ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 628 ฆาตกร (2)
บทที่ 628 ฆาตกร (2)
ลู่เซิ่งเปิดอีเมล ภาพประกาศจับน่ากลัวหลายภาพเด้งออกมาจากด้านใน
ในภาพคือเด็กผู้หญิงสวมหน้ากากที่มีผมยาวสีดำคนหนึ่ง
เด็กผู้หญิงใส่หน้ากากกระดูกสีขาวอำพรางใบหน้าของตัวเอง แม้แต่ดวงตาก็ไม่มีช่องว่าง
แต่ว่าดูจากผิวตรงคอที่ไม่ได้คลุมอะไรไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่ายังอายุน้อยมาก ผิวขาวมาก แต่กลับไม่ถึงระดับคนต่างชาติผิวขาว
ขณะดูภาพประกาศจับภาพนี้ ลู่เซิ่งสังเกตเห็นบุคลิกอย่างหนึ่งที่ปรากฏออกมาจากท่วงท่าของอีกฝ่ายซึ่งทำให้เขาคุ้นเคยเล็กน้อย
คล้ายกับเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ตู้สยงคนเดิมอาจจะไม่มีความสามารถทบทวนความทรงจำในอดีตผ่านความรู้สึกคุ้นเคยเล็กๆ แต่ลู่เซิ่งนั้นไม่เหมือนกัน
จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ เบาะแสแบบนี้ ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว เขาก็รู้แล้วว่าต้นตออยู่ไหน
‘เด็กผู้หญิงคนนี้…เหมือนกับก่อนหน้านี้ตู้เซี่ยจะเคยพามาเล่นที่บ้าน…’ ลู่เซิ่งนึกย้อนถึงความทรงจำก่อนหน้าของตู้สยงทันที
‘ดูเหมือนตู้เซี่ยน่าจะเป็นสมาชิกของหมอกกัดกร่อนนี้แล้ว’ ลู่เซิ่งเดาคร่าวๆ
กวาดตามองดูคดีก่อการร้ายของมารนรกคนนี้คร่าวๆ อย่างต่ำสุดคือก่อคดีใหญ่น่ากลัวที่ทำให้คนหลายพันต้องตาย จากลักษณะการประกาศข่าวของทางรัฐบาล ปกติต้องพูดตัวเลขคนบาดเจ็บล้มตายให้น้อยๆ อยู่แล้ว
หากว่าบวกลบดู ก็จะทราบถึงความน่ากลัวของมารนรกคนนี้
‘ฐานทัพที่คนร้ายกาจแบบนี้อยู่ถึงกับมีคนโจมตีครอบครัวของสมาชิกได้อย่างต่อเนื่อง…ดูเหมือนควรไปติดต่อมารนรกคนนี้ดูสักหน่อยแล้ว’ ลู่เซิ่งตัดสินใจ
ทว่าก่อนหน้านั้น เขาต้องไปหาเก๋อซาธรรมดาๆ เพื่อทดลองก่อนว่าพลังของตัวเองอยู่ในระดับไหน
นอกจากนี้…
ตู๊ดๆๆ…
อยู่ๆ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เป็นเบอร์โทรแปลกตา
ลู่เซิ่งมองดู คงจะเป็นเบอร์โทรโฆษณาขายของ จึงกดปุ่มรับสายอย่างไม่สนใจนัก
“ฮัลโหล”
“ยังจำชายหนุ่มที่นายฆ่าไปตอนกลางคืนของวันก่อนได้ไหม” เสียงผู้ชายที่ทุ้มต่ำและแหบพร่าดังมาจากโทรศัพท์ช้าๆ
“คุณโทรผิดล่ะมั้ง พูดอะไรไม่รู้เรื่อง” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว แต่เขากลับไม่ได้กดปุ่มวางสาย
