวกมันที่กินหญ้าปลุกใจมาโดยตลอดมีนิสัยดุร้ายขึ้น พอถูกกระตุ้นเข้าหน่อยก็ต้องการเสี่ยงชีวิตทันที กอปรกับเลือดลมที่ด้ายกระตุ้นวิญญาณเสริมความแข็งแกร่งให้จนถึงขีดจำกัดร่างกาย
พอคลั่งขึ้นมา กระต่ายเทาตัวหนึ่งก็ไม่ต่างจากเสือดาวสักเท่าไหร่
ราชาหมีดำมีบาดแผลตามตัวเต็มไปหมดหลังถูกกระต่ายเทาสิบกว่าตัวรุมขย้ำ การที่ทนมาถึงที่นี่และยังขู่คำรามได้ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
“คอยดูให้ดีเถอะ! กล้าหยามท่านปราชญ์ หลังออกมาข้าจะฆ่าเจ้า!” กระต่ายเทาตัวนี้ชี้ราชาเสือและกล่าวอย่างมุ่งร้าย
“มาเลยๆ! มาฆ่าข้าสิ! ฮ่าๆๆๆ!” ราชาเสือใกล้เป็นบ้าเต็มที ถ้าหากก่อนหน้านี้มีใครบอกมันว่า มันจะถูกกระต่ายฝูงหนึ่งย่ำยี มันจะต้องนึกว่าอีกฝ่ายบ้าไปแล้วแน่ๆ
ทว่าตอนนี้…
มันรู้สึกว่าตนต่างหากที่บ้า!
“พอแล้ว…ไปซะ…ที่นี่ข้าคนเดียวก็พอ…” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างอ่อนโยน
สัตว์ที่ยังคงกินเนื้ออยู่ในป่าเหลือแค่เผ่าเสือกับเผ่าหมีแล้ว
ดังนั้นการที่เขาจับเจ้าสองตัวนี้มาได้ ถือเป็นการสะสางผลกรรมสุดท้ายแล้ว
“ฮ่าๆๆ! หนึ่งต่อหนึ่ง พวกเจ้าตัวไหนจะเอาชนะข้าได้! เป็นแค่สวะไร้ยางอายแท้ๆ!” ราชาหมีดำหัวเราะลั่น
ราชาเสือเข้าไปใช้สันหลังยันร่างที่โงนเงนของราชาหมีดำไว้ มันได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป ตอนนี้ยังใช้แรงอีก ทำให้แม้แต่จะยืนก็ยืนไม่อยู่
“พวกเจ้า…ไม่ต้องใจร้อน ที่ข้าเชิญพวกเจ้ามา ก็เพราะอยากจะคุยกับพวกเจ้าเท่านั้น” เสียงสงบของลู่เซิ่งดังมาจากในความมืดด้านหน้า
“คุยหรือ เจ้าก็คือลู่เซิ่งปราชญ์แห่งกระต่ายสินะ?!” ราชาเสือแค่นเสียง ดวงตาจับจ้องเงามืดตรงหน้าเขม็ง
“หือ…ปราชญ์งั้นหรือ ก็ถือว่าใช่อยู่…” ลู่เซิ่งตอบรับ “ดูเหมือนพวกเจ้าจะได้รับบาดเจ็บไม่เบานี่…มา…มานี่สิ ข้าจะมอบยารักษาให้พวกเจ้า”
ราชาหมีดำแค่นเสียง ส่วนราชาเสือมองอย่างเย็นชา เมินลู่เซิ่งโดยสิ้นเชิง
“มาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจไป นี่เป็นยารักษาที่ข้าขอมอบให้กับพวกเจ้า สามารถคงอาการบาดเจ็บของพวกเจ้าได้”
ขากระต่ายสีเทาข้างหนึ่งยื่นออกมาจากในความมืดมิด แล้ววางถั่วสีดำขนาดเท่ากำปั้นสองก้อนลงตรงหน้าราชาเสือและราชาหมีดำ
ราชาเสือยืดตัวขึ้น เตรียมจะพุ่งเข้าไปลอบโจมตี ถ้าหากจับนักปราชญ์แห่งกระต่ายไว้ได้ บางทีสถานการณ์เลวร้ายในตอนนี้อาจมีโอกาสพลิกกลับก็ได้
