ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 618 เข้าร่วม
บทที่ 618 เข้าร่วม
ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าตัดผ่านลานกว้าง ไม่นานก็เจอเถ้าแก่ร้านขนมอบที่นั่งอยู่ด้านหน้าบ่อน้ำด้วยสีหน้าสุขสบาย
สาเหตุที่หาเจอง่ายขนาดนี้ เป็นเพราะเถ้าแก่ผู้นี้มีร่างกายเล็กกว่าสัตว์ประหลาดบนลานกว้างแค่นิดเดียวเท่านั้น
ร่างของเถ้าแก่ผู้นี้เต็มไปด้วยไขมัน ตัวกลมเหมือนตุ๊กตาล้มลุก เขานั่งอยู่บนพื้น รอยยิ้มที่ดูเหมือนคนใจดีเด่นชัดอยู่บนใบหน้าของเขา
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งรู้ว่าเขาเป็นใครในทันที ก็คือผ้ากันเปื้อนทำขนมอบที่สกปรกตัวใหญ่ซึ่งมีคำว่าขนมตัวโตติดอยู่
ลู่เซิ่งยืนแหงนหน้ามองเถ้าแก่ทำขนมอบที่สูงสิบกว่าหมี่กว้างเจ็ดแปดหมี่อยู่ด้านหน้าอีกฝ่าย
“น่าน่าภรรยาของท่านท่านขอให้ข้ามาหาท่าน นางอยากจะให้ท่านกลับไป นางรอท่านมาตลอด” ลู่เซิ่งบอกคำพูดของภรรายาเถ้าแก่
“ไม่ต้องแล้ว ข้าอยู่นี่ดียิ่ง” เถ้าแก่ตอบด้วยรอยยิ้ม “แต่ถ้าเจ้าช่วยข้าหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ในวังใต้ดินของที่นี่ ข้าจะกลับไปกับเจ้า…”
เปรี้ยง!
แขนขวาของลู่เซิ่งกลายเป็นด้ายกระตุ้นวิญญาณนับไม่ถ้วน พร้อมกับรวมตัวเป็นฝ่ามือยักษ์ข้างหนึ่ง แล้วฟาดเถ้าแก่จนล้มลงกับพื้น
พื้นดินสั่นสะเทือน แผ่นหินแตกร้าว ฝุ่นจำนวนมากตลบขึ้นมา
“เจ้า!” ร่างที่เหมือนกับภูเขาลูกย่อมๆ ของเถ้าแก่ร่างยักษ์ล้มฟาดกับพื้น ส่งเสียงดังกระหึ่ม เขาดิ้นรนหมายจะลุกขึ้น
ทว่าก็ถูกลู่เซิ่งกดเอาไว้พร้อมกับระดมหมัดใส่ศีรษะยกหนึ่ง
เปรี้ยงๆๆๆ!
เถ้าแก่ร้านขนมอบซึ่งใกล้จะสลบถูกลู่เซิ่งลากขาตัดผ่านลานกว้างไปยังเขตถนนที่ร้านขนมอบตั้งอยู่พร้อมกับใบหน้าที่อาบเลือด
พอกลับไปถึงร้านขนมอบ ลู่เซิ่งก็ยัดร่างยักษ์ของเถ้าแก่เข้าไปในประตูร้าน แต่ก็ยัดไม่เข้า
ไม่นานนักสตรีชราที่แก่หง่อมและสวมกระโปรงยาวสีขาว ก็เดินออกมาจากในร้านขนมอบ
นางมองเถ้าแก่ร้านขนมอบบนพื้นด้วยน้ำตาที่ไหลพราก
“ในที่สุดท่าน…ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว…”
ลู่เซิ่งที่ยืนชมดูเหตุการณ์นี้อยู่ด้านข้างสัมผัสได้ว่าม่านแสงรอบๆ เริ่มบิดเบี้ยว สภาพแวดล้อมเริ่มพร่ามัว
พอกะพริบตาอีกรอบ เขาก็มายืนอยู่ในห้องทำจากหินที่มืดครึ้มและเย็นเยียบแล้ว
มีชายชราผมขาวคนหนึ่งอยู่ตรงหน้าเขา อีกฝ่ายสวมชุดคลุมสีแดงตัวใหญ่ มีสีหน้าเคร่งขรึม