“ถึงแม้หลายวันมานี้แกจะใช้โทรศัพท์ดาวเทียม แต่ก็อยู่ในสายตาของพวกเราหมด พวกเรารู้ความสัมพันธ์ระหว่างอัลติสกับนายหมดแล้ว ทำเป็นไม่รู้เรื่องไปก็ไม่มีประโยชน์” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“นึกไม่ถึงว่านายจะมีพรสวรรค์ด้านวิชามวยสูงขนาดนี้ อายุยังน้อยก็เอาชนะจักรพรรดิมวยอัลติสและได้รับฉายาจักรพรรดิหมัดเงามารได้แล้ว สุดยอดจริงๆ…ควรบอกว่าสมกับเป็นพี่ชายของคนคนนั้นมากกว่ามั้ง”
ลู่เซิ่งหยีตา
“ในเมื่อคุณรู้แล้ว ที่โทรศัพท์มาหาฉัน มีคำสั่งสอนอะไรหรือ”
“นายอยากรู้มาตลอดไม่ใช่เหรอว่าน้องชายตายยังไง ยังมีสถานะที่แท้จริงของตู้เซี่ยน้องสาวของนายอีก ถ้าหากอยากรู้ ก็จงมาที่นี่…” เสียงปลายสายแผ่วต่ำลง
ลู่เซิ่งตั้งใจฟังคำสั่งจากอีกปลายสาย ในใจค่อยๆ กระจ่างเล็กน้อยแล้ว
อีกฝ่ายน่าจะใช้ข้อมูลเป็นตัวล่อเพื่อทำให้เขาร่วมมือกับอีกฝ่ายในการออกจากอาณาเขตสายตาที่ตู้เซี่ยคุ้มครองถึง
ลู่เซิ่งตัดสายอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบซิมออกมาบี้จนแหลกพร้อมกับโยนใส่ถังขยะ
เขาจำเบอร์ของอัลติสได้ ขุมกำลังของอีกฝ่ายไม่รู้เป็นของฝ่ายไหน แต่การใช้ทุกวิธีทางเพื่อเรียกเขาออกไปแบบนี้ แสดงให้เห็นว่ามีจุดประสงค์ที่ไม่ทราบอยู่ด้วย
แต่ว่านี่ตรงกับความประสงค์ของเขาพอดี การจับตาและการคุ้มครองของตู้เซี่ยเป็นเครื่องพันธนาการสำหรับเขา เขาไม่อยากจะทำให้ตู้เซี่ยทราบความลับของเขาเร็วขนาดนี้ เนื่องจากไม่มีวิธีอธิบาย
โลกใบนี้ไม่เหมือนกับโลกใบก่อนหน้า ถ้าเขาอยากจะขุดผลประโยชน์ออกมามากกว่าเดิม จะต้องเล่นอย่างรอบคอบสักหน่อย
ลู่เซิ่งลงจากตึก แล้วเปลี่ยนเป็นชุดวอร์มสีเทารวมถึงปิดฮู้ดเหมือนไม่มีเรื่องอะไร จากนั้นก็ออกจากบ้านไปเดินเล่นตามคำสั่งในโทรศัพท์
หลังจากเดินเล่นบนถนนคนเดินที่อยู่ใกล้ๆ สักพัก เขาก็เข้าไปรอในห้องน้ำชาย
“ตู้สยงใช่มั้ย” ในห้องน้ำมีชายหนุ่มที่มีรูปร่างใกล้เคียงกับเขารออยู่แล้ว อีกฝ่ายเข้ามาถามไถ่
“ใช่” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“เอาเสื้อผ้ามาให้ผม” คนหนุ่มพูดเบาๆ “ระวังตัวด้วย ด้านนอกมีคนจับตาดูคุณอยู่”
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งผงกศีรษะ
ทั้งสองแลกเสื้อและกางเกงกันโดยไม่ส่งเสียง การเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นไปอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายฝึกมาหลายครั้งแล้ว
หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ ชายหนุ่มก็ปิดฮู้ด แล้วก้มหน้าเดินออกไปด้วยท่าเดินของลู่เซิ่ง