ทว่าพริบตาที่ขากระต่ายยื่นออกมาจากในความมืด มันก็ลืมตาโต จุกในลำคอ กล้ามเนื้อที่ตึงเขม็งมาโดยตลอดคลายตัวลงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ได้แต่มองขากระต่ายที่ยื่นออกมาข้างนั้นอย่างมึนงงอยู่เฉยๆ
ขากระต่ายมหึมาที่ใหญ่กว่ามันและราชาหมีดำหลายเท่าข้างนั้น
เอื๊อก…
ราชาหมีดำที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงกลืนน้ำลายจากลำคอ เขามองดูขากระต่ายตรงหน้าที่ค่อยๆ ชักกลับไปในความมืดอย่างตกตะลึง
“อือ…ลืมจุดไฟไป…เสียมารยาทจริงๆ” เสียงของลู่เซิ่งดังมาอีกรอบ
พรึ่บๆ…พรึ่บ
คบเพลิงมากมายถูกจุดให้สว่างจากบนผนังรอบๆ
แสงไฟส่องสว่างทุกสิ่งด้านในโถงศิลามหึมาอย่างชัดเจน
กระต่ายยักษ์สีเทาที่สูงแปดสิบกว่าเมตรตัวหนึ่งนั่งอย่างสงบอยู่กลางโถงศิลาเหมือนกับพระพุทธรูปยักษ์
มือซ้ายที่ห้อยต่ำของของเขาก็คือมือข้างที่ส่งยาลูกกลอนให้แก่ราชาเสือและราชาหมีดำเมื่อครู่นี้
“พระ…พระเจ้าช่วย…!” ราชาเสือสูดหายใจเย็นเยียบ ตกใจจนก้าวถอยหลังไปสิบกว่าก้าว ก่อนจะล้มก้นจ้ำเบ้า ขนทั่วร่างแทบทุกเส้นลุกชูชันขึ้นมา
ราชาหมีดำกลับยังยืนนิ่งอยู่กับที่ สองขาชักกระตุก อยากถอยแต่ถอยไม่ได้ เหงื่อและน้ำมูกไหลลงมาตามใบหน้า
“ราชาหมีดำกับราชาเสือ ไม่ต้องกลัว…ข้าไม่ทำร้ายพวกเจ้าหรอก” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างเป็นมิตร
จากนั้นก็ยื่นฝ่ามือซ้ายออกมาแบบนพื้น
“มา มาตรงนี้ พวกเรามาคุยกัน”
พื้นที่ความกว้างในการแบมือของเขาทำให้ราชาเสือกับราชาหมีดำนอนกลิ้งได้อย่างเหลือเฟือ ยิ่งอย่าว่าแต่เดินขึ้นไป
“เจ้า…เจ้าอยากคุยงั้นหรือ?!” ราชาเสือได้สติกลับมาเป็นตัวแรก แต่พอเห็นขากระต่ายยักษ์บนพื้นที่มีขนาดใหญ่กว่ามันไม่น้อยข้างนั้น หัวใจก็เต้นระรัวอย่างมิอาจควบคุม ถึงขั้นที่ยังถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่รู้ตัวด้วย
“ข้าได้ยินมาว่า ตอนแรกสุดเจ้ากับราชาหมีดำมาจากด้านนอกใช่หรือไม่ พวกเจ้าตัดทะลุทุ่งราบเมฆหมอกด้านนอกเข้ามาหรือ” ลู่เซิ่งเห็นดังนั้นก็ไม่บังคับ หากถามตรงๆ
“เจ้า…ท่านอยากจะรู้อะไร ใช่ ข้าตัดทะลุทุ่งราบเมฆหมอกมาที่นี่จริงๆ” ราชาเสือข่มความหวาดกลัวในใจพร้อมกับตอบเสียงดัง
“ใช่…! ข้าก็เหมือนกัน!” ตอนนี้ในที่สุดราชาหมีดำก็ขยับตัวได้แล้ว ก้าวถอยหลังอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็มาอยู่ตำแหน่งเดียวกับราชาเสือ
แต่ว่าขนทั่วร่างมันกลับเปียกโชกเหมือนเพิ่งขึ้นจากน้ำ
“อ้อ…ข้าอยากจะรู้ว่ามนุษย์ของที่นี่เป็นอย่างไร” ลู่เซิ่งถามคำถามที่กวนใจตัวเองตรงๆ