“วิธีการจัดการของเจ้ากับผู้คุมลานกว้างของด่านที่หนึ่ง เจ้าคิดว่ายุติธรรมไหม” ชายชราส่งเสียงถาม
ลู่เซิ่งพลันเข้าใจว่านี่เป็นการดำเนินการสอบถามถึงการแสดงออกของเขาเมื่อครู่
“ยุติธรรมยิ่ง” เขาตอบ
“เจ้าเพียงแต่ผ่านลานกว้าง และผู้คุมเพียงสอบถามคำถามหนึ่งกับเจ้าเท่านั้น แต่สุดท้ายเจ้ากลับฆ่าเขา เพียงเพื่อให้ได้ผ่านลานกว้าง เจ้ากลับฆ่าชีวิตชีวิตหนึ่ง เจ้า มีความยุติธรรมจริงๆ หรือ” ชายชราถามเสียงเย็น
“แน่นอน” ลู่เซิ่งตอบอย่างจริงจัง “ถ้าคำตอบไม่ทำให้เขาพอใจ เขาก็จะกินข้า ดังนั้นเพื่อให้เท่าเทียมกัน ถ้าหากข้าตอบคำถามที่ถูกต้องไม่ได้ ข้าก็จะกำจัดเขา ไม่เห็นมีปัญหาอะไร”
ชายชราผุดสีหน้างุนงงเล็กน้อย แต่เขาเคยได้ยินคำตอบสุดโต่งมามากมาย จึงได้สติอย่างรวดเร็ว
“อย่างนั้นด่านที่สองเล่า เถ้าแก่ร้านขนมอบต้องการให้เจ้าช่วยเขาหาสมบัติชิ้นหนึ่ง จากนั้นจะยอมกลับบ้านกับเจ้า เหตุใดเจ้าจึงเลือกใช้กำลัง”
“ใช้กำลังไม่ได้หรือ” ลู่เซิ่งถามกลับ
ชายชราสะอึก อย่างน้อยเถ้าแก่ร้านขนมอบผู้นั้นก็มีพลังระดับอริยะเจ้า ด้วยพละกำลังและพลังระเบิดของเขา ผู้ทดสอบทั้งหมดไม่มีใครปะทะกับเขาซึ่งหน้าได้
ดังนั้นผู้ออกแบบจึงใช้ประโยชน์จากจุดนี้ในการนำเขาเข้ามาในขอบเขตการทดสอบ
ทว่าตอนนี้…
“ก็ได้ อย่างนั้นคำถามสุดท้าย” ชายชราไม่หาเรื่องอีก “เจ้าคิดว่าการกระทำของเจ้ายุติธรรมมากพอไหม”
ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย
“ยุติธรรมมากพอ” เขาไม่เพียงไม่พูดแบบนี้ ในใจก็เชื่อแบบนี้จริงๆ เช่นกัน
“ตกลง” ชายชราพยักหน้าช้าๆ
เพล้ง
ทุกสิ่งทุกอย่างแตกเป็นเสี่ยงๆ ในฉับพลัน ด้านหน้าลู่เซิ่งพร่ามัว แล้วเขาก็กลับมายืนอยู่หน้าประตูหอคอยดวงใจขับขานอีกครั้ง เหมือนกับไม่ได้ขยับตัวไปไหนมาตั้งแต่เริ่มแรก เพียงยืนอยู่ตรงนี้เท่านั้น
‘แดนมายาหรือ หรือว่า…’ ลู่เซิ่งหยีตา ระดับของอีกฝ่ายอยู่เหนือความคาดหมายของเขาอยู่บ้าง
ทว่าไม่นาน กระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งก็ลอยออกมาจากในประตู แล้วตกลงกลางฝ่ามือเขา
กระดาษเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ยินดีต้อนรับสู่นครตราชั่ง กลุ่มของท่านคือ : ผู้มีความยุติธรรม
ระดับการทดสอบของท่านคือ: ระดับสี่
‘หมายความว่ายังไง ถือว่าสำเร็จแล้วหรือ’ ลู่เซิ่งสับสน เขาอยู่ที่นี่มานาน อย่างไรก็พอจะมีความรู้บ้างแล้ว
กลุ่มก้อนในนครตราชั่งแบ่งออกเป็นผู้มีความยุติธรรมกับผู้ทรงคุณธรรม ผู้มีความยุติธรรมมีสมาพันธ์พ่อค้ากับพรรคกำปั้นเหล็กเป็นหัวหน้า