ไม่นานนักลู่เซิ่งก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นอายที่คอยจับตาดูและคุ้มครองเขาหายไปจากรอบๆ แล้ว คงติดตามคนเมื่อครู่ไปแล้ว
‘ครั้งนี้สบายขึ้นเยอะเลย’ ลู่เซิ่งเอียงคอพลางเดินออกจากห้องน้ำ ตัดทะลุตรอกแห่งหนึ่ง แล้วเดินไปยังถนนอีกเส้นพร้อมกับเรียกรถแท็กซี่
“คุณคนขับ ถนนทางเหนือหมายเลข 118 ของแม่น้ำวั่งชวน”
“ไม่ต้องห่วง ฉันรู้จักที่อยู่” คนขับรถหันหน้ามายิ้มให้ลู่เซิ่ง
“หือ?” ลู่เซิ่งงุนงง นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะจัดการอย่างรัดกุมขนาดนี้
“เพิ่งเจอกันครั้งแรก ฉันชื่อจิ่วหนาน จิ่วที่มาจากเลขก้าว หนานที่แปลว่าทิศใต้ เป็นสมาชิกที่องค์กรสั่งให้มารับคุณโดยเฉพาะ” ชายคนขับขับรถไปพลาง หันมายิ้มให้ลู่เซิ่งไปพลาง
“พวกเราต้องแบกรับความผิดโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพราะเรื่องของน้องสาวคุณ ก็เลยต้องใช้วิธีการนี้ติดต่อกับคุณ ต้องขออภัยด้วยถ้าทำให้ไม่พอใจ” จิ่วหนานแสดงสีหน้ารู้สึกผิดอย่างจริงใจ
“คุณคือเก๋อซาหรือ” ลู่เซิ่งกลับไม่สนใจเนื้อหาที่อีกฝ่ายพูด หากโพล่งถามตรงๆ
“เอ่อ…ไม่ใช่…แต่ผมเป็นผู้ไล่ตามดวงดาว อยู่ในอันดับที่…” จิ่วหนานยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นมือข้างหนึ่งยื่นมาแกว่งไปแกว่งมาด้านหน้าเขาเบาๆ
“ดูมือของฉัน…มือของฉัน…ตอนนี้คุณง่วงมาก…อยากจะนอนมาก…ง่วงมาก…”
สิบนาทีต่อมา
แกร๊ก
ประตูรถเปิดออก จิ่วหนานลงจากรถด้วยรอยยิ้ม แล้วเปิดประตูรถให้แก่ลู่เซิ่ง
“นายท่าน ระวังไว้ด้วย ด้านในมีผู้นำที่เจ็ดของหงส์จักรพรรดิควบคุมอยู่” จิ่วหนานทำท่าขยับปากส่งข่าวให้
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“อีกเดี๋ยวให้คัดลอกข้อมูลของผู้เข้มแข็งทั้งหมดในหงส์จักรพรรดิให้ฉันชุดหนึ่ง อย่าลืมหลีกเลี่ยงการจับตาจากช่องทางต่างๆ ของฉันด้วย”
“เข้าใจแล้วครับ” จิ่วหนานพยักหน้าน้อยๆ
“เชิญครับ” เขากลับมาทำสีหน้าเป็นธรรมชาติอีกครั้ง โดยใช้รอยยิ้มจอมปลอมตามตำรับพูดกับลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งไม่ว่าอะไร มองดูตึกใหญ่ที่เหมือนกับตึกสถานีโทรทัศน์ตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าประตูตึกไป
พอตัดทะลุประตูกระจกแบบหมุนเข้าไป ก็เห็นโถงใหญ่ที่พื้นทำจากหินอันมืดครึ้ม
พี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่งที่รอคอยมานานแล้วสวมเดรสสวยที่เหมือนกับชุดแม่บ้าน ถักผมเปียสองข้าง โค้งตัวคำนับลู่เซิ่งน้อยๆ
“ยินดีต้อนรับค่ะคุณตู้สยง ผู้นำเจ็ดรอท่านอยู่บนชั้นสามแล้วค่ะ”