“มนุษย์เหรอ” ราชาเสืองุนงง “มนุษย์ที่อยู่ใกล้ๆ ป่ามีหลายหมู่บ้าน แต่ว่าไม่มีคนร้ายกาจคุ้มครอง กลับเป็นเมืองประกายจรัสที่อยู่ไกลออกไปหน่อยมียอดฝีมือระดับทรลักษณ์อยู่หลายคน”
“ทรลักษณ์หรือ”
“ใช่…นี่เป็นวิธีการเพิ่มพลังชนิดหนึ่งที่พวกมนุษย์ใช้กันมากที่สุด ข้าเองก็ไม่ได้รู้เรื่องมากนัก เพียงแค่ได้ยินมาว่า พวกเขากับราชาจระเข้ในบึงเงามารที่อยู่ไกลออกไปมีความเกี่ยวข้องกัน ราชาจระเข้มีชีวิตมาหลายร้อยปีแล้ว มันกับมนุษย์เหล่านี้มีการแลกเปลี่ยนและมีความเกี่ยวข้องกันในระดับหนึ่ง จึงน่าจะรู้ว่าทรลักษณ์คือสิ่งใด” ราชาเสือคิดนิดนึง สุดท้ายก็ให้ความร่วมมือโดยการบอกเนื้อหาที่ตนรู้ออกมาทั้งหมด
ตอนแรกหลังมันถูกจับ ยังทระนงตนว่าเป็นเพราะตนเองถูกรุม คิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะตนมีขุมกำลังน้อย หากสู้หนึ่งต่อหนึ่งจะต้องไม่ถูกฝูงกระต่ายจับได้แน่
ทว่าตอนนี้มันค่อยเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
ลู่เซิ่งปราชญ์แห่งกระต่าย พลังของเขาสามารถปกครองป่าแห่งเขาบูรพาได้ทั้งหมด อย่างอื่นไม่พูดถึง แค่ดูขนาดร่างกายของเขาก็รู้แล้วว่า ต่อให้ยื่นนิ้วออกมาสักนิ้ว ก็บี้ราชาเสือจนตายได้สบายๆ แล้ว
“มนุษย์…” ลู่เซิ่งใคร่ครวญ
เขาได้เรียนรู้เคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจถึงระดับที่แปดเก้าร้อยแล้ว แต่เนื่องจากวิชานี้มีการสกัดและการควบคุมต่อเลือดลมหยาบกระด้างที่สุด ทำให้เขาได้แต่ขยายร่างกายเพื่อรองรับเลือดเนื้ออย่างไร้ขีดจำกัดเท่านั้น ไม่อาจหดกายเนื้อเหมือนตอนฝึกฝนแปดวิถีมารสูงสุดได้
ดังนั้นในเวลาสองเดือนที่ผ่านมา เขาจึงค่อยๆ กลายเป็นสภาพแบบนี้
ยังดีที่ซากโบราณสถานในป่าสูงใหญ่มากพอ และดีที่เขาได้ปลูกหญ้าคุณภาพดีสองชนิดไว้ก่อน ซึ่งชนิดหนึ่งเอาไว้ให้สัตว์กินหญ้ากิน อีกชนิดหนึ่งเอาไว้ให้สัตว์กินเนื้อกิน
ปัจจุบันป่าถูกรวมเป็นหนึ่งแล้ว นอกจากราชาเสือกับราชาหมีดำตรงหน้า สัตว์ชนิดที่เหลือล้วนถูกกดดันให้เข้าร่วมกลุ่มกินหญ้าหมดแล้ว
ไม่มีการล่า ไม่มีการแย่งชิง ตอนแรกยังมีเพลิงโทสะกับการกระทบกระทั่งกันอยู่บ้าง แต่ต่อมา เหล่าสัตว์ก็ค้นพบจริงๆ ว่า พวกมันสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินหญ้า แถมยังมีชีวิตที่ดีอีกต่างหาก
ทุกสิ่งมั่นคงแล้ว
ความจริงราชาหมีดำกับราชาเสือเป็นผู้ต่อต้านตัวสุดท้าย
พวกมันถูกลัทธิหญ้าศักดิ์สิทธิ์ที่มีขุมกำลังยิ่งใหญ่ออกล่าไปทั่ว สุดท้ายเมื่อไร้หนทาง ก็ถูกรุมโจมตีอย่างสาหัส พอสู้ไม่ได้ ค่อยถูกจับมายังโถงศิลาในซากโบราณสถาน
……………………………………….
———————————