ส่วนผู้ทรงคุณธรรมมีกลุ่มกองทัพกับแสงแห่งความเจิดจรัสเป็นสัญลักษณ์
ส่วนระดับการทดสอบ ผู้อยู่อาศัยในนครหลวงแบ่งออกเป็นสี่ระดับ ซึ่งจะได้รับผลประโยชน์และสวัสดิการในระดับที่แตกต่างกัน
ระดับที่สี่คือระดับต่ำสุด แสดงให้เห็นว่ากลุ่มทดสอบฝืนยอมให้คำตอบของเขาผ่านเกณฑ์เท่านั้น
‘นี่นับว่าผ่านแล้วหรือ’ ลู่เซิ่งไม่รู้สึกว่ายากอะไร กลไกการทดสอบของนครตราชั่งเหมือนกับการละเล่นอย่างหนึ่ง
ความจริงเขาไม่รู้ว่า โครงเรื่องฉบับเดิมคือ เขาต้องมุ่งหน้าไปยังวังใต้ดินขนาดยักษ์ตามคำขอของเถ้าแก่ร้านขนบอบ และเริ่มการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่และยาวนาน…
‘อย่างนั้น ต่อจากนี้ ควรไปเข้าร่วมกับขุมกำลังสักกลุ่มหนึ่งเพื่อหาเส้นทางการสืบทอดในขั้นต่อไปแล้ว’
ลู่เซิ่งออกจากตรอกอย่างรวดเร็ว กระดาษสีขาวบนมือรวมตัวเป็นตราประทับชิ้นหนึ่ง ซึ่งสลักคำว่าลู่เยวี่ยที่เป็นชื่อของเขาเอาไว้
ลู่เซิ่งเก็บตราประทับ แล้วเดินไปยังเขตหลักที่แท้จริงในนครหลวง
หลังจากตัดผ่านถนนที่คึกคักหลายสาย ไม่นานเขาก็เห็นแนวป้องกันสูงใหญ่ที่มีอักขระสีเขียวอ่อนเรืองแสง
กำแพงเหล็กสีดำ อักขระสีเขียวอ่อน ลวดลายค่ายกลกับจุดเชื่อมสีแดงเข้ม ยังมีคนสวมชุดเกราะโลหะสีขาวทั้งตัวที่กำลังลาดตระเวนไปทั่ว และควันกัดกร่อนสีดำอันหนักอึ้งที่แผ่ตลบอบอวล
ที่นี่อาศัยการสนับสนุนจากพลังระดับอสรพิษเป็นอย่างน้อย
ลู่เซิ่งมองดูช่องประตูสำหรับผ่านเข้าออกที่อยู่ด้านล่างกำแพงเหล็ก บางครั้งจะมีคนที่มีบุคลิกโดดเด่นบางส่วนเข้าๆ ออกๆ ช่องประตู คนผ่านทางทั้งหมดไม่มีสักคนเดียวที่ดูธรรมดา
เขาเดินไปถึงหน้าช่องประตู จากนั้นก็มีคนในกองอารักขาออกมาต้อนรับ
“ผู้มีความยุติธรรมที่เพิ่งทดสอบผ่านหรือ ที่นี่สามารถส่งตัวไปยังสมาพันธ์การค้าน่าถ่า สมาพันธ์การค้าอ้ายลา หรือพรรคกำปั้นเหล็กได้ ถ้าหากท่านคิดจะไปยังหอเก็บหนังสือที่อยู่ใจกลาง สามารถจ่ายเงินเพิ่มเติมเพื่อข้ามไปได้โดยตรง”
“ข้าอยากจะศึกษามรรคายุทธ์ที่สูงล้ำกว่าเดิม ไม่ทราบว่ามีคำแนะนำอะไรดีๆ หรือไม่” ลู่เซิ่งถามตรงๆ ก่อนจะล้วงเอาเงินน้ำแข็งกำหนึ่งออกมายัดให้อีกฝ่ายในฐานะผู้มีความยุติธรรม
หัวหน้ากลุ่มย่อยพลันแสดงสีหน้าเป็นมิตร พร้อมกับรับเงินน้ำแข็งไปโดยไม่ได้พูดอะไร
“กลุ่มที่จะรับผู้มีความยุติธรรมหลักๆ แล้วมีสมาพันธ์การค้าสามอันดับแรก ยังมีพรรคกำปั้นเหล็ก สำนักร้อยศัสตรา และขุมกำลังค่ายพรรคขนาดเล็กๆ ไม่น้อย
