ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 616 จากไป (2)
บทที่ 616 จากไป (2)
หลังจากจัดการปัญหาทุกอย่างเสร็จ ลู่เซิ่งก็ห่อหุ้มตัวถูจินกับเต๋ออวิ๋นบินไปยังสุดขอบฟ้า ระหว่างทางไม่มีการอำพรางใดๆ ทั้งสิ้น เจอใครก็ฆ่าทิ้ง เจอบ้านเรือนหลังใดก็ทำลาย
ฉวยจังหวะที่กลุ่มองครักษ์ประจำเมืองยังไม่รู้ตัวและค่ายกลคุ้มครองเมืองยังไม่ถูกเปิด ลู่เซิ่งตีฝ่าออกไป ก่อนจะหนีไปยังที่ไกล
ตระกูลหลิงบาดเจ็บล้มตายสาหัส ผู้อาวุโสใหญ่ที่เป็นผู้เข้มแข็งอันดับแรกประจำตระกูลได้รับบาดเจ็บหนักเพราะท่าไม้ตายและของวิเศษคู่ชีวิตถูกทำลาย ทางสายของหลิงซือเฉิงซึ่งเป็นขุมกำลังอันดับสองได้รับความเสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เช่นกัน
ดีที่วันต่อมาผู้อาวุโสสองหลิงเฉิงเซ่อฟื้นคืนมาควบคุมสถานการณ์ใหญ่ จึงพอประคับประคองไว้ได้
กระนั้นไม่ว่าหลิงเฉิงเซ่อจะพยายามอย่างไร สถานการณ์ใหญ่ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ตระกูลยิ่งใหญ่ที่มีสุดยอดอริยะเจ้าคุ้มครองตระกูลนี้เริ่มตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว
คดีครั้งนี้เลวร้ายถึงขีดสุด ขณะที่ลู่เซิ่งทำลายเมืองล้อมขุนเขา มีคนบาดเจ็บล้มตายหกพันกว่าคน แถมองครักษ์หลักของตระกูลหลิงก็ล้วนตายจนหมดสิ้น
กลุ่มลาดตระเวนซึ่งเป็นทัพรักษาเมืองมีมากกว่าร้อยคนถูกฆ่าในการขัดขวาง ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์โดนลูกหลงจนบาดเจ็บล้มตายหลายร้อยคน
เกิดผลกระทบที่เลวร้ายถึงขีดสุด
ซุนเหอเจ้าเมืองล้อมขุนเขาประกาศเรียกระดมทัพหิมะอย่างเป็นการเร่งด่วน และสั่งให้ไล่ล่าตัวหมอลู่เยวี่ยทันที
เขตที่สามสั่นสะเทือน รีบส่งข่าวถึงเขตที่สี่และเขตที่สองเพื่อร่วมมือกันในการสั่งล่าตัวลู่เซิ่งทันที
…
เขตที่สี่ ข่ายภูเขามังกร
ระหว่างทะเลป่าที่หนาแน่น เส้นทางเดินรถสีเขาวอมเทาที่คดเคี้ยวเหมือนกับผืนผ้าอ่อนนุ่มทอดตัวอยู่ในป่าเขาที่สูงต่ำเป็นลูกคลื่น
บนเส้นทางเดินรถ รถม้าประหลาดสีดำสนิทที่เป็นทรงรีคันหนึ่งกำลังแล่นไปตามมุมหนึ่งของเขามังกรด้วยความเร็วปานกลางอย่างมั่นคง
ในตัวรถ
ลู่เซิ่งสวมเสื้อคลุมสีดำผืนหนา ปกคลุมร่างกายทั้งหมดยกเว้นดวงตาเอาไว้ เขานั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะไม้ กำลังจิบชาร้อนเบาๆ
ถูจินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนเต๋ออวิ๋นนั่งอยู่ด้านข้าง ทั้งสามคนไม่พูดอะไรกันอยู่ชั่วขณะ
“เจ้า…ตัดสินใจจะไปจริงๆ หรือ” ผ่านไปพักใหญ่ๆ ถูจินจึงค่อยเอ่ยถาม
เต๋ออวิ๋นได้ยินดังนั้นก็มองลู่เซิ่งอย่างกระวนกระวาย พร้อมรอคอยคำตอบของเขา
ลู่เซิ่งเงียบงันครู่หนึ่ง
“ลู่เยวี่ยไม่มีทางลืมการดูแลของอาจารย์ในช่วงเวลานี้ ข้าในตอนนี้มีแต่จะนำปัญหามาให้ตระกูลถู ดังนั้นการจากไปจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
ถูจินอ้าปาก แต่กลับไม่ทราบว่าควรพูดอะไรดี ครู่ต่อมา เขาจึงได้แต่เงียบงัน
“แต่เจ้าลืมเซินเซินได้หรือ!?” เต๋ออวิ๋นอดเอ่ยปากขึ้นด้านข้างไม่ได้ “พวกเจ้าอยู่ด้วยกันทุกคืน! นอกจากเจ้าแล้ว เซินเซินคงจะหาคนที่เหมาะสมกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!”