“รบกวนนำทางด้วย” ลู่เซิ่งพยักหน้า
เด็กสาวทั้งสองคนอายุสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น ร่างสูงชะลูด รูปร่างมีเสน่ห์ชวนมอง สิ่งที่ดึงดูดสายตาคนเล็กน้อยก็คือ ชายกระโปรงของพวกเธอสั้นจริงๆ เหมือนกับว่าลมหอบหนึ่งสามารถพัดให้มันกระพือขึ้นจนมองเห็นข้างใต้ได้
เด็กสาวทั้งสองคนพาลู่เซิ่งขึ้นลิฟท์ไปถึงชั้นสามอย่างรวดเร็ว
ติ๊ง
ประตูลิฟท์เปิดออกช้าๆ สีหน้าของฝาแฝดที่เดินออกมาก่อนแตกต่างไปจากเดิมอย่างเลือนราง
เด็กสาวทั้งสองคนพาลู่เซิ่งเดินตัดระเบียงมาถึงด้านหน้าห้องสำนักงานกว้างขวางที่แง้มประตูไว้แห่งหนึ่ง ก่อนจะเคาะประตูเบาๆ
“เข้ามาเลย” เสียงเด็กผู้ชายที่อายุไม่เยอะเท่าไหร่ดังมาจากด้านใน
เด็กสาวทั้งสองคนทำท่าผายมือไปทางลู่เซิ่ง
‘ระวังตัวด้วยค่ะ ความสามารถของผู้นำเจ็ดอยู่ที่มือ…อย่าสัมผัสกับมือของเขา…’
‘ถ้าหากจำเป็น ขอให้ตะโกน พวกเราจะเข้ามาช่วยคุณทันที’ เด็กสาวฝาแฝดวาดตัวอักษรแถวหนึ่งลงกลางฝ่ามือลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งยิ้มให้แก่สองสาวอย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณนะ”
“นี่เป็นหน้าที่ของพวกเราค่ะ” สองฝาแฝดก้มหน้าด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งหมุนตัวเดินเข้าประตู ลมอ่อนพัดออกมาจากแอร์บนเพดาน ข้างใต้แอร์มีเด็กผู้ชายผมดำอายุสิบสองสิบสามปีนั่งอยู่
เด็กผู้ชายสีหน้าเคร่งขรึม ให้ความรู้สึกแสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่
“สวัสดี ตู้สยงพี่ชายของมารไล่ล่า ฉันแซ่หลี่ เรียกฉันว่าพี่หลี่ก็ได้” เด็กชายเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ฉันรู้ข้อมูลทั้งหมดของนาย รู้ทั้งหมดเหมือนอยู่บนฝ่ามือเลยละ ไม่ใช่แค่นายเท่านั้น พ่อแม่นาย น้องสาวนาย พวกเราก็รู้เรื่องดีเช่นกัน”
“งั้นเหรอ” ลู่เซิ่งร่วมมือโดยการทำหน้าตกใจเล็กน้อย
ตรงหน้าเป็นเก๋อซาคนแรกที่เขาได้เผชิญหน้าอย่างแท้จริง แค่เพียงสิบกว่าวินาทีที่เพิ่งเข้ามา เขาก็ค้นพบจุดอ่อนที่ถึงตายของอีกฝ่ายแล้ว
“สิ่งที่ฉันต้องการบอกนายก็คือ ความตายของน้องชายนายไม่ใช่อุบัติเหตุ ถ้าหากนายต้องการสืบหาความจริง จะต้องร่วมมือกับพวกเราอย่างสุดกำลัง” เด็กชายเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ลู่เซิ่งพลันเอาจริงเอาจังด้วยเช่นกัน
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะให้ความร่วมมือสุดความสามารถ”