นอกจากนี้เป็นเพราะก่อนหน้านี้เขตดวงดาวใกล้ๆ มีผู้ยิ่งใหญ่รับศิษย์ ดังนั้นผู้ปกครองจันทราแดงซึ่งเป็นหนึ่งในสองผู้ปกครองของเมืองเราจึงกำลังเปิดรับสมัครศิษย์อยู่เช่นกัน”
ผู้ปกครองจันทราแดงหรือ
ลู่เซิ่งไม่เข้าใจข้อมูลระดับนี้ จึงมอบเงินน้ำแข็งอีกกำหนึ่งให้หัวหน้ากลุ่มย่อยผู้นี้อีกครั้ง
คนผู้นี้หน้าชื่นตาบานทันที เฝ้าประตูมาครึ่งเดือนกว่า ไม่แน่จะได้กำไรมากขนาดนี้ จึงบอกทุกสิ่งที่รู้
กลุ่มอารักขาของเขาที่อยู่ที่นี่ได้ติดต่อกับคนหลากหลายประเภท จึงค่อนข้างทันข่าวสาร จากนั้นเขาก็บอกเล่าสถานการณ์ของผู้ปกครองจันทราแดงให้แก่ลู่เซิ่งได้ทันที
อันคำว่าผู้ปกครอง มีแต่ผู้เข้มแข็งขอบเขตมายาพิศวงในขั้นสูงสุดของมายาพิศวงเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ได้รับการเรียกขานว่าผู้ปกครอง ผู้เข้มแข็งระดับนี้ต่างเป็นราชันผู้ปกครอง มีอำนาจล้นฟ้า เป็นตัวตนขั้นสูงสุดของที่ปกครองเขตดวงดาวแถบหนึ่ง
“ผู้ปกครองจันทราแดงขึ้นชื่อเรื่องเปิดกว้างในการรับศิษย์ สอนทุกคนอย่างเท่าเทียม ศิษย์ของท่านผู้เฒ่าไม่เพียงมีมนุษย์เท่านั้น ยังมีเผ่าปีศาจ มารสวรรค์ สิ่งมีชีวิตธาตุ ความประหลาดลี้ลับ และภูตผี”
“อย่างนั้นจะกลายเป็นศิษย์ของจันทราแดงได้อย่างไร” ลู่เซิ่งถาม
“ง่ายดายยิ่ง ข้าจะหาคนมาพาท่านไป การจะเป็นสาวกจันทราแดง ขอแค่ท่านจ่ายเงินค่าเข้าสำนัก จากนั้นถ้าหากผ่านการบรรยายได้ ก็จะมีสิทธิ์เข้าพบผู้ปกครอง ถึงเวลานั้นหากจ่ายอายุขัยหนึ่งร้อยปีก็จะได้รับการถ่ายทอดจากจันทราแดง” หัวหน้ากลุ่มย่อยแนะนำวิธีการอย่างละเอียด
แต่ลู่เซิ่งยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังเข้าลัทธินอกรีตอยู่…
“ไม่ต้องห่วง ผู้ปกครองจันทราแดงเป็นผู้มีความยุติธรรม และเป็นบุคคลตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ไม่กี่คนในนครตราชั่ง แถมสาวกจันทราแดงยังเป็นขุมกำลังร้ายกาจไม่กี่กลุ่มในนครตราชั่งเช่นกัน และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ท่านเป็นผู้อยู่อาศัยระดับสี่ ขุมกำลังที่เข้าได้ง่ายที่สุดจึงมีแต่สาวกจันทราแดงแล้ว”
หัวหน้ากลุ่มย่อยเปลือกนอกอ่อนโยน แต่ความจริงกลับฝึกความสามารถในการเห็นคนพูดภาษาคน เห็นผีพูดภาษาผีมาจนช่ำชองแล้ว
ผู้มีความยุติธรรมที่ร่ำรวย แต่ระดับผู้อยู่อาศัยกลับต่ำต้อยอย่างลู่เซิ่ง เขาได้พบมามากมาย
นิสัยไม่มีความยุติธรรมมากพอ แต่กลับอยากเข้าร่วมขุมกำลังแข็งแกร่งของนครตราชั่ง นอกจากสาวกจันทราแดงที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่แล้ว ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นอีกจริงๆ