ลู่เซิ่งเกือบสำลักน้ำชา
เขาแค่ลดไขมันให้เซินเซินเฉยๆ ระหว่างพวกเขาบริสุทธิ์จนไม่รู้จะบริสุทธิ์อย่างไรแล้วเข้าใจไหม!?
“ท่านกลับไปถามเซินเซินเองเถอะ ข้ากับนางไม่มีอะไรกันจริงๆ” ลู่เซิ่งอธิบายอย่างเอือมๆ
“ที่สะโพกซ้ายของนางมีไฝกี่เม็ด”
“หนึ่งเม็ด”
ลู่เซิ่งตอบจบก็สะดุ้งทันที ไม่ใช่เพราะเต๋ออวิ๋นหลอกถามเขา หากเพราะคิดไม่ออกว่าเต๋ออวิ๋นทราบเรื่องส่วนตัวนี้ได้อย่างไร…
“เจ้ายังมาบอกอีกหรือว่าไม่ชอบนาง!?” เต๋ออวิ๋นไม่รู้ตัวว่าตนเองพูดเรื่องราวที่น่าตกตะลึงขนาดไหน แถมยังถลึงตาและตะโกนใส่ลู่เซิ่งอย่างโมโห โดยไม่ได้สนใจถูจินที่แววตาประหลาดพิกลขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่น้อย
“ข้าก็แค่ลดไขมันให้นางเฉยๆ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่เห็นจุดสำคัญเลยสักจุดเดียว” ลู่เซิ่งปลอบอย่างอ่อนโยน
“เชื่อก็บ้าแล้ว!” เต๋ออวิ๋นหน้าแดงก่ำ คิดจะชกต่อยกับลู่เซิ่งสักยก แต่กลัวถูกฆ่าในเสี้ยววินาที จึงได้แต่นั่งหอบหายใจอยู่ที่เดิม
“ท่านชอบนางกระมัง” ลู่เซิ่งโพล่งถาม
เต๋ออวิ๋นตัวแข็งทื่อ พูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ
จะว่าไป เซินเซินในตอนนี้ได้ผลัดเส้นเอ็นเปลี่ยนกระดูก หลังจากการผ่าตัดลดไขมันหลายครั้งของลู่เซิ่งก็กลายเป็นสาวงามเจ้าเนื้อตามมาตรฐานแล้ว
โดยเฉพาะหลังจากลู่เซิ่งช่วยนางขจัดรอยเหี่ยวย่นที่เหลืออยู่ ผิวของนางก็เต่งตึงเรียบเนียนเป็นพิเศษ ไม่มีใครมองออกว่าก่อนหน้านี้นางเป็นหญิงสุดขี้เหร่ที่มีน้ำหนักน่าสะพรึงกลัวอีกแล้ว
“ข้าเข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า แล้วมองไปยังอาจารย์ถูจิน
“อาจารย์ ถ้าให้เต๋ออวิ๋นคบหากับเซินเซิน ข้าจะวางใจมาก”
ถูจินพยักหน้าอย่างจริงจัง ความจริงเขาก็คิดแบบนี้ไว้แต่แรกแล้วเช่นกัน ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้คิดไปเอง
“เสี่ยวเยวี่ย ความจริง ข้าอยากถามคำถามหนึ่งมาโดยตลอด” ถูจินอ้ำๆ อึ้งๆ เล็กน้อย เหมือนไม่ทราบว่าควรจะเรียงประโยคอย่างไร
ลู่เซิ่งรู้ว่าเขาจะถามอะไร จึงยิ้มและเอ่ยก่อนว่า
“สิ่งที่ข้าใช้ที่ตระกูลหลิงเมื่อก่อนหน้านี้เป็นด้ายกระตุ้นวิญญาณของวิชารักษาที่มีแบบแผนจริงๆ” ลู่เซิ่งทำท่านึกย้อนถึงความหลัง
“ความจริง สาเหตุที่ข้าไม่เลือกเส้นทางอื่น หากเรียนรู้วิชารักษาที่มีแบบแผนจนถึงที่สุด เป็นเพราะตอนนั้นข้าพบว่า พรสวรรค์ในด้านวิชารักษาของข้าน่าตกตะลึงพึงเพริดจริงๆ”
เขาส่ายหน้าเล็กน้อย เหมือนกับค่อนข้างสะท้อนใจ