“เอ่อ…” เด็กชายเหมือนกับนึกไม่ถึงว่าจะราบรื่นปานนี้ คำพูดมากมายที่เตรียมไว้จุกอยู่ในใจ ไม่ได้พูดออกมา ให้ความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“อย่างนั้นก็ดี นอกจากนี้…พวกเราได้สืบจนกระจ่างเป็นขั้นแรกแล้วว่าฆาตกรที่ฆ่าน้องชายนายเป็นใคร คิดจะป้ายความผิดมาที่หงส์จักรพรรดิของพวกเรา ต้องดูด้วยว่าพวกเรายอมหรือไม่” เด็กชายเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ
“แล้วฆาตกรเป็นใคร” ลู่เซิ่งพลันหันไปมองนอกหน้าต่างสำนักงาน
ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างกลายเป็นสีแดงเข้มตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
เมฆบนท้องฟ้าหายไปแล้ว ชั้นอากาศสีฟ้าครามหายไปด้วยเช่นกัน เหลือแต่สีแดงเข้มเท่านั้น
“นี่มัน…!? พลังเทพรังสรรค์!?” เด็กชายสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้เหมือนกัน สีหน้าพลันเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย
ซู่…
อยู่ๆ เขาก็เห็นผ่านหน้าต่างว่า บนท้องฟ้าไกลออกไปมีดาวตกขนาดยักษ์ที่แฝงกลิ่นอายอัปมงคลสีดำดวงหนึ่งพุ่งมา
“นั่นมัน…!? โจวเฉวียนอู่! บ้าไปแล้วเหรอไง!?” เขาตะโกนขึ้นทันที สีหน้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก่อนจะหมุนตัวพุ่งใส่กำแพงด้านหลัง
ตูม!
ชั่วพริบตานั้นตึกทั้งตึกเกิดเสียงดังกึกก้อง ก่อนจะระเบิดออกท่ามกลางการสั่นไหวและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก้อนอิฐจำนวนมากแหลกเป็นส่วนๆ พร้อมกับกระจัดกระจายไปทั่ว เปลวเพลิงร้อนแรงสีแดงน่ากลัวหลายกลุ่มพุ่งออกมาจากช่องว่างระหว่างชั้นแต่ะชั้น
เหมือนกับมีคนเติมลาวาและเปลวเพลิงนับไม่ถ้วนเข้ามาด้านในตึกใหญ่จนเต็ม
กลิ่นกำมะถันฉุนจมูกแผ่ตลบอบอวลไปทั่วอากาศรอบๆ
พนักงานจำนวนมากในชั้นที่หนีไม่ทันถูกเปลวเพลิงกลืนกิน เผาไหม้ และหลอมละลายในพริบตา
ร่างกายมนุษย์หลายร่างที่กลายเป็นสีดำเกรียมพยายามดิ้นรนและโบกไม้โบกมือในกองเพลิง สุดท้ายก็แหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงอย่างรวดเร็ว
ตูมๆๆๆ!
เสาเพลิงสีแดงชาดที่สูงหลายสิบเมตรจำนวนมากพุ่งขึ้นจากรอบๆ ตึกใหญ่ในรัศมีมากกว่าร้อยเมตร กลายเป็นภาพที่เหมือนกับน้ำพุ
“พอแผนใกล้จะสำเร็จ…เธอก็ไม่สนใจอะไรแล้วงั้นเหรอ” ด้านหน้าประตูธนาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกมาไกล ชายร่างสูงใหญ่ที่สวมเสื้อโค้ทสีขาวอมเทาและกำลังสูบบุหรี่คนหนึ่งถอนใจ ขณะมองฉากระเบิดอันตระการตา