และมีแต่จันทราแดงเท่านั้นที่สามารถจ่ายเงินเพื่อจะได้เข้าสำนักได้ง่ายกว่าเดิม
แม้ในสายตาของขุมกำลังอื่นๆ ในโลกภายนอก สาวกจันทราแดงจะเป็นตัวแทนพวกชั่วร้ายหรือลัทธินอกรีตก็ตาม
พวกเขาบ้าคลั่งและโลภมาก ใช้ชื่อผู้มีความยุติธรรมแย่งชิงขูดรีดทรัพยากรไปทั่วอย่างเปิดเผย ทั้งยังมีพฤติการณ์โหดเหี้ยม แถมยังไม่ได้สมัครสมานสามัคคีกันเหมือนขุมกำลังอื่นๆ
ทว่าพวกเขามีจำนวนมากเกินไป สาวกจันทราแดงเป็นขุมกำลังอันดับที่สองในนครตราชั่ง จำนวนสมาชิกไม่มีใครสู้ได้
สี่เขตใหญ่รอบนอกมีอยู่เขตหนึ่งที่อยู่ในการควบคุมของอัครสาวกของสาวกจันทราแดง
พวกเขามักจะเกิดความขัดแย้งกับแสงแห่งความเจิดจรัส และกองทัพธารขาวซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ทรงคุณธรรมอยู่บ่อยๆ สองฝ่ายผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ
จากนั้นลู่เซิ่งก็เดินเข้าค่ายกลส่งตัวด้านหลังช่องประตูภายใต้การแนะนำอย่างมีน้ำใจของหัวหน้ากลุ่มย่อย
ต่อมาสมาชิกที่อยู่ด้านข้างก็ปรับปรุงตัวแปร ก่อนจะมีแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งลงมาปกคลุมลู่เซิ่งไว้ในพริบตา
รอจนแสงสว่างสลายไป คนก็หายตัวไปแล้ว
‘คนที่เข้าร่วมสาวกจันทราแดงได้ต้องมีเงินและอยู่เป็น!’ หัวหน้ากลุ่มย่อยนับเงินน้ำแข็งในมืออย่างมีความสุข
ไหนเลยเหมือนผู้มีความยุติธรรมคนอื่น ยิ่งเป็นผู้มีความยุติธรรมระดับสูง ยิ่งขี้เหนียวขี้ตืด และนิสัยตรงไปตรงมา
สาเหตุที่สาวกจันทราแดงมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ หลักๆ เป็นเพราะหลังพวกเขากราบเป็นศิษย์แล้ว ก็จะโดนขุมกำลังของตัวเองขูดเลือดขูดเนื้อให้จ่ายเงินมหาศาลทันที
และเป็นเพราะเข้าง่าย ศิษย์ส่วนใหญ่จึงมีความยุติธรรมไม่สูงมาก ต่างชอบมุดช่องโหว่ ถึงแม้จะไม่ถึงกับขัดหลักการของความยุติธรรม แต่การค้าขายหลอกลวงแบบชี้นำนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ
นี่ทำให้พวกเขามีชื่อเรียกในเชิงลบบนโลกมากมายว่า ภูตมาร
ว่ากันว่าขุมกำลังแรกของผู้ปกครองจันทราแดงก็มีลักษณะแบบนี้เช่นกัน ตอนนี้พวกเขาจึงถ่ายทอดและสั่งสอนต่อจนลูกศิษย์ลูกหากลายเป็นแบบเดียวกัน
ลู่เซิ่งที่ขึ้นค่ายกลส่งตัวแบบไม่มีค่าใช้จ่าย จำเป็นต้องเปลี่ยนการส่งตัวสิบกว่าครั้งติดต่อกัน
ในเวลาว่างที่รอการส่งตัว เขาได้ใช้เงินสืบหาสถานการณ์ของสาวกจันทราแดงจากคนรอบด้านไปด้วย
……………………………………….