ถูจินกับเต๋ออวิ๋นพยักหน้าเบาๆ สามารถผลักดันวิชารักษาที่มีแบบผันไปถึงระดับที่แม้แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจในเวลาที่สั้นขนาดนี้ได้ พรสวรรค์นี้น่าตกตะลึงพึงเพริดจริงๆ
ลู่เซิ่งเอ่ยต่อ “ข้าก็เลยเลือกเส้นทางรักษาตั้งแต่เริ่ม ต่อมาข้าค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจว่าความก้าวหน้าในด้านพลังฝึกปรือของข้าเหนือกว่าเต๋ออวิ๋นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นเพราะว่ายกระดับเร็วเกินไป ข้าจึงนึกกลัวอยู่บ้าง เลยแอบสังเกตอาจารย์ดู ทว่าสิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ข้าพบว่าแม้แต่อาจารย์ก็ถูกข้าก้าวข้ามไปแล้ว ตอนนี้ข้าจึงกลัวยิ่งกว่าเดิม ปรับตัวอยู่นาน ถึงค่อยๆ เคยชินกับสภาพแบบนี้”
“ข้าอยากรู้ว่า หากศึกษาวิชารักษาที่มีแบบแผนไปตลอด จะไปถึงขอบเขตสูงสุดอย่างแปลงวิญญาณลวงได้จริงๆ หรือ” ถูจินอดถามไม่ได้
“ทำได้” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง “ขอแค่ท่านพยายามมากพอ”
ถูจินมองลู่เซิ่งอย่างงุนงงเล็กน้อย จากนั้นก็เหมือนเข้าใจสิ่งใด จึงยิ้มอย่างกระจ่างแจ้งและปลาบปลื้ม
เขาพยายามมาค่อนชีวิตแล้ว เหตุใดจึงฟังความนัยในประโยคนี้ของลู่เซิ่งไม่ออก
คำพูดที่เรียบง่ายนี้ ความจริงแปลได้ว่า ขอแค่มีพรสวรรค์มากพอ แปลงวิญญาณลวงอะไร ล้วนไม่ใช่ความฝัน!
แต่ว่ามีแต่ลู่เซิ่งซึ่งมีพรสวรรค์น่ากลัวเท่านั้นจึงมีสิทธิ์พูดว่า ‘ขอแค่พยายาม’ อันแสนเลื่อนลอย
แม้จะท้อ ทว่าอย่างน้อยถูจินก็รู้แล้วว่าวิชารักษาที่มีแบบแผนของตัวเองยังอยู่ในทางหลักหรือมหามรรคาซึ่งสามารถไปถึงจุดสูงสุดได้
ทั้งสองคนต่างเข้าใจความนัยที่แท้จริงของคำตอบนั้น
ลู่เซิ่งจึงไม่พูดอะไรต่ออีก เพียงมองเต๋ออวิ๋นพลางถอนใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปตบไหล่อีกฝ่าย
เมื่อเดินมาถึงระดับของเขา จะมองเห็นเครือข่ายระบบพลังส่วนใหญ่ของโลกออก
ระบบแทบทั้งหมด ไม่ว่าจุดเริ่มต้นจะเป็นอย่างไร สุดท้ายก็จะเดินถึงระดับย้อนคืนสู่ต้นกำเนิดหรือแก่นแท้ของพลังทั้งสิ้น
เหมือนกับด้ายกระตุ้นวิญญาณสีทองเมื่อก่อนหน้านี้ ความจริงพลังการทำให้บริสุทธิ์ของแปลงวิญญาณลวงเป็นพลังงานที่เป็นต้นกำเนิดหรือธรรมชาติที่แท้จริงของด้ายกระตุ้นวิญญาณ
ขอบเขตของพลังงานชนิดนี้แสดงออกมาอย่างหมดจดหลังจากหัวใจแห่งโลหิตบังคับเลื่อนระดับขึ้น
และหลังจากไปถึงต้นกำเนิด สัมผัสธรรมชาติของความเข้าใจและการควบคุมได้แล้ว ก็จะกลายเป็นระดับเจ้าแห่งอาวุธจำลอง