“หนูเตือนหงส์จักรพรรดิไปแล้ว จะโทษหนูไม่ได้นะ” โจวเฉวียนอู่พิงข้างประตูอย่างเกียจคร้าน กระบี่ยาวสีดำสนิทที่เก่าแก่เล่มนั้นพิงอยู่ระหว่างขา
“ถ้าฉันไม่มา เธอคงจะไม่กางพลังจิตรังสรรค์ แต่แก้ไขทุกสิ่งในความเป็นจริงเลยใช่ไหม” ชายร่างสูงถามอย่างจนใจ
“หนูเหมือนคนโหดเหี้ยมขนาดนั้นเลยเหรอไง” โจวเฉวียนอู่สางผม “เอาล่ะ จัดการไปได้อีกคนหนึ่ง พันธนาการของลูกน้องที่น่ารักของฉันลดลงไปอีกหนึ่ง”
“ฉันว่าเธอใกล้จะเป็นบ้าแล้ว เพื่อของพรรค์นั้น” ชายร่างสูงผุดสีหน้าซับซ้อน
“อาจใช่ก็ได้…” โจวเฉวียนอู่งุนงงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแย้ม “ฉันต้องการตู้เซี่ยที่ไม่มีช่องโหว่ เธอในตอนนี้ยังขาดสิ่งของที่สำคัญที่สุดอยู่ หากอยากจะกลายเป็นแกนหลักอันดับสามของฉัน ยังขาดอีกเล็กน้อย”
“ของอะไร” ชายร่างสูงถามอย่างแปลกใจ
“อ้อ มีปลาหลุดร่างแหด้วยนี่นา สมกับเป็นผู้นำเจ็ด” โจวเฉวียนอู่ไม่ตอบเขา หากมองไปยังซากปรักหักพังกลางกองเพลิงที่อยู่ไกลออกไป
เธอยกมือขวาขึ้น ก้อนสีดำจุดหนึ่งขยายใหญ่ขึ้นกลางฝ่ามือเธอด้วยความเร็วสูง
“พอได้แล้ว” ชายร่างสูงจับแขนของเธอเอาไว้ “ไปกันเถอะ ปล่อยให้คนอื่นจัดการ เธอไม่ต้องลงมือแล้ว”
ก้อนสีดำกลางฝ่ามือโจวเฉวียนอู่ค่อยๆ สลายไป เธอหันไปมองชายร่างสูง
“เป็นห่วงหนูเหรอคะ คุณพ่อ”
“อาจใช่…” ชายร่างสูงนิ่งไปเล็กน้อย “ไปเถอะ พวกเราควรกลับได้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาปะทะกับหงส์จักรพรรดิโดยตรง”
“…เข้าใจแล้วค่ะ”
ฟ้าว!
แสงสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากกลางฝ่ามือเธอ แล้วลอยเข้าหากองเพลิงที่อยู่ไกลออกไป
“นี่เป็นครั้งสุดท้าย…”
…
ไฟกำลังลุกโหม
ผู้นำเจ็ดยันดอกนาซิสซัสสีขาวบริสุทธิ์ดอกหนึ่งไว้อย่างยากลำบาก กลีบดอกที่ไร้สิ่งเจือปนปกคลุมเขาไว้เป็นรัศมีหลายเมตร ป้องกันเปลวเพลิงอัปมงคลสีเลือดด้านนอก
แต่ว่าการต้านทานนี้ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
“บ้าเอ๊ยๆๆๆ! ยัยบ้าโจวเฉวียนอู่!” เด็กชายตะโกนด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม แต่ว่าควันพิษเต็มปากก็ทำให้เขาสำลักอย่างรุนแรงทันที
“โจวเฉวียนอู่หรือ” อยู่ๆ ซากกำแพงที่อยู่ด้านข้างเด็กชายก็ถูกดันออก กำแพงที่ถูกเผาจนแดงฉานถูกมือใหญ่สีสำริดข้างหนึ่งผลักออกอย่างสบายๆ
ลู่เซิ่งเดินออกมาจากกองเพลิงโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย เสื้อผ้าบนตัวเขาไหม้ไปแล้วมากกว่าครึ่ง แต่กล้ามเนื้อและผิวหนังอันแข็งแกร่งที่ปรากฏให้เห็นกลับไม่มีรอยไหม้สักรอย ทั้งยังเหมือนกับรูปปั้นภายใต้การส่องแสงจากเปลวเพลิงด้วย
“เปลวเพลิงที่เจ็บปวดขนาดนี้…ถึงขั้นสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังด้วย โจวเฉวียนอู่เป็นฆาตกรเหรอ”
“นาย!?” ผู้นำเจ็ดสะดุ้งโหยงเพราะเสียง พอหันกลับไปมองแล้วเห็นคนมา เขาก็ตกตะลึง
“นาย…ทำได้ยังไงกัน!?” ผู้นำเจ็ดหัวสมองขาวโพลน
ตู้สยงที่ตอนแรกนึกว่าเป็นแค่คนธรรมดาเดินออกมาจากในเปลวเพลิง แถมยังไม่มีร่องรอยได้รับบาดเจ็บโดยสิ้นเชิง
ซู่…
ทันใดนั้นเอง บนท้องฟ้าไกลออกไปมีดาวตกสีดำอีกดวงหนึ่งพุ่งมาอย่างรวดเร็ว
ดาวตกเปลี่ยนจากเล็กเป็นใหญ่ ขนาดขยายขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เข้าใกล้ พริบตาเดียวก็มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าเมตร พร้อมกับพุ่งมายังตำแหน่งที่ผู้นำเจ็ดกับลู่เซิ่งอยู่อย่างรุนแรง
ผู้นำเจ็ดมองดาวตกยักษ์ด้านหลังลู่เซิ่งอย่างตะลึงงัน พลางชี้นิ้วด้วยร่างสั่นระริก
“มองฉันทำไมเนี่ย” ลู่เซิ่งมองเขาอย่างประหลาดใจ
“ดาว…ดาว…ดาว…!” ผู้นำเจ็ดอ้ำๆ อึ้งๆ พูดอะไรไม่ออกเนื่องจากจุกในลำคอ
“โดนกระแทกจนเห็นดาวเหรอไง” ลู่เซิ่งงุนงง
พอเห็นท่าทางเหลอหลาของผู้นำเจ็ด เขาก็ถือโอกาสเข้าใกล้เล็กน้อย
“มา ดูมือฉันนี่ มือฉันกำลังแกว่ง กำลังแกว่ง…”
“ดาว…ดาว…!” ผู้นำเจ็ดรู้สึกว่าตัวเองอึดอัดแทบตายอยู่แล้ว
“มือฉันๆ เห็นไหมเนี่ย มันกำลังแกว่ง…กำลังแกว่ง…”
‘รู้แล้วโว้ยว่ากำลังแกว่ง! ดาวตกโว้ย! มานู่นแล้ว! มาอีกลูกแล้ว!’ ผู้นำเจ็ดร่ำร้องในใจ แต่ปากกลับพูดอะไรไม่ออก
ผู้นำเจ็ดร่างสั่นเทิ้มขณะที่เห็นดาวตกที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ไม่ทันแล้วๆๆ! ตายแน่ๆๆ!
เขายังเด็ก เขาไม่อยากตาย! ยังมีชีวิตวัยหนุ่มอีกมากมายที่เขายังไม่ได้เพลิดเพลินเลย ชีวิตหนุ่มสาว…ชีวิต…
ตูม!
ดาวตกกดทับศีรษะ
ลู่เซิ่งหมุนตัวไปต่อยใส่ดุจสายฟ้าแลบ!
กำปั้นขนาดยักษ์บีบอัดให้อากาศกลายเป็นคลื่นอากาศขนาดมหึมา แล้วกระแทกใส่เปลวเพลิงดาวตกสีดำที่พุ่งมาอย่างรุนแรง
ตูม!
แสงสีแดงอมดำที่เจิดจรัสกลุ่มหนึ่งระเบิดออกในทันที ดาวตกระเบิดออกเป็นกระแสอากาศ ก่อนจะกลายเป็นลำแสงนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายออกไปในพริบตา
ลูเซิ่งหมุนตัวกลับแล้วรีบยื่นมือออกมา
“มา ดูมือฉัน…”
“เอ่อ…กำลังแกว่ง…” ผู้นำที่เจ็ดมองลู่เซิ่งอย่างอึ้งงัน สีหน้าตกใจ สั่นสะเทือน และซึมเซา
ลู่เซิ่งอึ้งไป วิชาจิตโน้มนำถึงกับไม่มีผลเหรอเนี่ย
……………………………………….