ภายใต้เงื่อนไขนี้ หากไม่เข้าใจพลังงานอันเป็นธรรมชาติและต้นกำเนิด ไม่ว่าจะยกระดับพลังมากแค่ไหน ก็ไปถึงได้แค่ขีดจำกัดของอริยะเจ้า หรือต่ำกว่าเจ้าแห่งอาวุธจำลอง
นี่เป็นค่าขีดจำกัดที่ตายตัว
การที่มีการเปลี่ยนแปลงของจำนวนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ เอามาใช้กับตรงนี้ไม่ได้
พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าหากผู้เข้มแข็งคนหนึ่งไม่เข้าใจต้นกำเนิดและธรรมชาติ ต่อให้สะสมพลังมากขนาดไหน เขาก็ไปถึงได้แค่จุดสูงสุดของระดับอริยะเจ้าเท่านั้น ไม่อาจฝ่าไปถึงระดับเจ้าแห่งอาวุธจำลองได้
หลังเข้าใจต้นกำเนิดและธรรมชาติแล้ว จะสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นจึงมีสิทธิ์เปิดประตูในใจ แล้วสำเร็จเป็นเจ้าแห่งอาวุธ
นี่เป็นการยกระดับชีวิต
ลู่เซิ่งได้เข้าใจจุดสำคัญข้อนี้จากการเดินทางไปตระกูลหลิง โดยเฉพาะหลังจากที่ยกระดับวิชารักษาที่มีแบบแผนขึ้นหลายร้อยระดับอย่างสุดกำลัง เขาก็ได้สั่งสมปริมาณถึงระดับที่ไม่อาจรับไหวอีกต่อไป
ทว่าถ้าไม่มีการยกระดับจากหัวใจแห่งโลหิต ตัวเขาที่สัมผัสและควบคุมระดับต้นกำเนิดแก่นสารไม่ได้ ก็อย่าคิดจะเลื่อนจากระดับชูศัสตราไปถึงระดับเจ้าแห่งอาวุธเลย
“ข้าจะพยายาม! ไม่ช้าก็เร็วต้องตามเจ้าให้ทันให้ได้!” เต๋ออวิ๋นเอ่ยอย่างจริงจัง เขาไม่เหมือนกำลังล้อเล่น
ลู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไร
ม้าประหลาดสีดำที่มีปีกสั้นๆ งอกใต้ชายโครงลากรถไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็ไปถึงลานเล็กของตระกูลถูในตอนบ่ายของวันนั้น
ในลานมีกลุ่มลาดตระเวนของเขตที่สี่มารอคอยอยู่ไม่น้อยแล้ว
พวกเขามาเพราะคำสั่งจับกุมจากเขตที่สาม แต่คนที่ลงรถมีแค่ถูจินกับเต๋ออวิ๋นเท่านั้น ไม่มีผู้ใดอีก
ลู่เซิ่งลงรถกลางทาง แล้วมุ่งหน้าไปยังถ้ำใต้ดินของตัวเองตามลำพัง
เขาคิดไปยังนครหลวงเพื่อเข้าร่วมกับขุมกำลังหลักของนครตราชั่งแล้ว
การอยู่ด้านนอกตามลำพังไม่อาจรับประกันได้จริงๆ ว่า ตนจะจุติไปยังโลกด้านนอกอย่างปลอดภัยได้แน่นอน
ทว่าหากเข้าร่วมกับขุมกำลังใหญ่ได้ก็จะไม่เหมือนกันแล้ว ทรัพยากรและจำนวนคนที่ขุมกำลังขนาดใหญ่เรียกใช้ได้สุดที่สำนักมารกำเนิดเมื่อก่อนหน้านี้จะเทียบเคียงได้
ลู่เซิ่งไม่เสียใจกับการระเบิดพลังที่ตระกูลหลิงในครั้งนี้ เขารู้สึกว่าตนเองอดทนถึงขีดจำกัดแล้ว แถมปราณมารอันเกรี้ยวกราดของวิถีแปดมารสูงสุดในร่างก็กำลังพลิกม้วนอย่างรุนแรงอยู่พอดี
แม้ว่าต้นกำเนิดของไฟหยินจะมีคำว่าหยินอันหมายถึงร่มเงา แต่อย่างไรก็เป็นไฟ ดังนั้นเขาจึงมีความอดทนสั้นมาแต่ไหนแต่ไร
กอปรกับในอดีตตอนเป็นคนธรรมดา ลู่เซิ่งที่มีนิสัยใจร้อนก็กล้าถือดาบเข้าห้ำหั่นกับภูตผีอยู่แล้ว
ตอนนี้ยิ่งอย่าว่าแต่ถูกคนคุกคามและยั่วยุติดต่อกัน
ดังนั้น เขาจึงระเบิด ถ้าไม่ใช่เพราะสุดท้ายคงสติไว้ได้ ไม่ได้ฆ่าหลิงซือเฉิงกับหลิงเฉิงเช่อ คาดว่าตอนนี้ตระกูลหลิงคงถูกล้างโคตรไปแล้ว
ตระกูลที่มีอริยะเจ้าแค่คนเดียว ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกทำลายมาก่อน
ยิ่งอย่าว่าแต่ระบบพลังของอริยะเจ้าที่อยู่ที่นี่แตกต่างจากดาวปรภพ จึงไม่ได้รับมือยากเหมือนดาวปรภาพ
อริยะเจ้าของที่นี่ไม่มีพลังคืนชีพที่แข็งแกร่งและรับมือยาก หากฟาดตายก็จะตายทันที แต่ทางดาวปรภพ หากเผลอพลาดไปแค่จุดเดียว ก็ต้องเตรียมป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายหลบหนี
แน่นอนว่าแม้จะหลีกเลี่ยงโทษตายได้แต่โทษเป็นก็ยากหลบหนี หลิงเฉิงเช่อไม่เป็นไร กระนั้นหลิงซือเฉิงกลับพิการแล้ว บังอาจมาข่มขู่เขา ลู่เซิ่งย่อมไม่ใจอ่อน
ลู่เซิ่งที่แยกทางกับถูจินมุ่งหน้าไปยังถ้ำใต้ดินเพื่อจัดการเก็บวัสดุทรัพยากรที่สะสมมา ทั้งหมดถูกโยนเข้าไปในไข่มุกกลืนสมุทรชั่วคราว จากนั้นเขาก็จัดการเผาถ้ำทั้งถ้ำจนราบ แล้วบ่ายหน้าไปยังนครหลวง
แม้จะเสียดายช่องทางทำเงินจากผู้ป่วยเรื้อรังจำนวนมากที่สร้างไว้ที่นี่อยู่บ้าง แต่อุบัติเหตุเกิดขึ้นแล้ว จึงมัวแต่ลังเลไม่ได้อีก อะไรที่ควรทิ้งก็ต้องทิ้ง อะไรที่ควรตัดก็ต้องตัด
ลู่เซิ่งซึ่งปลอมตัวเป็นจอมยุทธ์พเนจรธรรมดามุ่งหน้าไปยังเมืองข่ายมังกรก่อน จากนั้นเขาก็ได้เห็นใบประกาศจับของตัวเองที่ประตูเมือง
ขุมกำลังที่ดูแลเขตที่สี่มีการเคลื่อนไหวแล้ว แต่ไม่ได้รุนแรงอะไรนัก เห็นได้ว่าพวกเขาไม่คิดจะล่วงเกินและกดดันผู้เข้มแข็งระดับเจ้าแห่งอาวุธคนหนึ่งมากเกินไป ภาพวาดภาพนั้นถึงวาดอย่างหล่อเหลาเอาการจนเหมือนคนละคนโดยสิ้นเชิง
ต่อมาลู่เซิ่งก็ข้ามค่ายกลส่งตัวมากมายติดต่อกันอย่างปลอดภัย วันที่สามหลังจากออกจากเขตที่สี่หรือข่ายเขามังกรมา เขาก็ได้เข้าสู่นครหลวง
กลุ่มสิ่งก่อสร้างสีเหลืองที่เชื่อมต่อกันเหมือนกับรูปสลักที่เอาทรายเหลืองมาแช่แข็งแล้วแกะสลักไว้ นครหลวงเต็มไปด้วยร่องรอยประวัติศาสตร์เก่าแก่ กลิ่นอายหนาหนักล้ำลึกกระจายอยู่ตามถนนหนทาง
ลู่เซิ่งค้นหาไปทั่ว ไม่นานก็เจอหอคอยดวงใจขับขานที่ไม่สะดุดตาเท่าไรที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของนครหลวง
……………………………………….